Thursday, December 10, 2015

เงาสะท้อน




They told me to go back.
Only when I look at the reflection.
It told me to go forward.
But how do I go there, I asked.
It doesn't look safe at all.
There are no ground to support me.
The reflection just stare blankly back at me and said.
Oh you gotta support yourself, that's all.

พวกเขาบอกผมว่าอย่าไปเลย
จะมีก็แต่เงาในกระจกที่เห็นต่าง
เงานั้นบอกให้ผมเดินต่อไป
แต่จะไปอย่างไรล่ะ ผมถาม
ที่ตรงนั้นมันดูไม่ปลอดภัยเลยนะ
แล้วยังไม่มีทางให้ผมเดินอีกด้วย
เงาในกระจกมองกลับมาที่ผมอย่างเฉยเมยแล้วบอกว่า
นี่นะ ทางนั้นน่ะ นายก็ต้องสร้างขึ้นมาเองสิ

Friday, August 7, 2015

ฝน



ค่ำคืนฝนวันที่ฝนตกพรำๆ ผมนั่งมองฝนในรถแท๊กซี่

หยดน้ำฝนร่วงลงมาเกาะหน้าต่างข้างรถแท๊กซี่ หยดน้ำเม็ดใหญ่อยู่กันกระจัดกระจาย
ดูแล้วรู้สึกว่าหยดน้ำเหล่านี้มีความแข็งแรงและหนักแน่น พอที่จะอยู่กันแบบหยดใครหยดมัน
ด้วยว่าหากหยดน้ำเหล่านี้รวมตัวกันเมื่อไหร่ จากหยดเป็นหยาด ก็จะพากันร่วงหล่นตามแรงโน้มถ่วงออกจากกระจกลงสู่พื้น
 อากาศภายในรถเริ่มเย็นขึ้นจากลมของเครื่องปรับอากาศ ละอองฝ้าที่หน้าต่างเริ่มปรากฏตัว และรวมกันเป็นกลุ่มก้อนค่อยๆขยายพื้นที่ทีละน้อย ละอองฝ้าเหล่านี้ดูสงบนิ่งและไม่หวั่นไหวต่อสิ้งเร้า อุณหภูมิจากเครื่องปรับอากาศภายในที่คงที่ ทำให้ละอองฝ้าดูกล้าแกร่งและรุกคืบอย่างมั่นคง แต่ก็คงไม่นาน เมื่อใดที่อุณหภูมิภายนอกเปลี่ยน เมื่อนั้นละอองฝ้าเหล่านี้ก็จะหายไป

สัญญาณไฟเขียวสว่างวาบ รถแท๊กซี่เคลื่อนตัวด้วยความเร็วปกติและเริ่มเร็วขึ้นทีละน้อย
หยดฝนภายนอกเริ่มมีการเคลื่อนไหว ความเร็วของรถแท๊กซี่แหวกอากาศภายนอกรวมถึงหยดฝนเหล่านั้นด้วย ผมมองหยดฝนหลายเม็ดที่เริ่มสุญเสียการทรงตัว บางถูกแรงผลักออกไปจากหน้าต่าง บ้างถูกดันไปรวมกันหยดฝนเม็ดอื่นๆ จนหยาดเป็นทางก่อนจะหายลับไป บรรยากาศภายนอกเหมือนหนังแอ๊กชั่นที่กำลังเข้าสู่ช่วงพีค สงครามระหว่างหยดฝนและความเร็วกำลังถาโถมกันอยุ่ด้านนอก แต่บรรยากาศภายในรถนั้นกลับนิ่งสนิท มีเพียงเสียงครางจากเครื่องปรับอากาศเท่านั้น

ผมนั่งมองหยดฝนสลับกับละอองฝ้าจนถึงที่หมาย






Thursday, July 9, 2015

สถานีต่อไป

เขามีเวลาแค่ 15 วินาทีก่อนที่ประตูรถไฟฟ้าจะปิด
เวลา 15 วินาทีที่ว่านั้น ยังไม่รวมเวลาที่เธอได้เดินจากไป
เขาและเธอไม่รู้จักกัน หากแต่เขามีความรู้สึกคุ้นเคยกับเธออย่างประหลาด
ช่วงเวลาแค่ 10 นาทีที่ใช้ร่วมกันบนขบวนรถไฟฟ้าขบวนนี้
กลับทำให้เขารู้สึกอยากจะรู้จักเธอให้มากกว่านี้
ชายหนุ่มไม่ได้ปริปากเอ่ยคำใดๆออกมาตลอดการเดินทาง
เขาลอบมองเธอผ่านวงแขนของผู้โดยสารรอบกาย
น่าแปลกที่ไม่มีใครสังเกตเธอเลย มีเพียงแค่เขาคนเดียว
เขาพยายามรวบรวมความกล้าอยู่เงียบๆ โดยที่สาวแปลกหน้าไม่ได้ระแคะระคายแม้แต่น้อย
เธอก้าวเท้าออกจากรถไฟฟ้าด้วยจังหวะที่เธอทำเป็นประจำ
หากแค่ชายหนุ่มคุ้นเคยกับจังหวะของเธอ เขาคงจะเดินตามเธอไปอย่างธรรมชาติ
ไม่ใช่ยืนอย่างพะว้าพะวงกับเวลาเพียงเล็กน้อยที่เหลืออยู่
ประตูรถไฟฟ้าปิดลงอย่างไร้เยื่อใยและไม่ปราณีกับหัวใจที่ขาดสะบั้นของชายหนุ่ม
ทิ้งให้เขายืนจมไปกับความคิดที่ว่า "จริงๆแล้ว ฉันก็ต้องลงที่สถานีนี้นะ"

Monday, July 6, 2015

ตอนนี้

ถ้ามีใครมาถามว่าอนาคตจะทำอะไรเมื่อสักสิบปีก่อน คงตอบได้ไม่ลังเลและมากมาย
แต่ถ้าตอนนี้มีใครมาถามว่าอนาคตอยากจะทำอะไรต่อไป ตอนนี้ไม่มีคำตอบ
ไม่ใช่ตอบไม่ได้ หรือไม่อยากทำ สิ่งที่อยากทำมีหลายอย่าง
แต่อยากทำอะไรหรืออยากเป็นอะไร คำตอบที่คิดแล้วคิดอีกตอนนี้คือไม่รู้
ไม่ใช่ว่าไม่มองอนาคต แต่จู่ๆมันก็รู้สึกว่างเปล่าขึ้นมาเฉยๆ
บางวันก็ฮึกทำโน่นทำนี่ บางวันก็สมาธิหลุดไปซะเฉยๆ
บางวันก็แค่อยากเดินไปเรื่อยๆ เท่าที่จะเดินไหว
หวังว่าความว่างเปล่าข้างในแบบนี้จะหายไปโดยเร็ววัน

Monday, June 8, 2015

ยูเว่


ยูเวนตุส - บาเซโลน่า
นัดนี้เป็นนัดชิง UEFA Champion Leages (ชื่อเดิม) ครั้งที่ 5 ที่ผมได้ดูตั้งแต่เชียร์เจ้าม้าลายนี้มา
ครั้งแรกที่ได้มีโอกาสดูยูเวนตุสโลดแล่นไปถึงนัดชิง นั้นคือฤดูกาล 95-96 ซึ่งปีนั้นยูเวนตุสเชือดอาแจกซ์ซิวแชมป์ไปครอง
และตั้งแต่นั้นมายูเวนตุสก็พบกับความผิดหวังในนัดชิงมาตลอด
เกมนัดชิงเมื่อวานจึงเป็นเกมที่แอบหวังอยู่ลึกๆ ด้วยว่าคู่แข่งคือทีมอย่างบาเซโลน่าที่มี MSN ในแดนหน้า
และเพียงแค่เริ่มเกมมาได้ 4 นาที บาซ่าก็นำไปอย่างรวดเร็ว ชนิดที่ยังบางคนยังไม่ทันตื่นมาดูบอล
พลพรรคม้าลายเครื่องยังไม่ทันร้อน ก็เจอยิงนำไปก่อนแล้ว และรูปเกมหลังจากนั้นคือบาซ่าบุกเอาๆ
ยังดีที่ยูเว่มีบุฟฟ่อนอยู่ และยูเวนตุสก็ยังเป็นยูเวนตุสอยู่ ใครจะมายังไงเราไม่สน
ถึงแม้จะโดนนำไปก่อน ยูเว่ก็ยังเล่นเกมในแบบของตัวเอง ค่อยๆต่อบอลไปแดนหน้าแล้วหาโอกาสจบประตู
แม้ครึ่งแรกมีโอกาสหวาดเสียวเป็นระยะ แต่ก็ยังทำอะไรบาซ่าไม่ได้
จบครึ่งแรก บาเซโลน่านำยูเวนตุสอยู่ 1 ประตูต่อ 0

