Saturday, May 31, 2014

Shit happened

ช่วงครึ่งแรกที่ผมอยู่ที่ซานฟรานซิสโก ผมอาศํยอยู่ในย่านที่เรียกว่า Sunset
ย่านนี้เป็นย่านที่อยู่อาศํยเป็นหลัก มีโรงเรียน ร้านรวงและซุปเปอร์มาเก็ตเท่าที่จำเป็น
ตอนกลางคืนย่านนี้จึงเงียบสงัดมาก ผมจึงมักจะนั่งทำงานชิวๆยามดึกเสมอ
นอกจากนี้ ย่าน sunset นี้อากาศจะดีกว่าในตัวเมืองซานฟรานซิสโก
ด้วยความที่มีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ชื่อ Golden Gate park อยู่
ดังนั้นทุกครั้งที่ผมนั่งรถเมล์สาย 71 จากดาวทาวน์ ผมจะรู้ได้ทันทีว่าตอนนี้เราเข้าเขต sunset แล้ว
ผมรู้ได้จากอุณหภูมิที่เปลี่ยนอย่างฉับพลัน ไม่ว่าดาวทาวน์จะอากาศดีแค่ไหน แดดจะออก
อากาศจะร้อนเพียงใด เพียงเข้าเขต sunset อากาศจะเย็นยะเยือกขึ้นมาทันทีด้วยลมจากทะเล
แต่ถึงอย่างนั้นก็เหอะ ผมก็ชอบนะ เรียกได้ว่าตลอด 3 ปีที่อยู่ที่ sunset ผมมีความสุขดี
และถ้าวันไหนแดดดี ผมก็จะออกไปวิ่งตรงที่เก็บน้ำแถวบ้าน บริเวณนั้นเขาทำเป็นเนินหลายชั้น
สามารถวิ่งครบรอบได้ในเวลาประมาณ 12 นาทีต่อรอบ มีที่พัก สนามเด็กเล่น และม้านั่งเป็นแถวยาว
โดยจุดที่สูงที่สุดของตรงนั้น สามารถมองเห็นซานฟรานซิสโกได้กว้างเลยทีเดียว
คุณสามารถมองเห็นมหาสมุทรแปซิฟิก ทางด้านซ้าย แล้วถ้ากวาดสายตามาเรื่อยๆจะเห็นสะพานโกลเด้นเกทอยู่ไกลๆ
แล้วถ้าเพ่งไปทางขวาอีกหน่อยนะ นั่นละเกาะอัลคาทราซ ที่มาของหนังเรื่อง The Rock
เวลาผมวิ่งจนเหนื่อยก็มักจะมานั่งพักตรงบริเวณนี้ละ บ้างก็มีคนวิ่ง บ้างก็นั่งคุย บ้างก็เอาหมามาเดิน
และไอ้เอาหมามาเดินเนี่ยล่ะ ทำให้เกิดเรื่องขึ้น

เช้าวันนึงผมเดินออกจากบ้านตามปกติเพื่อจะไปขึ้นรถไฟเข้าเมือง
แต่ยังไม่ทันจะพ้นตัวบ้าน ผมก็หันไปเห็นของสิ่งหนึ่งวางอยู่บนถังขยะพลาสติกของบ้านผม
พอเข้าไปดูใกล้ๆถึงรู้ว่าเป็นถุงพลาสติกใส่ขี้หมา
การเอาขี้หมาใส่ถุงพลาสติกเป็นเรื่องปกติของที่นี่ คนเลี้ยงหมาทุกคนควรจะพกและจัดการเก็บให้เรียบร้อยทุกครั้งที่พาหมาออกมาเดิน
ผมเชื่อว่าประชากรซานฟรานซิสโกส่วนใหญ่ปฏิบัติเช่นนั้น
ทีนี้ปัญหามันมีอยู่ว่า ไอ้ถุงพลาสติกใส่ขี้หมาอันนี้น่ะสิ มันดันมาอยุ่บนฝาถังขยะบ้านผม
ตอนนั้นผมกำลังรีบจะไปขึ้นรถ เลยไม่ได้คิดอะไรมาก เปิดฝาแล้วเอาถุงนั้นทิ้งลงถังขยะก็จบ
เหตุการณ์ก็ปกติดี จนอาทิตย์ต่อมาผมก็เห็นไอ้ถุงพลาสติกใส่ขี้หมาบนฝาถังขยะอีก
ผมก็ไม่รุ้จะทำยังไง ก็เอามันยัดใส่ถังขยะซะ แล้วก็ดำเนินชีวิตตามปกติ
เหตุการณ์มันวนเวียนอยู่อย่างนี้ราวๆเกือบเดือน จนผมเริ่มทนไม่ไหว
จัดแจงปริ้นท์ประกาศสั้นๆ แปะหน้าถังขยะตรงจุดที่เจอไอ้เจ้าถุงพลาสติกนั่นประจำ
เนื้อความในประกาศนั้น ผมพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษว่า

