Thursday, June 5, 2014

The San Francisco Twins

วันนั้นเป็นวันที่ยังอยู่ในช่วงฤดูร้อน ซึ่งหมายถึงว่าแม้ผมจะเดินอยู่บนถนน Post เวลาประมาณ 2 ทุ่มเศษๆ ผมก็ยังเห็นแสงอาทิตย์โพล้เพล้อยู่แม้จะไม่สว่างเท่าช่วงเย็นๆก็ตาม เงาของตึกสูงส่วนใหญ่ทาบทับลานอเนกประสงค์กลางแจ้งเกือบหมด ยังมีแค่บางส่วนเท่านั้นที่ยังเห็นแสงอาทิตย์รำไรอยู่ ร้านรวงข้างทางต่างๆก็เริ่มเปิดไฟเรียกนักชอปรอบสุดท้ายก่อนจะปิดทำการในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า แสงไฟนีออนจากร้านรวงต่างๆพากันจุดให้ค่ำคืนนี้ดูสว่างไสวขึ้นมาทันตา อากาศตอนนั้นก็กำลังดี มีลมหนาวเล็กน้อยซึ่งเป็นเรื่องปกติของเมืองนี้ที่อากาศจะคล้ายๆกันตลอดปี เหมาะสำหรับคนขี้ร้อนอย่างผม ยังดีที่วันนี้ลมไม่ค่อยแรง ทำให้สายลมที่พัดมาเป็นเพียงอากาศเย็นกำลังสบายเท่านั้น
ผมเดินข้ามลานอเนกประสงค์ทะลุไปยังถนนฝั่งตรงข้าม ที่ตอนนี้ผู้คนบนท้องถนนส่วนมากเป็นนักท่องเที่ยวต่างก็ออกมาเดินเที่ยวชมเมืองยามเย็น อากาศสีฟ้ากับแสงนีออนยามค่ำ ทำให้เย็นนี้ดูรื่นรมย์ยิ่งนัก ผมค่อยๆสาวเท้าอย่างไม่รีบร้อนจะกลับบ้านเท่าใดนัก ผมยืนหลบข้างทางให้ฝูงนักท่องเที่ยวไหลผ่านไปอย่างไม่ยี่หระ 
ไม่เป็นไร วันนี้ผมไม่รีบ ผมคิดในใจขณะรอให้กลุ่มนั่งท่องเที่ยวชาวยุโรปเดินผ่านไปให้หมดทั้งครอบครัว ก่อนที่จะมองไปข้างหน้าแล้วเดินขึ้นเนินบนถนน Powell และตอนนั้นเองที่ผมได้เจอกับคุณยายแฝดประจำเมือง คุณยายทั้งสองชื่อ Marian Brown และ Vivian Brown ทั้งสองเป็นพี่น้องกันและเป็นคนดังประจำเมืองซานฟรานซิสโกเสียด้วย กล่าวคือถ้าให้บอกว่านึกถึงอะไรเวลาพูดถึงสถานที่ในซานฟรานซิสโก คำตอบก็น่าจะเป็นสะพานโกลเด้นเกท แล้วถ้าให้นึกถึงคนที่เป็นตัวแทนในซานฟรานซิสโกล่ะ ผมว่าคุณยายแฝดคู่นี้ล่ะที่เป็นตัวแทนของซานฟรานซิสโก อารมณ์คล้ายๆมัสคอตละมั้ง และที่สำคัญผมเห็นคุณยายทั้งคู่บ่อยกว่าสะพานโกลเด้นเกทเสียอีก




ตัวผมเองเคยเจอคุณยายแฝดมาก็หลายครั้งอยู่ บางครั้งก็เจอบนถนนเส้นนี้ บางครั้งก็เห็นคุณยายนั่งรับประทานพิซซ่าอยู่ที่ร้านเจ้าประจำของแก หรือบางครั้งก็เจอในร้านสะดวกซื้อที่หัวมุมถนนนี้นี่เอง