เริ่มครึ่งหลังมา แผงกองกลางของยูเวนตุสเริ่มคุมเกมได้
ไม่ว่าจะเป็นป๊อกบาที่มีโอกาสลากเลื้อยและปะทะเมสซี่
ปิร์โล่ที่วางบอลยาวแม้จะช้าไปหน่อยแต่ก็ยังเอาตัวรอดได้
มาคิซิโอ้ที่มีจังหวะส่องไกลอยู่หลายหนอย่างน่าหวาดเสียว
ที่สำคัญคือวีดัลที่ตัดเกมได้หนักและแน่นแถมยังวิ่งขึ้นลงไม่มีหยุด เห็นแล้วนึกถึงเอ็ดการ์ ดาวิดในสมัยนั้น
ในที่สุดยูเวนตุสก็ทำประตูตีเสมอได้ จากลูกยิงของเตเบซแล้วยิงซ้ำของโมรัตต้า ซึ่งเป็นการทำประตูติดต่อกัน 3 เกม
หลังจากนั้นยูเว่เริ่มมีโอกาสบุกมากขึ้น ขณะที่บาซ่าเองก็อาศัยจังหวะสวนกลับด้วยความเร็วไปเป็นระลอก
นัดนี้การที่ขาดคิเอลลินี่ที่ช้าแต่ชัวร์ ทำให้หลายจังหวะบาซ่ามีโอกาสสวนกลับมา ต้องขอบคุณบุฟฟ่อนที่เซฟสวยๆได้หลายลูก
เกมเริ่มเทไปทางฝั่งยูเว่ก่อนที่จะมีลูกขลุกขลิกที่ป๊อกบาโดนทำฟาลว์ในเขตโทษ
และกลายเป็นลูกสวนกลับและนำไปสู่ประตูที่ 2 ของบาเซโลน่าในค่ำคืนนี้
ยูเวนตุสไม่มีทางเลือกนอกจากหาทางยิงประตูให้ได้ และก็เกือบจะทำได้หลายครั้ง
บาซ่าเองก็มีจังหวะสวนหลายครั้งเช่นกัน ทั้ง 2 ทีมสลับกันรุกและรับ
ยูเว่บุกด้วยการจ่ายบอลทำทางแล้วยิง ส่วนบาซ่าบุกอย่างกับเล่นวินนิ่งเคาะบอลไปมาแล้วหลุดมาหน้าประตูเฉย
ช่วง 5 นาทีสุดท้าย ยูเวนตุสไม่เหลืออะไรแล้วจึงใส่เกมรุกเข้าอย่างเต็มที่
จะแพ้ 2 - 1 หรือแพ้กี่ลูกก็ตาม สกอร์ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ถ้าแพ้ก็คือแพ้ 
และในที่สุดตอนทดเวลาบาดเจ็บ แผงแนวรุก MSN และปีกซ้ายและขวารวม 5 คน
ก็อาศัยจังหวะสวนกลับฉีกแผงหลังยูเว่ที่ห้อยเหลือ 2 คน และยิงประตูที่ 3 เข้าไปจนได้

เสียงนกหวีดจบเกมดังขึ้นตอนไหนนั้นผมเองก็ไม่ได้ยิน แต่ผู้เล่นบาซ่าฉลองประตูราวกับนี่เป็นประตูโกลเด้นโกล
นักข่าวทั้งหลายแหล่วิ่งรุมล้อมเนมาร์  และผู้เล่นบาซ่าคนอื่นๆที่กำลังดีใจ
ผมเองได้แต่ตะโกนใส่หน้าจอทีวีว่าให้เอาบอลไปตั้งเร็วๆ จะได้เขี่ยมาเล่นต่อ
จนกระทั่งเห็น อัลเลกรีเดินเข้ามาหาเหล่าเบียงโคเนรี่จึงได้รู้ว่าเกมนั้นจบลงแล้ว
และเป็นบาเซโลน่าที่เอาชนะยูเวนตุสไปด้วยสกอร์ 3 - 1

เกมจบลงด้วยความรู้สึกที่ผสมผสานอย่างบอกไม่ถูก
แน่นอนว่าบาเซโลน่าเป็นผู้ชนะอย่างไม่มีข้อกังขา ไม่มีอะไรติดใจถึงชัยชนะของบาซ่า
ถ้าเป็นเมื่อก่อนในการแพ้นัดชิงแบบนี้ ผมแทบจะเลิกดูบอลไม่ว่าบอลอะไรก็ตามไปราว 2-3 เดือน

อาจจะเป็นเพราะเมื่อก่อนช่วงปี 90 ทีมจากอิตาลีครองยุโรปเป็นว่าเล่น
ความถือดีว่าทีมเรานั้นยิ่งใหญ่จึงมีอยู่สูง พอหวังสูงแล้วแพ้ จึงตกลงมาอย่างสะบักสะบอม
แต่กลับยุคสมัยนี้ โดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงที่ยูเว่ตกลงไปเล่นซีรีย์ บี และทีมจากสเปนซัดยุโรปรัวๆ
ความถือดีที่ว่าไม่มีอีกแล้ว มีแต่จะคอยให้กำลังใจนักเตะผ่านทางหน้าจอทุกครั้งที่มีโอกาสได้ดู
เล่นดีก็ชม เล่นแย่ก็ให้กำลังใจ ไม่ได้เล่นก็ไม่เป็นไร ถ้าเล่นก็ขอให้เต็มที่
และเมื่อคืนยูเวนตุสก็เล่นได้อย่างเต็มที่ สมกับที่แฟนม้าลายรอกันมานาน
น่าเศร้าที่ นี่อาจจะเป็นนัดสุดท้ายของปีร์โล่ในชุดขาวดำ
น่าเสียดายแทนบุฟฟ่อนที่ยังคงต้องรอโอกาสคว้าแชมป์ถ้วยนี้ในคราวหน้า
ขอบคุณพลพรรคม้าลายทุกคนสำหรับความสนุกในค่ำคืนนี้
La juve ti ama
- ม้าลายกระป๋อง