"ถึงเจ้าของหมา กรุณาเก็บขี้หมาของหมาคุณไปทิ้งที่บ้าน หรือไม่ก็ช่วยเปิดฝาถังขยะแล้วทิ้งลงไปหน่อยเถิด"

ผมจำได้ว่าเขียนไปอย่างสุภาพ แกมขอร้องปนน่าสงสาร
แต่เชื่อมั้ย ว่าแม่งไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย!
ไอ้คนทิ้งถุงมันก็ยังทิ้งอยุ่เหมือนเดิม แุถมบางวันพี่แกเล่นเหวี่ยงถุงทำให้ขี้หมากระจายเต็มหน้าบ้าน
แล้วมันใช่เรื่องมั้ย ที่ผมต้องไปตามเก็บขี้หมาคนอื่น
เหตุการณ์ดำเนินเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ช่วงนั้นผมวุ่นกับการเรียนจึงไม่ได้คิดทำอะไรนอกจากรับสภาพซะ
เมื่อเจอขี้หมาใส่ถุงก็เอาไปทิ้งขยะโดยไม่ปริปากบ่น
จนวันนึงมีเหตุการณ์ที่ทำให้ผมรุ้สึกว่าพอละ มันมากเกินไป
วันนั้นมีคนเอาตู้ปลาแตกๆมาทิ้งไว้หน้าถังขยะผม
ตู้ปลากระจกแตกๆ ขนาดประมาณฟุตนึง
วันนั้นผมโกรธมาก ไอ้คนทิ้งนี่มันไม่คิดอะไรเลยหรอ
แถวนี้มีเด็กเล็กเดินไปมาประจำ ถ้าเด็กเขาสะดุดล่ะ บาดเจ็บได้เลยนะ
ผมเลยจัดการพิมพ์ป้ายในคอมก่อนจะขยายแล้วทยอยปริ้นท์ออกมาประกอบกันเป็นแผ่นใหญ่ขนาดประมาณเมตรนึง
เนื้อหาบนป้ายเขียนไว้ว่า
" กรุณาหยุดทิ้งขยะ ตู้ปลาและขี้หมาหน้าบนคนอื่นเถอะ ได้โปรด"

ผมจัดการติดป้ายบนผนังบ้านหลังถังขยะด้วยความร่วมมือของเหล่าโฮมเมท
ถึงขนาดวิ่งไปอีกหัวมุมถนนเพื่อดูว่าอ่านได้ชัดเจนดีหรือไม่
ผมพึงพอใจกับป้ายนี้มาก และวันรุ่งขึ้นผมก็ไปเรียนตามปกติและคิดว่าต้องป้ายใหญ่แบบนี้สิน่าถึงจะเวิร์ก

จวบจนเลิกเรียนผมกลับบ้านมาในตอนเย็น
เพื่อมาพบกับ
ถุงพลาสติกใส่ขี้หมา
และรู้ไหมครับว่าไอ้เจ้าถุงพลาสติกนั่นมันอยู่ที่ไหน

นั่นละ

ใช่เลย

คุณคิดถูกแล้ว

แม่งเอาไปยัดไว้ในตู้ปลาที่แตก...


