Wednesday, June 4, 2014

ไอ้กิ๊บ

กิ๊บเป็นเพื่อนมาตั้งแต่สมัยที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยมาด้วยกัน เราเรียนที่คณะและภาควิชาเดียวกัน แต่เราไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย ผมเป็นคนนิ่งๆเฉยๆ ขณะที่กิ๊บเป็นคนชอบลองอะไรใหม่ๆและกวนส้นตีน ด้วยเหตุนี้หลังจากเรียนจบกิ๊บจึงทำงานเป็นครีเอทีฟที่บริษัทโฆษณาแห่งหนึ่ง กิ๊บทำงานอยู่ได้พักใหญ่ก่อนที่จะตัดสินใจเปิดโลกกว้าง กิ๊บจึงจัดแจงทำเรื่องมาเรียนภาษาที่ต่างประเทศ โดยช่วงก่อนมากิ๊บปรึกษาผมเป็นระยะเรื่องการเรียนภาษา และงบประมาณ ผมก็ให้คำแนะนำไปว่าถ้ามาเรียนภาษาเนี่ย มีหลายเมืองที่ค่าใช้จ่ายไม่แพงและได้ภาษาแน่ๆเพราะคนไทยน้อย แต่กิ๊บก็ยังยืนยันว่าจะมาซานฟรานซิสโกให้ได้ ผมเองไม่แน่ใจว่ากิ๊บมันอยากมาซานฟรานซิสโกเพราะชอบเมืองหรือเพื่อความอุ่นใจในชีวิตว่าอย่างน้อยก็ยังมีคนรู้จักอยุ่คนนึง คงไม่น่าจะอดตายแน่ เอาเป็นว่าสุดท้ายแล้วกิ๊บตัดสินใจมาเรียนภาษาต่อที่ซานฟรานซิสโก

ผมนั่งอยู่บนม้านั่งที่สนามบิน San Francisco International Airport (SFO) ที่ห่างจากตัวเมืองซานฟรานซิสโกไกลออกไปประมาณ 45 นาที ผมไปถึงก่อนเวลาที่เครื่องจะลงประมาณครึ่งชั่วโมง ซึ่งกิ๊บย้ำแล้วย้ำอีกว่าให้ผมมาก่อนเวลา ไม่งั้นเดี๋ยวมันออกมาไม่เจอแล้วไม่รู้จะทำไง เลยเวลาเครื่องลงได้สักพักผมก็มองไปที่ประตูทางออกสำหรับผู้โดยสารที่มาจากต่างประเทศซึ่งมีอยู่ทางออกเดียว ผู้โดยสารเริ่มทยอยกันออกมาเรื่อยๆแล้วผมก็เห็นไอ้กิํบเดินออกมาพร้อมกลุ่มผู้โดยสารกลุ่มใหญ่ ผมลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไปหา แต่ช้าก่อน ผมหยุดเดินและยืนมองกิ๊บท่ามกลางกลุ่มผู้โดยสารอยู่เงียบๆ
ปรากฏว่ากลุ่มผู้โดยสารทั้กิ๊บเดินมาด้วยนั้นเป็นชาวไทย ซึ่งไอ้กิ๊บเนี่ยล่ะเป็นคนขอเกาะกลุ่มกับเขาออกมาด้วย ผมยืนดูกิ๊บพูดคุยกับกลุ่มผู้โดยสารชาวไทยและสักพักทั้งกลุ่มก็แยกตัวไป กิ๊บไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ขอบคุณและร่ำลาเพื่อนร่วมทางที่ช่วยพามันออกมาจากเครื่องบินได้
เมื่อกลุ่มผู้โดยสารชาวไทยจากไป กิ๊บก็ยืนอยู่ตัวคนเดียวโดยที่ไม่รุ้ว่าผมยืนอยู่ไม่ไกลนัก ผมมองกิ๊บที่ดูล่กๆขณะที่มันกำลังล้วงกระเป๋าหาอะไรสักอย่างอยู่และใช้เวลาอยู่สักพักกิ๊บจึงเห็นว่าผมยืนอยู่ข้างหน้ามัน
"อ้าว ไอ้เชี่ย กูไม่เห็นมึง" กิ๊บดูดีใจมากที่ได้เห็นผม
"กูกำลังหาเบอร์จะโทรหามึงอยู่เลย" ผมตอบกิ๊บไปว่ารู้แล้วเพราะแอบดูมันอยู่นาน ผมถามกิ๊บว่ามันตามกลุุ่มคนไทยมาตั้งแต่ที่ไทยเลยหรอ กิ๊บก็บอกว่า เปล่า มันเพิ่งรู้จักกันบนเครื่องเนี่ยล่ะ แต่ก่อนหน้านั้นมันบอกทางสายการบินตอนเช็กอินว่า มันไม่รุ้เรื่องอะไรเลย กลัวว่าจะหลงและเปลี่ยนเครื่องไม่เป็น
"อ้าว แล้วมึงทำไงวะ" ผมถามกิ๊บเพราะไอ้ตอนเปลี่ยนเครื่องนี่ก็มึนอยู่เหมือนกัน
กิ๊บบอกว่า " พอกูบอกไปงี้ เขาก็ให้สติ๊กเกอร์มาอันนึง พอกูแปะเสร็จก็มีคนบอกทางกูตลอดเลย แบบแทบจะจูงกูไปแต่ล่ะที่"
ผมเหลือบมองสติํกเกอร์ที่ว่าถึงเห็นว่าเป็นสติ๊กเกอร์สำหรับช่วยเหลือเด็กที่เดินทางตัวคนเดียว
ผมไม่แน่ใจว่าไอ้สติ๊กเกอร์นี้มันมีกำหนดอายุขั้นต่ำไว้หรือไม่ แต่ก็นับว่าไอ้กิ๊บมันรอบคอบพอสมควร