Saturday, June 6, 2015

ลุงเกาลัค

ก่อนจะขายเกาลัค ผมทำธุรกิจส่งออกเสื้อผ้าตอนนั้นรายได้ดีทีเดียว แต่พอเจอพิษเศรษฐกิจช่วงนั้นเข้าไปเล่นเอาหมดเลย ผมเลยต้องหาอย่างอื่นทำจนมาเจอเกาลัคนี่ล่ะ ผมขายอยู่ตรงนี้มา 20 กว่าปีแล้ว ก่อนหน้านี้ผมขายอยู่ที่เรือนเพชร สาขาศรีนครินทร์ ส่วนที่ตรงเพชรบุรีนี่ผมจ้างให้เด็กเขาขายให้ ต่อมาตอนหลังเขาทุบหน้าร้านที่สาขาศรีนคริทร์แล้วทำเป็นห้องคาราโอเกะ อาเฮียเจ้าของแกเลยย้ายให้ผมกลับมาตรงที่เพชรบุรีนี่ ซึ่งตรงนี้ขายดีกว่า เพราะหน้าร้านเป็นถนนและติดกับป้ายรถเมล์ด้วย คนเลยเข้าถึงง่ายกว่า
เกาลัคเนี่ยเวลาคั่วเสร็จต้องดูให้ดี เม็ดไหนที่มีแมลงกัดเป็นรูเนี่ย เวลาคั่วแล้วเศษกรวดมันจะเข้าไปข้างในทำให้เสีย ตอนเลือกให้ลูกค้าเราเลยต้องสังเกตดีๆ คอยเลือกเอาเม็ดที่ใช้ไม่ได้ออก เกาลัคเองก็มีหลายพันธุ์ ทั้งพันธุ์จีนและพันธุ์ญี่ปุ่น เกาลัคที่เห็นในไทยนี่ก็มาจากจีนทั้งหมดล่ะเป็นพันธุ์ญี่ปุ่นปลูกในจีน เพราะประเทศจีนกว้างมีพื้นที่เยอะเหมาะแก่การเพาะปลูก ส่วนญี่ปุ่นเป็นเกาะ พื้นที่จะทำอะไรก็แพง เขาเลยเอาเกาลัคพันธุ์ญี่ปุ่นไปปลูกที่จีน พอปลูกเสร็จเขาก็คัดเอาเกาลัคเกรดเอส่งไปขายที่ญี่ปุ่นเพราะได้ราคาดีกว่า ส่วนเกาลัคเกรดรองลงมาก็ส่งมาขายที่ไทยเนี่ยล่ะ

*
ลุงกิมบัค แซ่อึ้ง
แกนั่งเรือสำเภามาจากจีนตั้งแต่อายุ 3 ขวบ
ขอสัญชาติไทยตอนอายุ 30





Thursday, June 4, 2015

wash and d



ไม่บ่อยครั้งที่ชายหนุ่มจะตื่นเช้ากว่าปกติในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์
โดยปกติแล้วในวันหยุดสุดสัปดาห์เช่นนี้ เขาควรจะยังนอนเกลือกกลิ้งไปมาบนเตียงจนสาแก่ใจ แล้วจึงลุกขึ้นมาทำธุระปะปังอะไรที่เขาไม่ได้ทำในวันธรรมดาซะมากกว่า
แต่ตอนนี้ชายหนุ่มคนนั้นกำลังอุ้มตะกร้าพลาสติกใบหนึ่งซึ่งอุดมไปด้วยกองเสื้อผ้าใส่แล้วที่ทับถมกันอยุ่เป็นกองพะเนิน ชายหนุ่มอุ้มตะกร้าผ้าพร้อมกับขวดน้ำยาซักผ้าฝืนลงบันไดของอพาทเมนต์ด้วยความง่วงงุน

แสงแดดภายนอกอาคารรอต้อนรับเขาอยู่แล้ว ทันทีที่เขาเปิดประตูบานใหญ่ที่ชั้นล่างสุดของล๊อบบี้ เหล่าแสงแดดพากันรุมล้อมเขาเหมือนจากกันมานาน
ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้แสงแดดสัมผัสทุกส่วนของเขาจนพอใจ และเมื่อรู้สึกถึงความเร่าร้อนของแสงแดด ชายหนุ่มจึงก้าวเท้าออกจากอพาทเมนต์แห่งนั้น

จุดหมายในวันนี้ของชายหนุ่มคือร้านซักผ้าที่เยื้องอยู่ตรงหัวมุมนี่เอง
ร้านซักผ้าแห่งนี้นั้นเปิดตั้งแต่ 6 โมงเช้า จนถึง 4 ทุ่ม
ชายหนุ่มมาใช้บริการที่ร้านซักผ้านี่ตั้งแต่เขาย้ายมาอาศัยอยู่ที่อพาทเมนต์ที่ว่า เขาไม่แน่ใจว่าร้านซักผ้านี้อยู่มานานเท่าไหร่ แต่จากสภาพภายในร้านเขาคิดว่าน่าจะเปิดมานานพอสมควร

ชายหนุ่มจัดแจงวางตะกร้าผ้าไว้บนโต๊ะเหล็กกลางร้าน เวลาเช้าแบบนี้ไม่ค่อยจะมีคนมาใช้บริการร้านซักผ้านี้เท่าไหร่นัก เขาจึงเดินไล่เปิดเครื่องซักผ้าทีละตู้
การซักผ้าก็เหมือนกับการทำอาหาร ครัวไหนๆก็ทำอาหารออกมาได้เหมือนกัน แต่ครัวที่สกปรกไม่สามารถทำอาหารที่สะอาดออกมาได้
ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงใช้เวลาพิถีพิถันกับการเลือกเครื่องซักผ้าที่ถูกใจ

วันนี้เป็นคิวของเครื่องซักผ้ามุมขวา แม้เครื่องนี้จะไม่ใช่เครื่องที่ชายหนุ่มใช้ประจำแต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร เขายกตะกร้าผ้าเกยกับประตูของเครื่องซักผ้า จากนั้นจึงเริ่มขยุ้มกองผ้าแล้วโยนเข้าไปในเครื่องซักผ้านั้น
เมื่อผ้าทั้งหมดเข้าไปอยู่ในเครื่องแล้ว เขาก็เปิดลิ้นชักเล็กๆข้างตู้เพื่อเทน้ำยาซักผ้าลงไป จากนั้นจึงปรับสวิทช์น้ำอุ่นและหยอดเหรียญเพื่อเริ่มกระบวนการซักผ้า

เช้าที่เงียบสงบกับแดดอุ่นๆ และช่วงเวลาสี่สิบนาทีที่กองผ้าของเขาหมุนอยู่ในเครื่องซักผ้าเล็กๆ เป็นช่วงเวลาสงบของเขา ชายหนุ่มวางแผนถึงช่วงเวลาต่อจากนี้ว่าเขาควรจะทำอะไรบ้างในวันนี้ อาหารมื้อเที่ยงจะไปกินที่ไหนดี มีของจำเป็นอะไรบ้างที่ต้องซื้อเข้ามาเก็บในบ้าน ไส้กรอกที่ซื้อมาน่าจะหมดแล้ว หรือเขาควรจะโละของในตู้เย็นทิ้งไปดีแต่ที่ว่าก็อาจจะไม่จำเป็นอีกแล้ว

ขณะที่ชายหนุ่มกำลังล่องไปกับความคิดเรื่องอาหารกลางวัน เขาก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงกระดิ่งเปิดประตู เขาหันไปดูจึงเห็นผู้หญิงคนหนึ่งใส่เสื้อแจ๊คเกตบุนวมกับรองเท้าบูท เธอลากตะกร้าพลาสติกที่มีล้อเข้ามาและหยุดอยู่ที่โต๊ะเหล็กกลางร้าน ชายหนุ่มลอบมองหญิงสาว เขาไม่เคยเห็นเธอมาก่อน บางทีเธออาจเพิ่งมาที่ร้านซักผ้าแห่งนี้เป็นครั้งแรก แต่จะว่าไปเขาก็ไม่ค่อยเห็นคนที่มาใช้บริการคนอื่นเช่นกัน ที่จริงแล้วเขาพยายามเลี่ยงช่วงเวลาที่ผู้คนมาใช้บริการร้านซักผ้าแห่งนี้ ความหนาแน่น เสียงดังและชุลมุนทำให้ช่วงเวลาซักผ้าของเขาถูกรบกวน หญิงสาวมองไปรอบๆร้าน สายตาของเธอไล่ไปตามเครื่องซักผ้าที่รายล้อมรอบตัวเธอ บางทีเธออาจจะกำลังตัดสินใจว่าวันนี้จะใช้เครื่องซักผ้าเครื่องไหนดี หรืออาจจะประหลาดใจที่มีคนมาซักผ้าแล้วก่อนเธอก็ได้