ปล. สุดท้ายเพื่อนบ้านแถวนั้นแนะนำให้โทรแจ้งขยะมาเก็บ ไม่งั้นถ้ามีคนบาดเจ๊บเราจะเป็นคนผิด
ปล2 ผมติดป้ายนั้นทิ้งไว้โดยไม่แกะออก และหลังจากครั้งล่าสุดก็ไม่มีถุงขี้หมามาโผล่อีกเลย แถมมักจะมีคนจอดรถตรงหน้าบ้านแล้วถ่ายรูปเป้นที่ระลึกเป็นประจำ

Laundromat


Tuesday, May 27, 2014

อินทรีแดง








อินทรีแดงเป็นฮีโร่ไทย ที่น่าจะเรียกว่าเป็นของไทยแท้ๆได้
ไล่มาตั้งแต่สมัย มิตร ชัยบัญชา มาเป็น เจมส์ เรืองศักดิ์ จนถึง อนันดา

ผมตั้งตารอหนังเรื่องนี้มาตั้งแต่ได้ยินข่าวเปิดตัว
ด้วยความที่ชอบหนังฮีโร่, สัตว์ประหลาดเป็นเดิมทุน ประกอบกับช้ำใจจาก "ยอดมนุษย์เหล็กไหล" ยังไม่หาย
เลยหวังไว้ว่า อินทรีแดงจะมากู้ชื่อหนังฮีโร่ไทยได้บ้าง ประกอบกับได้ผู้กำกับมือดีอย่าง วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง ที่ทำ ฟ้าทะลายโจร มาก่อน
ยิ่งทำให้มีหวังว่าจะช่วยล้างตาจากยอดมนุษย์เหล็กไหลไปได้
พลอตหนังเหมือนหนังฮีโร่ทั่วไป
พระเอกมีปม จุดอ่อนจากอดีต
ศัตรูคู่อาฆาต ที่มีปูมหลังกับพระเอกมาก่อน
ตัวร้ายเป็นนักการเมืองมีอำนาจ และมีองค์การระยำหนุนหลังอยู่
ชาวบ้านผู้เดือดร้อน โดนอิทธิพลมืด
ตำรวจหนุ่มไฟแรง ยึดมั่นต่อกฏหมายและเป็นไม้เบื่อไม้เบากับฮีโร่นอกกฏหมาย
และนักข่าวสาวสวยผู้มาพัวพันกับฮีโร่นอกกฏหมายโดยบังเอิญ
โทนหนังดูมืดหม่นนิดๆตามสมัยนิยม ซึ่งตรงนี้ผมว่าทำออกมาได้ไม่แย่นัก
หลายฉากทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว ทั้งฉากเปิดตัวอินทรีแดง และฉากต่อสู้
รวมถึงงานออกแบบคาแรกเตอร์ ทั้งตัวปีศาจดำและเหล่าสมุนที่ทำออกมาได้ดีทีเดียว

จุดที่ผมคิดว่าทำให้หนังไม่ได้รับความนิยมน่าจะเป็น ความครึ่งๆกลางๆของตัวหนัง
มุขตลกที่สอดแทรกเป็นระยะบางจังหวะมันดูตั้งใจไป ทำให้ไม่แน่ใจว่าหนังจะไปทางไหน ตลกหรือซีเรียส
บทจะซีเรียสก็ซีเรียสฉิบหาย แล้วจู่ๆก็มาตลกคาเฟ่เฉยเลย
เช่นซีนที่ แก๊งค์มอไซค์ป่วนเมืองที่แต่งตัวยังกับหลุดมาจาก เคนชิโร่ หรือ Mad Max
แต่พอมาซิ่งบนถนนเมืองไทยกลางวันแสกๆ มันดูประหลาดพิกล
ตบท้ายด้วยตำรวจหนุ่มที่ต้องซิ่งรถขายไอติม จบเลย หนังตลกใช่มั้ยเนี่ย
ผมเข้าใจว่าอาจด้วยเรื่องทุน นายทุนหรืออะไรก็ตามทำให้ตัวหนังไปไม่สุด
ทั้งที่ถ้าไปอีกสักก้าว สองก้าว สามก้าว ตัวหนังน่าจะสมบูรณ์มากกว่านี้

อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวผมให้หนังเรื่องนี้เป็นอันดับหนึ่ง ในหนังแนวฮีโร่, สัตว์ประหลาดของไทย
หลังจาก ปักษาวายุ ยึดพื้นที่นี้มานานหลายปี
หนังเรื่องนี้ผมเก็บทั้งหน้ากากและ DVD
ซึ่งข้อเสียของ DVD อินทรีแดงเห็นจะมีอย่างเดียวคือ
ทำยังไงก็กดข้ามโฆษณาหนัง "หอแต๋วแตก แหวกชิมิ" ไม่ได้
หนังเห้อะไรเนี่ย