เราเดินกันไปขึ้นรถชัตเติลบัสข้างนอกสนามบินเพื่อเดินทางเข้าสู่ซานฟรานซิสโก  ซึ่งนอกจากรถชัตเติลบัสแล้ว เราสามารถเดินทางด้วยBart (รถไฟวิ่งจากในตัวเมืองซานฟรานซิสโกไปเมืองอื่น) หรือแทกซี่ก็ได้ แต่เนื่องจากไอ้กิ๊บขนกระเป๋ามาพะรุงพะรัง การเดินทางด้วย Bart ดูจะไม่ค่อยสะดวกนักแถมแทกซี่ก็มีราคาสูงไป ชัตเติ้ลบัสซึ่งเป็นการแชร์รถจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด หลังจากผมบอกจุดหมายแก่คนขับเรียบร้อย เราสองคนขึ้นไปนั่งบนชัตเติลบัสเพื่อรอผู้โดยสารคนอื่นอีกไอ้กิ๊บก็เริ่มพูดถึงบ้านที่มันจะไปอยู่โฮมสเตย์
"เนี่ย มึงดูดิ่" กิ๊บยื่นกระดาษที่ปรินท์ออกมาให้ผมดู บนกระดาษเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับโรงเรียนสอนภาษาที่มันจะไปเรียน และมีรายละเอียดของบ้านโฮมสเตย์ที่มันจะไปอยู่ด้วย บ้านที่กิ๊บจะไปอยู่มีเจ้าของบ้านขื่อ ซูซี่ เป็นคนฟิลิปปินส์และมีสามีกับลูกชายอยู่ที่บ้านด้วยโดยในกำหนดการคือ 3 วันหลังจากนี้
"แม่ง บ้านในฝันกูเลย" กิ๊บเริ่มพร่ำให้ผมฟัง
"มึงดูดิ่ บ้านมีสวน มีห้องพร้อม" กิ๊บชี้ให้ผมดูรูปที่ปรินท์ออกมาซึ่งภาพมันเล็กและแตกมาจนผมไม่แน่ใจว่ากำลังดูอะไรอยู่
"เจ้าของบ้านก็ดูใจดี มึงว่าเขาจะชอบกูรึเปล่าวะ"
"มึงใจเย็น แค่รูปกับตัวหนังสือใครก็บอกได้ป่าววะ ลองดูของจริงก่อนสิ" ผมรีบเบรกกิ๊บก่อนที่มันจะตัดสินใจไปเป็นลูกบุญธรรมของบ้านนั้น
"มึงแม่งไม่รุ้อะไร นี่ล่ะบ้านในฝันของกู" กิํบดูไม่พอใจที่ผมขัดภาพในฝันของมัน