หญิงสาวหันมองไปทางซ้ายและขวาอยู่เงียบๆสักพัก แล้วจึงเดินไปที่เครื่องซักผ้าริมในสุด ชายหนุ่มลอบมองหญิงสาวจัดการหยิบเสื้อผ้าใส่ตู้ทีละชิ้นอยู่เงียบๆ เธอล้วงกระเป๋าหยิบเศษเหรียญออกมานับ เขาเห็นเธอก้มนับเศษเหรียญในมือแล้วล้วงกระเป๋าอยู่ สอง-สามครั้ง เธอกำเหรียญในมือแล้วมองไปที่เครื่องซักผ้าแล้วหันกลับมามองมือที่กำเศษเหรียญไว้อีกครั้ง บางทีเศษเหรียญที่เธอเตรียมไว้อาจจะไม่พอดี และแถวนี้ก็ไม่มีเครื่องแลกเหรียญเสียด้วย เขารู้เพราะเขาก็เคยประสบเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ชายหนุ่มหยิบกล่องบุหรี่เหล็กขนาดเล็กซึ่งภายในบรรจุไปด้วยเหรียญออกมา เขาดีดฝาเหล็กตามจังหวะที่เธอก้าวเดินเข้ามา

เธอเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา แล้วเอ่ยถามด้วยความสุภาพว่าเขาพอจะมีเศษเหรียญให้เธอแลกได้ไหม ชายหนุ่มถามว่าเธอต้องการอีกเท่าไหร่ เมื่อทราบจำนวนแล้วเขาจึงหยิบเหรียญในส่วนนั้นให้เธอ หญิงสาวรับเหรียญมาแล้วยื่นธนบัตรที่มีจำนวนเดียวกันให้เขา ชายหนุ่มปฎิเสธแม้หญิงสาวจะคะยั้นคะยอให้เขารับแค่ไหนก็ตาม เมื่อเห็นว่าความพยายามไม่เป็นผล เธอจึงยิ้มให้และกล่าวขอบคุณเขา ชายหนุ่มยิ้มรับคำขอบคุณและเฝ้ามองหญิงสาวเดินไปที่เครื่องซักผ้าของเธอ

คนทั่วไปอาจจะคิดว่าชายหนุ่มยอมแลกเศษเหรียญเพียงนิดหน่อยกับมิตรภาพที่อาจจะงอกเงย แต่แท้จริงแล้วเงินไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับชายหนุ่มอีกต่อไป อย่างน้อยก็อีกยี่สิบนาทีจนกว่าจะซักผ้าเสร็จ ก็เพราะวันนี้น่ะเป็นวันที่อนุญาตให้เราซักและตายยังไงล่ะ


Sunday, May 31, 2015

ริโก้





น้องริโก้ สอยมือสองจากแดนไกล
สภาพปานกลางค่อนไปทางพอไหว
ราคาพอประมาณ พอเหมาะกับการใช้อย่างไม่ต้องระวัง
ก็หวังว่าจะถ่ายรูปได้สักวันละรูปนะ

Saturday, May 30, 2015

รถเมล์






สำหรับผมแล้ว การนั่งรถเมล์ก็เป็นการทำสมาธิอย่างหนึ่ง
เวลาขึ้นรถเมล์ คุณไม่ต้องคิดอะไรมากมาย
แค่รู้ว่าสายไหนไปถึงไหนบ้างแค่นั้นก็พอ
เมื่อกำหนดจุดหมายปลายทางได้แล้ว
คุณก็แค่ก้าวเท้าขึ้นรถ ชำระค่าโดยสารให้เรียบร้อย
จากนั้นก็แค่นั่งรอ...

ไม่ต้องคิดว่ารถจะติด ไม่ต้องคิดว่าจะไปทางไหนถึงจะเร็วที่สุด
สิ่งเหล่านี้กลายเป็นสิ่งที่คุณไม่สามารถควบคุมได้
เหมือนตกอยู่ในสภาวะช่วยตัวเองไม่ได้ชั่วขณะ
ปล่อยภาระเหล่านั้นให้กับคนขับรถเขาจะสรรหาวิธีแก้เองเถอะ
สิ่งเดียวที่คุณทำได้ก็แค่นั่งรอ จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง
เท่านั้นก็พอแล้ว

Thursday, May 7, 2015

เซเว่น

เมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมามีร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น มาเปิดใหม่ตรงหน้าปากซอย
โดยหน้าร้านอยู่ติดกับบันไดขึ้นรถไฟฟ้ากันเลยทีเดียว เรียกว่าถ้าฝนตกก็ลงมาแล้วเข้าไปหลบฝนในเซเว่นได้ทันที
การที่จะมีร้านเซเว่นอยู่ในย่านชุมชนก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะปากซอยไหนๆก็มีร้านเซเว่นอยู่แล้ว
แต่ร้านเซเว่นที่เปิดใหม่นี้อยุ่ห่างจากร้านเซเว่นเดิมแค่ไม่กี่สิบก้าว
ซึ่งนับเป็นเซเว่นร้านที่ 5 และเป็นร้านสะดวกซื้อร้านที่ 8 ในรัศมี 500 เมตรนี้เช่นกัน

เซเว่นร้านที่ว่านี้ เป็นร้านที่ได้รับการออกแบบมาใหม่ มองเผินๆจะไม่เหมือนร้านเซเว่นที่เราคุ้นเคย
ไล่ตั้งแต่ป้ายหน้าร้านและการตกแต่ง มีซุ้มทำกาแฟสด และขนาดของร้านที่โอ่โถ่งและสว่างจ้า
ข้างในดูสะอาดแต่อาจจะเป็นเพราะเพิ่งเปิดได้ไม่นาน นอกนั้นสินค้าข้างในก็คล้ายๆกับเซเว่นทั่วไป

ร้านเซเว่นร้านเก่านั้น มีตู้เอทีเอ็มอยู๋หน้าร้านซึ่งมักจะมีเจ้าหมาอ้วนมานอนตรงขั้นบันไดเสมอ
ทำให้เวลาคนจะมากดเงิน ต้องเอี้ยวตัวไปด้วยความเกรงใจหมาอ้วนตัวนั้น
หน้าร้านมีป้ายรถเมล์ กับม้านั่งเหล็กสีเขียวอยู่ 2 ตัว ทำให้มีคนมารอตรงหน้าร้านเป็นประจำ
ยิ่งในช่วงเวลามืดค่ำ แสงไฟจากหน้าเซเว่นก็เป็นที่พึ่งทางใจของคนที่มารอรถเมล์อยู่เสมอ
ผมเองยังเคยอาศัยแสงไฟจากเซเว่นนั่งคุยกับเพื่อนที่ม้านั่งริมถนนกันตอนดึกดื่นเที่ยงคืน

ร้านเซเว่นใหม่นั้น อยู่ติดกับทางเข้าของหอพักชาวต่างชาติ
เป้าหมายหลักของร้านนี้จึงอาจจะเป็นกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ที่ออกมาซื้อของยามดึกดื่น
เรียกได้ว่าแค่ออกจากตึกแล้วเลี้ยวปุ๊บก็ถึงเลย ไม่ต้องเดินต่อไปถึงเซเว่นร้านเก่า
นักท่องเที่ยวที่แวะมาก็มักจะมาจบเป้าหมายที่เซเว่นร้านใหม่นี้กันหมด
เป็นการปิดโอกาสเซเว่นร้านเก่าไปอย่างเนียนๆ แต่ก็ใช่ว่าเซเว่นร้านเก่าจะเงียบเหงา
เพราะเซเว่นทั้งสองแห่งนี้ก็มีลูกค้าแวะเวียนเข้าไปอยุ่เสมอ
ลูกค้าประจำอาจจะชินกับเซเว่นร้านเก่ามากกว่า ส่วนลูกค้าขาจรอาจจะเข้าอันที่ใหม่และดูสะอาดกว่า
ส่วนตัวผมเองก็แวะเข้าทั้งสองเซเว่น โดยคิดไปเองว่าเซเว่นทั้งสองนี้ต้องมีอะไรที่อีกเซเว่นนึงไม่มี
แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ยังหาความต่างของสินค้าในร้านไม่เจอ ตำแหน่งชั้นวางอาจจะต่างกัน
แต่สินค้าโดยรวมแล้วก็เหมือนกันแทบทุกประการ