ทุกครั้งที่ผมเจอคุณยายแฝด แน่อนว่าต้องเจอคุณยายทั้ง 2 คน ถ้าเจอแค่เพียงคนใดคนหนึ่งคงไม่สามารถเรียกว่าคุณยายแฝดได้ ซึ่งจะว่าไปผมเองก็ยังไม่เคยเห็นคุณยายแฝดเพียงคนเดียวสักทีและไม่แน่ใจว่ามีใครเคยเห็นคุณยายแฝดแบบเดี่ยวๆบ้างหรือไม่ คุณยายแฝดมักจะปรากฏกายในชุดเสื้อคลุมขนสัตว์ พร้อมหมวกเข้าชุดประจำตัวและแน่นอนว่าต้องเหมือนกันยังกับแกะ ชุดของคุณยายทั้งสองเองก็บ่งบอกถึงยุคสมัยได้ดี ถึงแม้ชุดของคุณยายทั้งสองจะเก่าแต่ก็ไม่ตกยุค กลับสร้างความน่าสนใจให้กับผู้พบเห็นซะมากกว่า

ผมค่อยๆเดินตามคุณยายแฝดไปตามถนน Powell ซึ่งความชันแม้จะไม่มากนักแต่ก็ทำให้คุณยายทั้งสองค่อยๆประคองกันเดิน ระหว่างที่คุณยายแฝดกำลังเดินอยู่นั้น ผมก็สังเกตเห็นผู้คนรอบข้างซึ่งโดยมากเป็นนักท่องเที่ยวพากันหยุดดู บ้างก็ส่งยิ้มให้คุณยาย ซึ่งตัวคุณยายทั้งสองเองก็หยุดทักทายเป็นระยะ ภาพที่คุณยายแฝดเดินประคองคุยกัน เป็นภาพที่ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องอดอมยิ้มให้ไม่ได้  จากนั้นก็ค่อยๆเดินคุยกันเบาๆต่อ ผมซึ่งเดินตามหลังมาไม่ใกล้นักจึงบังเอิญได้ยินบทสนทนาโดยไม่ตั้งใจแต่ก็ทำให้ผมพอจะจับใจความได้ว่า คุณยายทั้งสองกำลังเดินทางไปรับประทานอาหารเย็น และถ้าให้เดาจากเส้นทางการเดิน ผมคาดว่าคุณป้าแฝดคงจะไปที่ร้านพิซซ่าเจ้าประจำที่อยู่ตรงหัวมุมของถนน Powell ตัดกับถนน Bush เหมือนเดิม

ผมหยิบกล้องออกมาจากกระเป๋าสะพายหลัง แล้วกดชัตเตอร์เล็งไปรอบๆแบบไม่ตั้งใจเท่าใดนัก ผมส่องผ่านวิวไฟเดอร์มองหาอะไรที่น่าสนใจสำหรับค่ำคืนนี้ ผมเดินไปหมุนกล้องไปรอบตัวแล้วผมก็มองไปข้างหน้าเหมือนเพิ่งจะรู้ตัวว่า แม้ผมเองจะเคยเห็นคุณยายทั้งสองมาหลายครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งก็มักจะแค่มองผ่าน ไม่เคยทักทายหรือให้ความสนใจเท่าใดนัก วันนี้ผมเลยตัดสินใจจะเข้าไปขอคุณยายแฝดถ่ายรูป

ผมเดินแซงคุณยายทั้งสองไปช่วงตัวนึงแล้วหันกลับมา ด้วยความเขินที่จะเข้าไปขอคุณยายถ่ายรูป ทำให้ผมยืนพะว้าพะวังอยู่ตรงนั้น ขณะที่ผมยังลังเลใจอยู่นั้น คุณยายแฝดก็เดินมาถึงหน้าร้านแพนเค้กชื่อดังของเมืองนี้ที่ผมยืนอยู่

แสงสีชมพูจากป้ายไฟนีออนของร้านแพนเค้ก ชโลมลงที่คุณยายแฝดทั้งสองทำให้ชุดและหมวกที่คุณยายทั้งคู่ใส่มาวันนี้นั้นดูเด่นยิ่งขึ้น ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มขณะที่ทั้งคู่กำลังคุยกัน แม้จะมีร่องรอยของกาลเวลาเป็นหลักฐานชัดเจนไม่ได้ทำให้ไม่น่ามองแต่กลับทำให้คุณยายทั้งคู่ดูน่ารักยิ่งขึ้นในสายตาผม

ความลังเลใจหายไปพร้อมกับที่ผมเดินเข้าไปหาคุณยายแฝดพร้อมกับกล่าวว่า

"Excuse me, would you mind taking your picture?"