ช่วง 2 วันแรกเหตุการณ์ไม่มีอะไร ผมให้กิ๊บพักอยู๋ที่ห้องรับแขกของบ้านซึ่งห้องนี้ผมและโฮมเมททั้ง 2 ตกลงกันไว้ว่าให้เป็นห้องพักเวลามีแขกต่างเมืองมาเยี่ยม
จนวันที่ 3 ซึ่งเป็นวันก่อนวันที่กิ๊บจะต้องเดินทางไปพักที่โฮมสเตย์
กิิ๊บเดินเข้ามาหาผมในห้องแล้วบอกว่า "กูจะโทรไปโฮมสเตย์แล้วนะ" ผมพยักหน้าและซักซ้อมกับกิ๊บอยู่พักนึงว่าควรจะพูดอะไรบ้าง เริ่มจากการทักทายและแนะนำตัว จากนั้นค่อยบอกเขาว่าพรุ่งนี้จะเข้าไปหา
แล้วกิ๊บก็เริ่มกดโทรศัพท์ สัญญาณดังอยู่ 3-4 ครั้งแล้วก็มีคนรับ
"Hello, is that Suzie?" กิ๊บท่องตามที่เตรียมมาไว้
ปลายสายเงียบไปสักพัก ผมเดาว่าคนรับซึ่งเป็นใครไม่รู้คงวิ่งไปตามซูซี่มารับสาย
พอไถ่ถามกันจนซูซี่รับสายแล้ว กิ๊บก็เริ่มบทสนทนาตามที่ซ้อมไว้โดยเริ่มจากการ แนะนำตัวเอง
"Hi, I'm Komsan. I am a student of Aspect(ชื่อโรงเรียนสอนภาษา) you know?"
ปลายสายคงรู้อยู่แล้วว่าจะมีนักเรียนมา กิ๊บจึงเริ่มคุยต่อ
" Ah, tomorrow I will to go to your my house" กิ๊บบอกซูซี่ว่าพรุ่งนี้จะเข้าไปหา
" I'll go around 2 or 3 AM PM" หลังจากนั้นกิ๊บก็นัดเวลาที่จะไปที่บ้านซูซี่สักประมาณบ่าย 2-3 โมง 
" Ah, I stay at a sunset. Yeah... with your friend" ซูซี่คงถามกิ๊บว่าตอนนี้มันพักอยู่ที่ไหน กิ๊บจึงบอกว่าตอนนี้นะมันพักอยู่กับเพื่อนซึ่งก็คือผมนี่เอง
หลังวางโทรศัพท์ อยู่ๆกิ๊บก็เกิดอาการตื่นเต้นเหมือนเสียความมั่นใจนิดหน่อยและเริ่มกลัวว่าจะไปอยู่กับเขาแล้วไม่รู้เรื่อง ซึ่งผมก็ว่าซูซี่ก็น่าจะไม่รู้เรื่องน่ะแหละ เพราะขนาดมันพักอยู่บ้านเพื่อนของซูซี่เอง ซูซี่ยังไม่รุ้เลยแถมพรุ่งนี้จะไปหาซูซี่แต่เช้าตรู่ราวๆตีสามด้วยไม่รู้ซูซี่จะตื่นมารอไหวมั๊ย
ผมปลอบใจกิ๊บว่า ภาษาน่ะใช้ๆไปเหอะเดี๋ยวมันก็ดีเอง กิ๊บก็รู้สึกดีขึ้นและวันรุ่งขึ้นก็เดินทางออกจากบ้านผมไปอยู่กับโฮมสเตย์อย่างมีความสุข ซึ่งถ้าใครรู้จักกิ๊บเนี่ย ก็น่าจะรู้ว่ามันไม่น่าจะเรียบง่ายขนาดนี้ และเพียงหนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้น ยังไม่ทันที่ผมจะเก็บกวาดห้องที่มันทำรกให้เรียบร้อยเลย กิ๊บก็โทรมาหาผมว่า
"ตอย พรุ่งนี้มึงว่างป่าววะ"
"ทำไมวะ มีไร"
"มึงมาช่วยขนของกับกูหน่อย"
"ของอะไรของมึงวะ" ผมถาม
"กระเป๋ากูเอง" กิ๊บตอบ
"ขนกระเป๋ามึง? มึงจะไปไหนวะ" ผมสงสัยเพราะคิดว่าเพิ่งมาได้อาทิตย์เดียวไม่คิดว่ามันจะกล้าไปซ่าต่างแดนซะแล้ว
กิ๊บนิ่งไปนิดก่อนตอบว่า 
"ไปบ้านมึง"
"บ้านกู?"
"เออ กูโดนไล่ออกจากบ้าน ให้กูไปอยู่บ้านมึงนะ"
"..........."