มีเพียงสิ่งเดียวที่เซเว่นใหม่ ยังไม่มีเหมือนเซเว่นร้านเก่าคือ
เซเว่นร้านใหม่ยังไม่มีหมาประจำร้าน อาจจะเพราะหมาเป็นสัตว์หวงถิ่น
หากมีหมาประจำเซเว่นใหม่มาอยู่ หมาเจ้าถิ่นที่อยู่ตรงเซเว่นเก่าอาจจะออกอาการโวยวายได้
ว่าแล้วก็น่าคิดไปว่า ทางเซเว่นน่าจะเอามาตราการนี้มาวัดระยะห่างในการเปิดเซเว่นแห่งใหม่
โดยในชุมชนไหนที่มีเซเว่นอยู่แล้ว เซเว่นแห่งถัดไปก็น่าจะอยู่ห่างชั่วระยะถิ่นหมา
หมาจรจัดก็จะได้มีที่พักพิงเป็นหลักแหล่ง เซเว่นสองแห่งก็จะได้ไม่อยู่ใกล้กันมากนัก
หมามีความสุข คนก็มีความสุข


งานเขียน

หลังจากส่งต้นฉบับเรื่องเล่าจากซานฟรานซิสโกไปประมาณ 3 สำนักพิมพ์
โดยส่งทีละสำนักพิมพ์ แต่ล่ะที่ใช้เวลาพิจารณาราวๆ 3-4 เดือน
รวมแล้วกินเวลาทั้งหมดไปเกือบๆปี มาวันนี้ก็ได้รับเมลตอบกลับจาก อะบุ๊คว่า...
หนังสือไม่ตรงกับแนวของสำนักพิมพ์
ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็เป็นที่เดียวที่ตอบกลับมา

การเขียนหนังสือนี่มันเป็นงานที่ใช้ความอดทนจริงๆ ทั้งอดทนเขียนจนจบ
และอดทนจนกว่าจะมีสำนักพิมพ์ที่ถูกใจทั้งเราและเขา และอดทนต่อความผิดหวังซ้ำซาก
ในวันที่ความผิดหวังถาโถมเข้าใส่ เราก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากฝึกให้มากกว่านี้
หรือไม่ก็ยอมแพ้ซะ แค่นั้น

* เฟลติดๆกันอีกเรื่องในวันเดียว คือสมัครโครงการเขียนบทไป แต่ไม่ผ่านแม้แต่รอบแรก
หรือว่านี่เป็นสัญญาณบอกอะไรบอกอย่างกันนะ

Tuesday, May 5, 2015

เรื่องขี้ๆ 1

เย็นวันหนึ่งขณะที่กลุ่มเพื่อนๆกำลังนั่งเล่นกันอยู่ที่บันไดหน้าคณะสถาปัตย์ กิ๊บกับปิติก็เดินเข้ามาจากประตูหน้าคณะฯ
กิ๊บซึ่งยิ้มระรื่นก็รีบเดินเข้ามาหากลุ่มเพื่อนพร้อมเอ่ยปากว่า "เอ้ย กูมึเรื่องตลกจะเล่าให้ฟัง"
ปิติซึ่งเดินมาพร้อมกับไอ้กิ๊บจึงหันหน้าไปหาไอ้กิ๊บแล้วด่าว่า "มึงนี่โคตรเหี้ยเลย" แล้วก็เดินหลบไป
ซึ่งสร้างความงุนงงให้กับเพื่อนๆที่นั่งกันอยู่หน้าคณะฯ ว่าเรื่องมันเป็นยังไงมายังไง ทำไมจู่ๆปิติถึงไปด่าไอ้กิ๊บเข้า
กิ๊บซึ่งหน้าตาไม่ได้รู้สึกรู้สากับคำท้วงของปิติก็เริ่มตั้งหน้าตั้งตาเล่าเรื่องตลกที่เพิ่งไปเจอมา
"คืองี้เว้ย เมื่อกี้กูไปดูหนังมากับปิติแล้วก็ไอ้เม้งมา" กิ๊บเปิดฉากเล่าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
"อ้าว แล้วไอ้เม้งไปไหน" เพื่อนสักคนถาม
"มึงฟังให้จบก่อนดิ่ อย่าเพิ่งขัด" กิ๊บโวย
"คือพอดูหนังเสร็จ พวกกูก็เดินกลับมาคณะฯกัน ก็เดินไปคุยไปเรื่องหนังกันตามปกติหลังดูจบนี่ล่ะ"
"แล้วทีนี้ ไอ้เม้งแม่งคุยๆอยู่ดีๆ แม่งรีบเดินอย่างไวทิ้งพวกกูเฉยเลย" กิ๊บเล่าต่อ
"แล้วมันไปไหนแล้ววะ" เพื่อนคนเดิมถามอีก
"มึงนี่ก็อย่าขัด ฟังกูก่อนสิ" กิ๊บบ่นแล้วเล่าต่อ
"เม้งมันรีบเดินจ้ำเอาๆ สีหน้าแม่งเครียดมาก พวกกูก็วิ่งตามมันนึกว่ามันไปโกรธอะไรใครขึ้นมา"
"กูก็วิ่งตามมันถามมันเป็นเชี่ยไรๆ มันก็หันมาถามกูว่าที่ตึกไอดีมีห้องน้ำป่าววะ อยู่ตรงไหน"
"อ๋อ คือแม่งอยากจะเข้าห้องน้ำ"
"เออ พอกูบอกว่ามีแล้วบอกมันว่าอยู่ข้างในตึก แม่งรีบเดินหนีบลิ่วเข้าไปเลย แล้วไล่ให้พวกกูเดินกลับคณะไปก่อน"
"อ้าว แล้วมึงทำไงวะ"
"กูก็รีบตามมันเข้าไปในตึกไอดีสิ นึกว่าแม่งเป็นอะไร" กิ๊บตอบ
"พอเข้าไปในตึกไอดีเสร็จ ไอ้เม้งแม่งหายไปเลย พวกกูตามมันไม่ทัน"
"เออ แม่งหลงแน่เลย ตึกนี้มันซับซ้อนคนนอกเข้าไปงงกันหมด" เพื่อนไอดีผสมโรง
"กูกับปิติก็เดินตามหามัน ตะโกนเรียกมัน จนได้ยินเสียงแม่งตอบมาจากห้องน้ำ" กิ๊บเล่าต่อ
"แล้วมึงทำไงวะ"
"กูกับปิติก็เลยไปที่ห้องน้ำเว้ย แล้วก็เลยปีนดูมัน"
"เชี่ย อะไรของพวกมึงเนี่ย แล้วมันทำไงวะ"
"เม้งมันก็เอาทิชชู่ที่เปื้อนจะมาป้ายพวกกูเว้ย กูเลยหลบลงมา" กิ๊บทำท่าชะโงกหลบ
"แล้วกูกับปิติจะออกไปรอข้างนอก เม้งแม่งก็พูดเสียงอ่อยๆออกมาว่า หาถุงให้หน่อย"
"หาถุงให้หน่อย" เพื่อนๆถามด้วยความสงสัย
"เออ หาถุงให้หน่อย พวกกูก็ถามว่ามันจะเอาถุงไปทำอะไรแม่งก็ไม่ตอบ จนเค้นอยู่นานกว่าแม่งจะตอบ"
"แล้วมันว่าไงวะ"
"เม้งแม่งตอบเสียงอ่อยๆออกมาว่า เอาไปใส่กางเกงนายยยย" กิ๊บเล่าให้ฟังด้วยสีหน้าภูมิใจ
"พอขำเสร็จกูก็เลยเดินออกไปหา ทีนี้แม่งหาไม่มีเลยวันนั้น ก็ไปรื้อๆร้านข้าวใต้ตึกดู เจอกล่องโฟม กูก็เลยหยิบไปให้มัน"
"กล่องโฟมใส่ข้าวอ่ะนะ"
"เออ กล่องโฟมใส่ข้าวนั่นล่ะ"
"แล้วไงต่อวะ"
"พอกูยื่นกล่องโฟมให้มันเสร็จ สักพักแม่งก็ค่อยๆเปิดประตูห้องน้ำออกมา มือหนึ่งพยุงเป้ส่วนอีกมือก็ประคองกล่องข้าวไว้" กิ๊บทำท่าประกอบการเปิดประตูห้องน้ำของเม้ง
"อืม แล้วมึงเอากล่องโฟมไปทำไรต่อวะ"
"ก็เอาไปทิ้งดิ่ ทิ้งในถังขยะนี่ล่ะ" กิ๊บเล่าไปขำไป
"แล้วเม้งมันไปไหนแล้ววะ"
"พอทิ้งกล่องโฟมเสร็จ ไอ้เม้งแม่งเดินออกจากไอดี เรียกแท๊กซี่กลับบ้านเลยเว้ย" กิ๊บตอบ
"เชี่ย แล้วไอ้เม้งมันไม่พูดอะไรเลยหรอวะ"
"เอ้ยๆ มันมีพูดก่อนขึ้นแท๊กซี่นะ" กิ๊บนึกขึ้นได้
"พูดว่าไรวะ"
"เม้งมันบอกกูว่า อย่าไปเล่าให้ใครฟังนะ"
กิ๊บนี่โคตรเหี้ยเลย