Falling Down






คนเราทุกคนมีจุดเดือดที่ต่างกัน
บางคนอาจทนเรื่องหนึ่งได้ดีกว่าอีกคน แต่บางครั้งหากเจอเรื่องที่มันจี้ใจดำขึ้นมา
จากจุดเดือดอาจกลายเป็นจุดระเบิดไปเลยก็ได้

วิลเลียม วิศวกรออกแบบอาวุธที่เพิ่งตกงานมาไม่นาน
ต้องการจะไปหาลูกสาวเพื่อฉลองวันเกิดที่บ้านเมียของเขา
เรื่องคงไม่มีอะไรถ้า วิลเลียมเองไม่ได้โดนคำสั่งศาลห้ามเข้าใกล้เมีย (อดีตเมีย)
แต่วิลเลียมเองยังยืนยันที่จะไป ลูกสาวอาจเป็นสิ่งเดียวทีเป็นแหล่งยึดเหนี่ยวจิตใจของเขาที่เหลืออยู่
เขาออกเดินทางด้วยรถยนต์กับเครื่องปรับอากาศห่วยๆ ท่ามกลางอากาศที่ร้อนจัดของ L.A.
วิลเลียมติดอยู่บนถนนมานาน จนใกล้เวลาเริ่มงานวันเกิดของลูกสาวที่ตัวเองไม่ได้รับเชิญแล้ว
เขาจึงตัดสินใจทิ้งรถ และออกเดินฝ่าการจราจรท่ามกลางเปลวแดดที่ร้อนจัด
นอกจากเปลวแดดที่แผดเผาตัววิลเลียมเองแล้ว
เหตุการณ์ต่างๆที่เขาเจอ เป็นเรื่องของการเอารัดเอาเปรียบกันคนละเล็กละน้อย
และไอ้คนละเล็กละน้อยนี่ล่ะ ที่ค่อยๆหลอมละลายจิตใจเขาไปทีละน้อยๆ จนถึงจุดที่ไม่เหลืออะไร

ผมดูหนังเรื่องนี้เป็นรอบที่เท่าไหร่นั้นจำไม่ได้
แต่คิดว่าไม่ว่าจะดูช่วงชีวิตไหนก็ตาม เรื่องของวิลเลียมก็ยังเข้ากันได้กับสังคมช่วงนั้นๆเสมอ
บทสรุปสั้นๆจากหนังเรื่องนี้คือ แค่ดำเนินชีวิตปกติก็ไม่ง่ายอยู่แล้ว ขอร้องล่ะอย่ามากวนตึนกันเหอะนะ นะ

Monday, May 26, 2014

X-Men: Days of Future Past



ซีรีย์ X-men นี่ผมไม่ได้ตามจริงจังชนิดต้องดูให้ครบทุกภาคเหมือน Spider-man หรือ The lord of the ring
อารมณ์ว่าถ้ามีก็ดู ไม่มีก็ไม่เป็นไร รอลงแผ่นหรือดูทางทีวีก็ได้
จนเมื่อ X-men: First class ออกมา เลยลองไปดูอีกทีเพราะเห็นว่ามีการ reboot ใหม่
ปรากฏว่าโคตรชอบ แม้ตัวมิวแทนจะรู้จักไม่รู้จักบ้างก็เหอะแต่ก็สนุกดี และที่ประหลาดใจสุดคือมี เควิน เบคอนเล่นด้วย
ไม่รู้ในโปสเตอร์หนังมีขึ้นไว้รึเปล่าว่ามี เควิน เบคอนเล่น แต่ไอ้ความไม่รู้อะไรเลยนี่ล่ะที่ทำให้ประหลาดใจดี
เหมือนตอนดู Pay it forward แล้วมี จอน บองโจวี่ โผล่มาเฉย
นักแสดงนำทั้งสองคนที่เล่นเป็น Professor X กับ Magneto ก็เล่นดี โดยเฉพาะคนที่เล่นเป็น Magneto นี่ยังประทับใจต่อใน Prometeus อีก
ดังนั้นจึงไปดูหนังเรื่องนี้โดยไม่มีอะไรมากไปกว่าชอบนักแสดงจาก X-men: First class ทั้งคนที่่เล่นเป็น Professor X และ  Magneto วัยหนุ่ม
เรื่องนี้ทำให้ชอบคาแรกเตอร์ Wolverine ยิ่งขึ้น ดูเป็นตัวละครที่มีอดีตเยอะดี แนวชีวิตบัดซบซะมาก
พ่อตาย เมียตาย เพื่อนตาย แฟนตาย ตายกันหมดในขณะที่พี่แกยังอยู่และต้องดูคนเหล่านั้นจากไป
ทำให้ดูเป็นคนที่มีปัญหาเยอะที่สุด และก็ต้องให้ไอ้คนที่มีปัญหาส่วนตัวเยอะที่สุดเนี่ยล่ะมาแก้ปัญหาเพื่อคนส่วนใหญ่
ตัวหนังเป็นไงลองไปดูกันเอง แต่สรุปสั้นๆว่า สนุกดี ชอบ
ตอนดูจบได้ฟีลเดียวกับดู The Dark Knight Rise
คนทำดีสักวันก็ต้องพบกับความสุขสิน่า