วันถัดมาผมและนิวรุ่นน้องที่โรงเรียนจึงขับรถไปรับไอ้กิ๊บกัน พอไปถึงเจอกิ๊บยืนอยู่หน้าบ้านสีหน้าไม่สู้ดีนัก ผมกับนิวจึงขนกระเป๋ามันขึ้นรถมาและไม่ได้ถามอะไรจนมาถึงบ้าน กิ๊บก็จัดแจงขนของเข้าไปอยู่ห้องรับแขกเหมือนเดิม
ผมเองไม่ค่อยได้ยินว่ามีใครโดนไล่ออกจากโฮมสเตย์มาก่อน จึงถามกิ๊บว่าเรื่องมันเป็นยังไงมายังไง
ไอ้กิ๊บซึ่งกำลังนั่งกินข้าวไข่เจียวไข่ 2 ฟองอยุ่จึงเล่าให้ฟังว่า
"คืองี้นะ ไอ้บ้านที่กูอยู่เนี่ย เขาจะมีข้าวให้วันละมื้อคือมื้อเช้า นอกนั้นต้องหากินเอง" ซึ่งโดยทั่วไปโฮมสเตย์จะเป็นแบบนี้เพราะนักเรียนภาษาที่มาพักก็จะไปหาอะไรกินหลังเลิกเรียนกันเอง
"กูก็เลยซื้อข้าวมาเก็บไว้หุงกินเอง ทีนี้วันนีงกูจะหุงข้าวกินใช่มั้ย" กิ๊บพูดไปเคี้ยวไข่เจียวคำโต
"กูก็ไปดูหม้อหุงข้าว ทีนี้มันมีข้าวที่เขาหุงไว้อยู่แต่ยังไม่ได้มีรอยตักอะไรเลย คงหุงไว้กินทีหลัง กูก็เลยคดข้าวเขาออก แล้วเอาข้าวกูใส่ลงไปหุง พอหุงเสร็จกูก็เอาข้าวกูออกแล้วเอาข้าวเขาใส่ลงไปเหมือนเดิม"
จากที่เล่ามาผมก็เห็นว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนี่ กิ๊บเลยเล่าต่อว่า
"ทีนี้พอซูซึ่กลับมา แม่งมาถามว่ากูมีอะไรจะบอกรึเปล่า กูก็ไม่รู้ว่ามีอะไรแต่ซูซี่มันหาว่ากูแอบกินข้าวมัน
กูเลยอธิบายไปว่า ไม่ใช่ คือกูหุงข้าวแล้วกูเอาข้าวมึงออกไปไง แล้วค่อยเอาข้าวกูมาหุง พอเสร็จก็ตักเข้าที่เดิม" ผมเองพยายามนึกภาพตามว่าถ้าเป็นผมจะพูดเป็นภาษาอังกฤษว่ายังไง
"แล้วแม่งก็ไม่เข้าใจ มันบอกว่ากูแอบกินข้าวมันเพราะข้าวมันไม่เรียบมีรอยตัก" กิ๊บเล่าต่อ
"มันบอกว่ากูขโมยข้าวมันกิน กูก็ฉุนดิ่กูเลยบอกมันไปว่า กูมีตังค์ กูหาข้าวกินเองได้ I have money I can buy rice" ผมพยักหน้าตาม
"คราวนี้ซูซี่แม่งเลยโมโหบ้าง ขึ้นเสียงกับกูว่า อย่ามาพูดเรื่องเงินกับมัน มันน่ะจิตใจดี" กิ๊บบอกกับผมว่าตอนนั้นมันก็โมโหเข้าไปใหญ่เลยบอกซูซี่ว่า

"YOU NOT HEART GOODNESS!" 

ผมไม่รู้ว่าซูซี่รู้รึเปล่าว่ามันแปลว่าอะไร เพราะผมเองยังไม่รู้เลยแต่ยังไงก็แล้วแต่ ไอ้กิ๊บก็โดนอัปเปหิมาอาศัยอยู่กับผมจนได้



No comments:

Post a Comment