พ้ง #1

ที่คณะสถาปัตย์ฯ เราใช้เวลาเรียนตามปกติทั้งหมด 5 ปี ในขณะที่คณะอื่นๆนั้น (ยกเว้น หมอ เภสัช) จะใช้เวลา 4 ปี ในการจบการศึกษาแบบปกติ
วิชาที่เรียนส่วนมากจึงเป็นวิชาในคณะ นอกจากเวลาเรียนแล้วที่เหลือจึงเป็นเวลาทำงาน
ช่วงชีวิตวัยเรียนส่วนมากชาวถาปัตย์จึงมักจะหมกตัวอยู่แต่ในคณะกันเป็นส่วนใหญ่
การพบปะเพื่อนต่างคณะจึงเป็นเรื่องที่ต้องตั้งใจนิดหนึ่ง ทั้งในเรื่องของเวลาและโอกาสที่จะได้เจอเพื่อนใหม่ต่างคณะ
ดังนั้นแล้วการเดินอ้อยอิ่งชมนกชมไม้ระหว่างเดินทางไปกินข้าวต่างคณะจึงเป็นกิจกรรมยอดนิยมยามว่างเสมอ
แต่มีกุศโลบายอย่างหนึ่งที่ทำให้ชาวคณะได้มีโอกาสไปเปิดหูเปิดตานอกคณะโดยความจำเป็น
กุศโลบายที่ว่าคือ การไปเรียนวิชาเลือกนอกคณะ

ตอนนั้นเป็นช่วงภาคเรียนฤดูร้อน ผมและเพื่อนๆในกลุ่มซึ่งมีพ้งอยู่ด้วย
ได้พากันไปเรียนวิชาเลือกตัวนึงด้วยกัน นัยว่ามาเป็นกลุ่มอย่างน้อยก็น่าจะช่วยกันดันกันขึ้นไปได้ล่ะนะ
วิชานั้นคือ Our body เป็นวิชาในหมวดวิชาเลือกนอกคณะ
ผมจำไม่ได้ว่าทำไมเราถึงเลือกเรียนวิชานี้กัน อาจจะมีรุ่นพี่แนะนำ หรืออาจจะลงตามๆกันมา
แต่เอาเป็นว่าทุกคนเห็นพ้องตรงกัน เราจึงยกโขยงกันไปเรียนที่ตึกของคณะเภสัชฯ
การเปลี่ยนบรรยากาศการเรียนย่อมดีเสมอ ยิ่งอยู่ในช่วงฤดูร้อนเสียด้วย ทำให้คลายความเบื่อของการเรียนไปได้เยอะ
ยิ่งเจอบรรดาเพื่อนนิสิตหน้าใหม่ๆ สดใสๆ ยิ่งทำให้ฤดูร้อนของเหล่าวัยรุ่นยิ่งโหมกระพือขึ้น
ถ่านไฟยิ่งถูกลมตีก็ยิ่งร้อน #พ้งเองก็เช่นกัน
จิตใจวัยรุ่นหนุ่มแรกแย้มที่มาจากโรงเรียนชายล้วนก็ถูกความร้อนแรงของชีวิตหนุ่มสาวกระพือขึ้น

และในฤดูร้อน ปี 2543 ที่คาบแรกของชั้นเรียนวิชา Our body ที่คณะเภสัชฯ
หัวใจของพ้งที่เปื้อนเหงื่อไคลและกล้ามเนื้อชายหนุ่มมา 18 ปี ก็ถูกสั่นคลอนด้วยสาวคนหนึ่ง
เธอคนนั้นเป็นนิสิตสาวต่างคณะ ไม่ปรากฏชื่อเสียงเรียงนาม มีแค่นิยามจากพ้งสั้นๆว่า น่ารัก ขาว ผมยาว
เพียงแค่นั้นก็สามารถกระชากหัวใจชายหนุ่มไปได้ในพริบตาแรก และหลังจากนั้นพ้งก็มีเป้าหมายในการมาเรียนเพิ่มขึ้น
ทุกๆครั้งในคาบวิชานั้น พ้งจะนั่งที่เก้าอี้ริมทางเดินตัวเดิม ในชุดเสื้อเชิ้ตขาวพับแขน กับกางเกงสแลคบ้าง ยีนส์บ้างอย่างเรียบร้อย
ผมเผ้าที่ไม่เคยหวียังไงก็ยังไม่เคยหวีอย่างนั้น แต่ดูมีความสะอาดเพิ่มขึ้น
และเมื่อคาบเรียนนั้นเริ่มขึ้น นอกจากการฟังเสียงอาจารย์ผู้สอนแล้ว
พ้งก็มักจะชำเลืองมองไปทางสาวคนนั้นอยู่บ่อยครั้ง

เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้จนถึงการสอบปลายภาค
เมื่อภาคฤดูร้อนนี้หมดไป เทอมใหม่ก็จะเริ่มต้นขึ้น
นั่นแปลว่าหลังจากการสอบนี้เสร็จสิ้น เราจะแยกจากบรรดานิสิตต่างคณะเหล่านี้
โอกาสที่จะได้เจอกันคงไม่มากถ้าไม่ได้รู้จักกัน ช่วงเวลานี้จึงเป็นโอกาสสุดท้ายของพ้งที่จะได้เจอสาวคนนั้น
ขณะที่เพื่อนๆจับกลุ่มคุยกันอยุ่นั้น สาวคนนั้นก็เดินผ่านมากับเพื่อนของเธอ
เธอเดินออกจากประตูคณะเภสัชไปทางสยาม และทันทีที่เธอข้ามถนนไปยังอีกฝั่ง
พ้งก็ลุกขึ้นยืนโดยไม่พูดอะไร แล้วออกเดินดุ่มๆไปทางสาวคนนั้น
พวกเรามองพ้งก้าวเท้าอย่างเร่งรีบ พลางลุ้นว่าพ้งจะตามเธอทันก่อนที่เธอจะหายไปกับฝูงคนในสยามสแควร์ได้หรือไม่
บรรยากาศในตอนนั้นเหมือนผู้คนรอบตัวพ้งหยุดนิ่ง มีเพียงพ้งเท่านั้นที่เคลื่อนไหวฝ่ากาลเวลา
ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของนีล อามสตรองที่ว่า "ก้าวเล็กๆของคนๆหนึ่ง แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ"
และตอนนี้พ้งกำลังก้าวข้ามก้าวที่ว่านั้นอยู่ด้วยฝีเท้าที่ซอยยิกๆ เพราะสาวคนนั้นเริ่มเดินไปไกลแล้ว