Sunday, May 25, 2014

The Cove


เรื่องมันเริ่มจากวันหนึ่งผมกับเพื่อนร่วมงานคุยกันเรื่องปลาโลมา
เพื่อนร่วมงานที่เป็นเมกัน บอกผมว่าประเทศญี่ปุ่นเนี่ยมีการฆ่าปลาวาฬและปลาโลมาเป็นจำนวนมาก
ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควร เพราะสัตว์ทั้ง 2 ชนิดนี้ควรจะได้รับการยกเว้นไว้
ผมถามต่อว่าทำไมถึงคิดว่าถึงควรจะอนุรักษ์ไว้ละ ญี่ปุ่นเขาล่าเพื่อเป็นอาหารไม่ใช่หรือ
เพื่อนผมตอบว่า ก็ใช่ แต่ปลาโลมาเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และที่สำคัญคือมันฉลาดมาก เลยไม่ควรกินมัน
ผมถามต่อว่า อ้าว แล้วถ้าทางนั้นเขากินกันเป็นปกติ เรามีสิทธิ์ที่จะไปห้ามเขาไม่ให้กินอะไรและกินอะไรได้งั้นหรือ
นายยังกินวัวเลย ถ้าเราห้ามไม่ให้นายกินวัวจะได้ไหม
ผมจำไม่ได้ว่าคำตอบของเพื่อนผมคืออะไร แต่จำได้ว่ารู้สึกคาใจเลยไปหาสารคดีปลาโลมามาดูเพื่อหาคำตอบ