ผมขออณุญาตคุณยายแฝดถ่ายรูปด้วยสำเนียงประหม่า

"Ofcourse not" คุณยายทั้งคู่ตอบกลับแทบจะพร้อมกันพร้อมกับยิ้มให้ผม

หลังจากได้รับคำอนุญาตจากคุณยาย ผมก็ถอยหลังออกไปราว 4 เมตรได้ ซึ่งคุณยายแฝดเองก็คงจะงงเหมือนกันว่าทำไมผมต้องถอยไปไกลขนาดนั้น แต่เจ้า 50mm f1.8 ในมือผม ซึ่งมีระยะที่ลึกพอสมควรบังคับให้ผมต้องถอยไปไกลในระยะนั้นถึงจะได้ภาพที่ต้องการ

"Ok, one.. two.. three" ผมนับให้จังหวะคุณยายก่อนที่จะกดชัตเตอร์ติดต่อกันจำนวนหนึ่ง

หลังจากที่ได้รูปที่พอใจแล้ว ผมก็เดินเข้าไปหาคุณยายแฝดพร้อมกับกล่าวขอบคุณ
"Thank you very much"
"Your welcome my dear" คุณยายตอบพร้อมกับยิ้มให้เช่นเคย

และตอนที่ผมกำลังจะหันหลังกลับไปนั้นคุณยายแฝดก็ถามขึ้นมาว่า
"Where do you come from?"
"I’m from Thailand" ผมตอบไปพร้อมกับไม่แน่ใจว่าคุณยายแฝดจะเคยได้ยินชื่อเมืองไทยหรือไม่
"Oh Thailand, that was really far. You have to cross the Ocean"
 ผมเองก็แปลกใจระคนดีใจที่คุณยายแฝดรู้จักเมืองไทย ซึ่งจะว่าไปที่เมืองนี้เองก็มีร้านอาหารไทยอยู่่หลายแห่งเหมือนกัน ก่อนที่ผมจะคิดอะไรไปไกลกว่านั้น คุณยายก็พูดต่อว่า

"You must be really far away from home"  
คุณยายกล่าวจบประโยคพร้อมกับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ยืนรออยู่ข้างๆก็เดินเข้ามาขอถ่ายรูปเช่นกัน ผมกล่าวขอบคุณคุณยายอีกครั้วก่อนเดินจากมา ระหว่างเดินต่อบนถนน Powell ผมเองยังคิดถึงคำพูดของคุณยายแฝดอยู่ในหัว คุณยายพูดถูก ผมเองตอนนี้อยู่ไกลจากบ้านมานานแล้ว

จนผมเองรู้สึกว่าเมืองนี้คือบ้านหลังที่สองของผม แต่ผมกลับไม่ใส่ใจเท่าใดนัก บางครั้งเวลาที่เราเริ่มเคยชินกับสิ่งนั้นๆ ความเคยชินทำให้สิ่งที่เราคุ้นเคยนั้นถูกลืมไป จนกว่าเมื่อเราไม่มีสิ่งนั้น เราถึงจะรุ้สึกถึงคุณค่าของสิ่งนั้น เหมือนกับที่ผมอยู่ในเมืองนี้เช่นกัน แม้จะอยู่มาเป็นเวลานานแต่บางครั้งผมเองก็ลืมไปว่าขณะนี้ผมอยู่ที่ไหน การไม่ใส่ใจสิ่งรอบข้างอาจทำให้เราพลาดอะไรดีๆไปง่ายๆและโอกาสที่เราจะได้ใช้ชีวิตอยุ่ต่างแดนก็คงไม่บ่อยเท่าไหร่นักในชีวิตนึง

ก่อนเดินกลับบ้านผมมองไปที่คุณยายแฝดซึ่งตอนนี้กำลังสนุกกับการถ่ายรูปหมู่อยู่ แล้วตอบกับตัวเองในใจ

"Yes, I think you’re right"

"I’m so far away from home"


ปล. หลังกลับไทยได้เกือบ 1 ปี มีวันนึงเพื่อนที่ซานฟรานซิสโกได้โพสบอกผมบนเฟซบุคว่า หนึ่งในคุณยายคู่แฝดประจำเมืองนั้นถึงแก่กรรมแล้วด้วยโรคชรา ผมพิมพ์ขอบคุณเพื่อนที่แจ้งข่าวของคุณยายให้ผมได้รับรู้ แล้วนั่งนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นพลางคิดว่าแล้วต่อไปคุณยายแฝดอีกคนจะดำเนินชีวิตอย่างไรต่อไป

No comments:

Post a Comment