พวกเรามองพ้งวิ่งลับประตูคณะเภสัชฯไป พลางส่งสายตาเพื่อเป็นกำลังใจให้กับพ้ง
เพื่อนหลายคนนับถือในความกล้าของพ้งที่ไม่รู้วันนั้นมันไปกินอะไรมา และเริ่มจับกลุ่มพูดคุยกันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
คนที่ไม่รู้เรื่องราวมาก่อนก็ซักไซร้ไล่เรียงให้คนที่รู้ขยายความมา
แต่ยังไม่ทันที่ไอ้คนที่รู้ตั้งแต่ต้นจะเล่าเรื่องราวให้คนที่เพิ่งรู้เข้าใจเหตุการณ์จนจบ พ้งก็เดินกลับมา
"อ้าว ทำไมกลับมาเร็วจังวะ" เพื่อนในกลุ่มทักพ้ง
"เออ กลับมาแล้ว" พ้งตอบพร้อมฉีกยิ้มกว้าง
"แล้วยังไง คือมึงวิ่งตามเขาไป"
"ใช่ คือกูอยากรู้จักเขาไง" พ้งตอบพร้อมยิ้มกว้างเกือบถึงรูหู
"เชี่ย แล้วยังไง มึงได้รู้จักเขาไหมวะ" เพื่อนๆพากันระดมซัก
"รู้สิ เขาชื่อเปิ้ลนะ" พ้งตอบพลางบิดตัวเกือบครบรอบ
"เหยดดดดดดดดด พ้งแม่งแน่เว้ย" เพื่อนๆพากันเฮให้กับความสำเร็จของพ้ง
"แล้วไงต่อๆ" ความอยากรู้ผลักให้ใครสักคนถาม
"เขาชื่อเปิ้ล อยู่ปีสอง มาเรียนวิชานี้เป็นวิชาเลือกเหมือนกัน" พ้งตอบแล้วบิดตัวไปทางซ้าย
"เออ แล้วไงต่อ" เพื่อนๆพากันลุ้นว่าพ้งจะกล้าขอเบอร์โทรศัพท์หรือเปล่า
"อ๋อ พอเขาบอกว่าอยู่ปีสองเสร็จ กูก็เลย" พ้งพูดพลางบิดตัวกลับมาอีกด้าน
"เออ มึงก็เลยขอเบอร์อ่ะ"
"กูก็เลยยกมือไหว้เขา แล้วเดินออกมา" พ้งตอบพร้อมยิ้มตาหยี
ขณะที่เพื่อนๆกำลังอึ้งและทึ่งว่าพ้งสามารถเปลี่ยนสถานะจากเพื่อนมาเป็นพี่ได้อย่างรวดเร็ว พ้งก็กล่าวสรุปสั้นๆว่า
"แต่ยังดีนะ พอกูถามว่าผมจะได้เจอพี่อีกไหม เขาก็ตอบว่าถ้ามีบุญก็คงได้เจอ" แล้วพ้งก็ยิ้มตาหยีและขำให้กับตัวเอง
สาธุ...


Thursday, April 9, 2015

มวยไทยไลฟ์

งานออกแบบที่เคยทำไว้เมื่อนานมาแล้ว
ไม่กี่วันเห็นออกมาเป็นถ้วยรางวัลเลยเอามาโพสให้ดู
ต้นฉบับมาจากเฟซบุค 3d factory นะครับ
เป็นเจ้าที่ print ถ้วยรางวัลออกมาเนี่ยล่ะ
นี่ตอนเป็น3D





อันนี้เป็นถ้วยรางวัล




อันนี้เป็นจาพนม จา พนม!!!


* จากการลุยกูเกิ้ลไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็เจองาน sculpture ที่เสร็จแล้วจนได้
มุมไม่ค่อยชัดเท่าไหร่นะ ของจริงอยุ่ที่เอเชียทีคส์ ที่โรงละครมวยไทยไลฟ์ครับ




Wednesday, March 25, 2015

หญิงสาวบนสะพาน


ถ้าคุณมาจากถนนสต๊อคตัน มุ่งหน้าสู่ไชน่าทาวน์ คุณจะวิ่งตรงยาวไปเรื่อยๆ จนเจออุโมงค์ที่ลอดใต้ถนนบุช ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ
เพราะซานฟรานซิสโกเองก็เป็นเมืองที่ประกอบไปด้วยเนินสูงต่ำ ลัดหลั่นกันไป
ผมเองเวลาเดินกลับบ้านจากไชน่าทาวน์ก็มักจะเดินบนถนนบุชตรงสะพานนี้เป็นประจำ ซึ่งคุณสามารถที่จะเดินลอดอุโมงค์แล้วขึ้นบันไดเวียนมาตรงสะพานนี้ได้เช่นกัน
ทางนี้จึงเป็นทางผ่านประจำสำหรับผมเวลาเดินกลับบ้าน
ซึ่งทุกครั้งที่ผ่านก็ไม่มีเหตุการอะไรเกิดขึ้น เป็นปกติ จนกระทั่งวันหนึ่ง

วันนั้นเป็นเวลาราวสองทุ่มที่อากาศหนาวจัด ขนาดที่ต้องเอามือซุกกระเป๋าแจคเกตตลอดเวลา
ผมสาวเท้าเร็วๆขึ้นบันไดเพื่อไม่ให้ไอหนาวจับตัวได้ทัน
จนเมื่อขึ้นมาถึงข้างบนสะพานจึงผ่อนฝีเท้าลง เวลาแสงสว่างเริ่มเหลือน้อยเต็มที
ร้านรวงต่างๆเริ่มเปิดไฟ ผมเดินบนสะพานพลางมองไปที่แสงไฟจากหน้ารถที่สาดเข้าอุโมงค์กันอย่างเร่งรีบ
หลายคนคงอยากจะกลับบ้านเร็วๆ ผมคิดในใจ

ผมเองจึงเตรียมที่จะเร่งฝีเท้าเพื่อจะได้ถึงห้องอันแสนอบอุ่นเร็วๆเหมือนกัน
แต่เพียงแค่ผมเบนสายตาจากถนนเบื้องล่างไปยังทางตรงหน้า ก็สังเกตุเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่บนสะพานเช่นกัน
เธอยืนอยู่ที่ปลายสะพานอีกด้านหนึ่ง ระยะห่างน่าจะไม่เกิน 10 เมตร
เธอสวมเสื้อโค้ทตัวใหญ่สีดำ สวมแว่นและสพายกระเป๋าข้าง ดูเป็นคนทั่วไปที่คุฯพบเห็นได้ตามท้องถนน

หากแต่เธอไม่ขยับเขยื้อนและเหม่อมองลงไปยังถนนข้างล่างที่รถวิ่งกันอย่างขวักไขว่
ตอนนั้นในหัวผมไม่คิดอะไรเพราะผมเองก็ชอบเหม่อเหมือนกัน จึงเริ่มเดินต่อไปข้างหน้า
ผมเดินไปใกล้จนระยะห่างประมาณแค่ 5 ก้าวจะถึงตัวเธอ
เธอก็ขยับตัวและปีนขึ้นไปบนราวสะพาน
ก่อนที่ผมจะวิ่งไปถึงตัวเธอ พลางตะโกนว่าอย่าโดด ร่างของเธอก็ลับไปจากขอบสะพานเสียแล้ว
ชั่วระยะเวลาที่เกิดขึ้น ตั้งแต่ผมเห็นเธอปีนขึ้นบนราวสะพานก่อนจะโดดลงไปนั้นกินเวลาไม่เกินวินาที

"เฮ้ย" ผมอุทานออกมาหลังจากยืนตัวสั่น ในหัวตอนนั้นคิดอะไรไม่ออก
บนถนนไม่มีคนเดินผ่านไปมาในเวลานั้น มีแค่ผมที่ยืนอยู่บนสะพานกับป้ายไฟนีออนจากบาร์ข้างๆที่ส่องสว่างไสว
ผู้คนในนั้นดูหัวเราะเฮฮา โดยไม่รู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นข้างนอกนี้
ผมกลั้นใจอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะตัดสินใจชะโงกหัวลงไปดูข้างล่าง
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะชะโงกหัวลงไป
เธอก็โผล่หัวขึ้นมาทำหน้างงๆว่าผมโวยวายอะไรเมื่อกี้
ผมเองถึงกับหน้าซีดด้วยว่าไม่แน่ใจกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า
บางทีผมอาจจะตาฝาด บางทีอาจจะมีแค่ผมที่เห็นเธอ
แล้วผมก็เห็นของบางอย่างแวบวับในมือเธอ