เรื่องที่ว่าคือ The Cove เป็นสารคดีที่ลักลอบถ่ายทำเพื่อให้เห็นถึงการล่าปลาโลมาประจำปีที่เมืองไทจิ ประเทศญี่ปุ่น
ผู้ดำเนินรายการคือดาราจากหนังซีรีย์ยุคเก่าที่ผันตัวมาทำงานกิจกรรมเกี่ยวกับปลาโลมาเต็มตัว
ตัวสารคดีเล่าถึงการเตรียมตัว เตรียมพร้อมทั้งด้านอุปกรณ์และวางแผนทั้งหลายแหล่
อารมณ์ตอนดูเหมือนกับดูหนังจารกรรมเรื่องหนึ่ง มีการประชุม วางข้อสรุป และโชว์ของเล่นอุปกรณ์ต่างๆ
เช่นกล้องที่เขาจะเอาไปแอบถ่าย มีการทำโครงรูปหินมาครอบจากทีมงาน Visual effect เหมือนชนิดที่ว่ามองด้วยตาเปล่านี่แยกไม่ออกเลยทีเดียว
ระหว่างดูผมคิดไปว่า มันเวอร์ไปรึเปล่า ตั้งกล้องเฉยๆก็ไม่มีใครเห็นแล้วมั้ง
จนกระทั่งทีมงานเดินทางไปถึงญี่ปุ่นและมุ่งสู่เมืองไท่จิ
และนับตั้งแต่ทีมงานย่างก้าวเข้าสู่เมือง ทีมงานซึ่งเป็นฝรั่งทั้งหมดถูกจับตามองตลอดเวลา
ไล่ไปตั้งแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจจนไปถึงกลุ่มชายฉกรรจ์ที่มาขอร้องแกมข่มขู่ให้ออกจากพืนที
ทีมสารคดีต้องพยายามอยู่นานกว่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ คือภาพการสังหารหมู่ปลาโลมา
ภาพที่เห็นคือกลุ่มชาวประมงต้อนฝูงปลาโลมาเข้าไปทีเวิ้งน้ำจากนั้นจึงใช้ฉมวกแทง
น้ำทะเลบริเวณนั้นกลายเป็นสีแดงฉาน ขณะที่ปลาโลมาบางส่วนพยายามหาทางหนีแต่ก็ไม่สำเร็จ
จากนั้นภาพตัดไปที่ริมถนนขณะที่กลุ่มเด็กนักเรียนอนุบาลกลับบ้าน ปลาโลมมาบางส่วนก็ถูกลากมาวางริมถนน
ผมคิดว่าภาพเช่นนี้คงเป็นเรื่องปกติของเมืองนี้ เหล่าเด็กนักเรียนไม่ได้มีอาการตกใจแต่อย่างใด
จากนั้นผู้ดำเนินรายการกลับมาที่โตเกียว และเอาภาพวีดีโอที่ถ่ายได้ให้คนญี่ปุ่นทั่วไปดู
หลายคนตกใจในสิ่งที่เห็น เพราะพวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีการทำเช่นนี้อยู๋
บางคนไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ทีมสารคดีทำเพราะเป็นการตัดสินด้วยวิถีที่ต่างกัน
ตัวผู้ดำเนินรายการพยายามชี้ให้เห็นว่าการล่าโลมาไม่มีประโยชน์เพราะเนื้อปลาโลมากินไม่ได้
เนื่องจากมีสารปรอทผสมอยู๋จำนวนมาก และที่น่าตกใจคือถึงแม้จะไม่มีการขายเนื้อปลาโลมาให้เห็น
แต่กลับขายเนื้อปลาโลมาโดยหลอกว่าเป็นเนื้อปลาวาฬแทน

ผมดูสารคดีชึ้นนี้จบด้วยคำถามที่เพิ่มขึ้น
เราควรล่าปลาโลมาไหม
แล้วถ้างั้นเราควรทำยังไงถึงจะเปลี่ยนความคิดของคนที่ล่าอยู่ได้
การไปห้ามนี่ถือเป็นการก้าวก่ายวิถีชีวิตที่ดำเนินมานานแล้วหรือไม่
และที่สำคัญคือเรามีสิทธิอะไรไปตัดสินคนอื่นว่าให้ทำสิ่งนี้และห้ามทำสิ่งนั้น

ปล. ผู้ดำเนินสารคดีคือ Richard O'Barry ดาราจากเรื่อง Flipper
ซีรีย์ยอดนิยมสมัยก่อนเป็นเรื่องเกี่ยวกับปลาโลมาแสนรู้ และความนิยมในการนำปลาโลมามาแสดงโชว์ก็เกิดจากความนิยมของซีรีย์ยอดฮิตนี้นั่นเอง
จุดผันเปลี่ยนของ Richard ในการหันมาอนุรักษ์ปลาโลมาคือเมื่อวันหนึ่งปลาโลมาจากเรื่อง Flipper ตัดสินใจไม่ขึ้นมาหายใจและตายในอ้อมกอดของเขา

Grizzly man



สารคดีเรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่ชอบมาก จากการค้นพบโดยบังเอิญบน Netflix
ซึ่งไอ้ Netflix เนี่ยมันมีหนังแปลกๆ หนังกระแสหลัก กระแสรองให้ดูกันตาแฉะเลย
สาเหตุที่ดูตอนนั้นเพราะชื่อเรื่องน่าสนใจดี เดาว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับหมีกริซลี่จึงไม่รีรอที่จะดู

เรื่องเปิดมาด้วยการแนะนำตัวละครหลักคือ Timothy Treadwell คร่าวๆ
สารคดีเรื่องนี้เป็นสารคดีในสารคดีคือ ตัวทิโมธีเองเป็นทั้งคนดำเนินเรื่องและคนถ่ายทำสารคดีทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว
และ Werner Herzog นักสารคดีเป็นคนเอาฟุตเทจทั้งหมดมาเรียบเรียงและเพิ่มบทสัมภาษณ์ทีหลัง
วิธีการทำงานของ ทิโมธี คือ แกเล่นเข้าไปอาศัยอยู่ในเขตอนุรักษ์หมีกริซลี่เพียวๆไม่มีอาวุธ มีแค่อุปกรณ์ถ่ายภาพ เต๊ณท์ผ้าใบกับน้ำดื่มและอาหารเท่านั้น
พี่แกเล่นไม่พกอาวุธหรือแม้แต่สเปรย์ไล่หมีเลย แล้วใครที่ไหนจะกล้าเข้าไปลุยด้วยกันกับแกล่ะ
เหตุที่ไม่พกอาวุธเพราะ ทิม (ต่อไปขอเรียกสั้นว่างี้) แกให้เกียรติหมี เมื่อแกตัดสินใจเข้าดินแดนหมีแล้ว ก็ต้องเคารพหมีตาม
มีหลายครั้งที่หมีเด็กมาท้าทายทิม ทิมซึ่งปกติจะพูดกับหมีด้วยโทนเสียงแบบเด็ก (เสียงเหมือนไมเคิล แจ๊คสัน)
ถ้าหมีเข้ามาท้าทาย ทิมจำเป็นต้องโต้ตอบด้วยการขู่ ทำตัวให้ดูใหญ่ขึ้นเพื่อให้หมีรุ้จักเกรง
หลายซีนในสารคดีโชว์ให้เห็นหลายจังหวะที่หมีหันกลับมา หรือพร้อมที่จะท้าทายทิม
น่าทึ่งที่ทิมเอาตัวรอดได้ในหลายๆครั้ง ทั้งปรับตัวเข้ากับหมีในระยะที่ใกล้มากเพื่อถ่ายภาพ และเป็นเพื่อนกับหมาจิ้งจอก
ทิมดำเนินชิวิตเช่นนี้ทุกๆฤดูร้อน (อุทยานเปิดให้คนเข้าได้ช่วงนั้น) ช่วงเวลานอกเหนือจากนั้นคือการหาทุน  และไปเป็นวิทยากรตามโรงเรียนต่างๆ
ทิมคิดว่าสิ่งที่แกทำอยุ่นี้คือการช่วยและปกป้องหมี
ช่วยหมีจากอะไร
หมีที่อยู่ในอุทยานยังต้องการการปกป้องอีกหรือ
ยังไงก็แล้วแต่ ทิมแกดำเนินชีวิตเช่นนี้ต่อเนื่องมาเป็นสิบปี บางคร้งพี่แกก็พาแฟนเข้าไปด้วย

จนถึงฤดูร้อนครั้งที่13 ครั้งนี้ทิมพาแฟนสาวเข้าไปด้วยตามปกติ
เป็นฤดูร้อนสุดท้ายของทั้งทิมและแฟนสาว
ทิมถูกกินทั้งเป็นขณะที่แฟนสาวของเขาเสียชีวิตจากการพยายามช่วยทิมและถูกกินเช่นกัน
ตัวสารคดีพาเราย้อนกลับไปยังช่วงเวลาก่อนเกิดเหตุ
ทิมเจอหมีแก่ผอมโซตัวหนึ่ง ซึ่งเขาไม่เคยเห็นมันมาก่อน หมีตัวนี้อาจซมซานมาจากถื่นอื่น
ทิมรู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่ที่อยู๋ๆหมีตัวนี้ก็โผล่มา แต่เนื่องจากทั้งเขาและแฟนสาวจะกลับในวันรุ่งขึ้นอยู่แล้วจึงไม่ได้คิดอะไร
หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง ทิมและแฟนสาวถูกหมีตัวนี้จู่โจม
ก่อนที่นักบินที่ขับเครื่องบินมารับจะพบหมีตัวนี้ในวันรุ่งขึ้นที่เต๊ณท์ของทิม
หลังจากนั้นนักบินและเจ้าหน้าที่จึงพบส่วนที่เหลืออยู่ของทิมและแฟนสาว
หมีสองตัวถูกสังหารจากเหตุการณ์นี้ และเรื่องที่ยังเป็นเรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่งคือ
ขณะเสียชีวิต ทิมเปิดกล้องวีดีโอทิ้งไว้ แต่ไม่ได้หยิบออกไปด้วย
สิ่งที่เป็นบันทึกว่าทิมเสียชีวิตจากการถูกหมีกินทั้งเป็นคือไมโครโฟนที่ติดตัวเขาอยู่
เทปชุดนั้นภายหลังได้ส่งให้กับเพื่อนสนิทของทิมเป็นคนเก็บไว้
ตัวสารคดีไม่ได้บรรยายรายละเอียดส่วนนั้นไว้ แต่ตัวผู้ดำเนินรายการได้มีโอกาสฟังก่อนที่จะแนะนำให้ทำลายเทปนี้เสีย
ตัวสารคดีไม่ได้สรุปว่าสิ่งที่ทิมทำลงไปนั้นถูกหรือผิด บ้าหรือโง่เขลา
สิ่งที่แสดงให้เห็นคือความเชื่อ ความเชื่อไม่มีถูกหรือผิด ธรรมชาติเองจะเป็นคนบอกเมื่อถึงเวลา

Saturday, May 24, 2014

Godzilla

ก๊อตซิลล่าเป็นสัตว์ประหลาดตัวนึงทีชอบมาตั้งแต่สมัยเด็ก
เมื่อก๊อตซิลล่า 2014 เข้าโรง ผมจึงไม่รีรอที่จะรีบไปดู
ระหว่างดูหนังผมเกิดความรุ้สึกคิดถึงความหลัง ไม่ว่าจะเป็นก๊อตซิลล่าที่ไม่ได้ดูมานานแล้ว หรือซานฟรานซิลโกที่เป็นเหมือนบ้านหลังที่สองของผม
การเห็นซานฟรานซิสโกก็ทำให้เกิดความรู้สึกโฮมซิกเหมือนกันนะแม้ตอนนี้จะอยู่โฮมทาวน์ก็เหอะ
เวลาตัวละครในเรื่องพูดชื่อถนน หรือเมือง ผมสามารถจินตนาการได้ชัดเจนว่าสถานที่นั้นอยู่ตรงไหน
ถ้าจะไปต้องเดินทางยังไง แถวนั้นมีอะไรกินบ้างหรืออันตรายมั้ยตอนดึกๆ
หรือเวลาเห็น iconic อย่างสะพานโกลเด้นเกทที่แม่งพังในหนังหลายๆเรื่อง
ผมมักจะนึกถึงเย็นวันหนึ่งที่ปั่นจักรยานกลับบ้านบนสะพานนั้นในขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังตกทางฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก
แสงอาทิตย์ในช่วงเวลานั้นเกินกว่าจะบรรยาย ละอองแดดที่จับตัวกับควันรถผสานไปกับประกายระยิบระยับจากมหาสมุทรแปซิฟิก นั้นงดงามมาก ช่วงเวลานั้นแม้เป็นชั่วโมงเร่งด่วนมีรถข้ามสะพานเป็นจำนวนมาก แต่ผมกลับไม่ได้ยินเสียงหนวกหูของรถยนตร์เลย เหมือนเวลาเราดูหนังแล้วจะเกิดเสียงเงียบช่วงสั้นๆก่อนจุดไคลแมกซ์จะระเบิด เรียกได้ว่าเข้าขั้นคลาสสิกเลยทีเดียว
ผมอิ่มเอมไปกับเจ้าก๊อตซิลล่าและซานฟรานซิสโกตลอดชั่วโมงของหนัง
จนกระทั่งถึงซีนที่มูโต้วางไข่และฟัดกับก๊อตซิลล่า หน้าประตูไชน่าทาวน์
ซีนนั้นเองที่ทำให้ผมรุ้สึกตัวว่า

ถ้าก๊อตซิลล่ามีจริง

และผมยังอยู่ซานฟรานซิสโก

ผมแม่งตายแน่นอน เพราะอพาทเมนต์ที่เคยอยู่แม่งอยู่ในระยะรัศมีหางพอดี
โชคดีที่กลับมาก่อน...