ห่านเอ๊ย เจ๊ลงไปเก็บปากกาก็ไม่บอก

Tuesday, March 17, 2015

นิยามรัก


เราทุกคนต่างมีความแปลกประหลาดนิดๆในตัวเอง
และชีวิตก็เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดนิดๆ
และเมื่อเราหาใครสักคนที่มีความแปลกประหลาดที่เข้ากับเราได้
เราจะเข้าร่วมกับพวกเขา และตกอยู่ในความแปลกประหลาดที่น่าพอใจร่วมกัน
และนั่นคงเรียกว่า ความรัก
จาก ทรูเลิฟ ของ โรเบิร์ต พูลกัม นักเขียนชาวอเมริกา
@ ร้านหนังสือร้านหนึ่งบนถนนนิมมานต์

Wednesday, February 4, 2015

Xcite mountain bike


ในที่สุดก็ออกมาจนได้
โปรเจคนี้ทำให้ได้รู้จักคนเก่งๆ เพิ่มขึ้น ทั้งคนทำงานมานานแล้วและเด็กใหม่ไฟแรง
ตัวเกมก็เป็นเกมจักรยานแนว temple run เล่นได้ทั้ง iOs และ Androids
เล่นฟรี แต่ถ้าอยากได้ชุดเพิ่มก็เสียตังค์นะฮะ

https://itunes.apple.com/nz/app/xcite-mountain-bike/id913058689?mt=8

Monday, February 2, 2015

หมองู


หมองูที่เทศกาลฤดูหนาว เชียงใหม่

ด้วยความที่รู้ทั้งรู้อยู่ว่าเป็นยังไง
แต่ก็ขอลองดูสักหน่อย เนื่องจากว่านานๆจะเห็นที
หมองูคนนี้แกว่ามีเลขเด็ดจากงูจงอางจะมาบอก
ขอให้อดใจรอสักหน่อย เดี๋ยวแกจะให้ดู
ระหว่างนั้นแกก็โชว์ งูเห่า งูเหลือม งูน้ำไปตามเรื่อง
แล้วก็มาถึงทีเด็ดตรงงูจงอาง
หมองูแกว่า งูนี่เด็ดจริง ถึงเป็นงูจงอางก็ไม่ต้องกลัว
มีแกอยู่ตรงนี้ทั้งคน แล้วเมื่อวานที่งูให้เลขเด็ดแม่ค้าแถวนี้ถูกมาแล้วกันทั้งนั้น

หมองูแกว่าพลางขยับฝาหีบจะเปิดงู แล้วก็นึกขึ้นได้ว่ามีของดีมาฝาก
แกเลยเอาโชคมาแบ่งเป็นตะกรุดแคล้วคลาด เสกโดยหลวงพ่อชื่อดัง
ตะกรุดที่ว่ามีจำนวนจำกัด ใครอยากได้ก็ต้องรีบหน่อย
และชั่วเวลาไม่นาน ตะกรุดที่มีจำกัดกว่า 20 อันก็ถูกซื้อไปอย่างรวดเร็ว
หมองูแกขยับลังงูมาอีกนิด คนดูรอบข้างเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง
แกเอียงลังงูมานิดๆ แล้วเรียกเด็กเล็กแดงให้เข้ามาใกล้ๆ

หลายคนเริ่มกระสับกระส่ายเนื่องจากเกรงเจ้างูจงอาง กับไม่แน่ใจว่าพ่อหมองูจะเอาอยู่
แกเรียกให้คนล้อมวงเข้ามาใกล้ๆ พลางท่องคาถาพึมพัมไปทั่ว
แกท่องไป คนดูจับตางูในลังที่ชูหัวขึ้นมาแวบๆ
แล้วแกก็ลืมตาขึ้นมาเขม็ง คนดูรอบข้างจ้องหน้าพ่อหมองูตาไม่กระพริบ
พ่อหมองูเป่าลมใส่ไมค์ก่อนจะพูดว่า นึกขึ้นได้ว่ามีของดีอีกอย่าง
เป็นพระเลี่ยมพลาสติก ได้รับการปลุกเสกเรียบร้อยพร้อมคาถาบูชา
แต่มีจำนวนจำกัดใครอยากได้ก็ต้องรีบหน่อย


คลาสสิก





ช่วงปีใหม่ไปเที่ยวเชียงใหม่มาครับ
แต่จนถึงเดี๋ยวนี้ ยังเขียนอะไรไม่ค่อยออกเลย
ยิ่งไม่เขียน ยิ่งเขียนไม่ออก แล้วพาลจะตันเอาดื้อๆ
จะค่อยๆเขียนออกมาให้ได้ละกันครับ

ในภาพเป็นกึ่งขายของกึ่งโชว์ของ
เป็นบ้านเล็กๆระหว่างทางเดินไปไนท์บาซ่า
เจ้าของนอนอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในเปลหลังบ้าน
โดยที่ไม่กลัวว่าของจะหายเลยทีเดียว
ภายในร้านมีของเล่นมากมายถึงขั้นก่ายกองเป็นภูเขา
เป็นนิตยสารเก่าๆก็มี แสตมป์รุ่นเดอะบ้างก็มี
หรือแม้แต่สิ่งนี้
กำแพงเทปคาสเซทที่เรียกได้ว่าคลาสสิก

นกไร้ขา


"ผมเคยได้ยินเรื่องนกไร้ขา มันได้แต่บินและบิน เหนื่อยก็นอนในสายลม
ในชีวิตจะลงดินก็เพียงครั้งเดียว... เมื่อถึงวันตาย"

มนุษย์แกะ


Monday, January 26, 2015

วินนิ่งมั้ยสาด


ที่ชั้นโรงหนังของ Terminal 21
ที่ตรงนั้นมีตู้เกมแบบหยอดเหรียญตั้งอยู่
หน้าตู้เกมมีจอย ps3 วางอยู่ 4 จอย
และแน่นอนเกมที่โชว์อยู่บนจอก็คือเกมยอดนิมยมอย่างวินนิ่ง (PES)
ผมคิดว่าเวอชั่นที่ใช้เล่นน่าจะเป็นเวอชั่นคอม สังเกตุจากไอคอนจอยในเกมที่เป็นรูปจอย xbox
แต่บ้านเราคงถนัดกับจอยเพลย์มากกว่า คนเอาตู้มาตั้งจึงใช้จอยเพลย์แทน

ผมดูเดโม่หน้าเกมรันไปพลางนั่งวาดรูปเรื่อยเปื่อยไปพลาง
ตัวเกมรันไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีคนมาหยอดเหรียญ จึงจะบังคับเกมได้
แล้วก็มีคนมาหยอด 2คนบ้าง 4คนบ้างก็มี
จังหวะที่รู้สึกว่ามันเหนือจริงคือ ตอนที่เขาเหล่านั้นเริ่มเล่นเกม
มันเหมือนกับหลุดเข้าไปอยู่ในโลกส่วนตัว เหมือนเขาเหล่านั้นกำลังนั่งเล่นที่บ้าน
แน่นอนว่าวินนิ่งเป็นเกมที่เล่นด้วยปาก จึงได้ยินบทสนทนาระหว่างเกมลอยมาเป็นระยะ
ผู้คนที่เดินผ่านไปมาก็สนใจเกมที่เล่นอยู่เช่นกัน

อาจจะเป็นด้วยวินนิ่ง หรืออาจจะเป็นเพราะฟุตบอลเป็นกีฬาที่นิยมกันเป็นสากล
ผมจึงเห็นคนยืนหยุดดูกันเป็นระยะทั้งไทยและต่างชาติ
จังหวะที่ผู้เล่นถากถางกันเองข้างๆหูอย่างถึงรสชาตินี่ มันอาจจะหาได้แค่ในเกมวินนิ่งเท่านั้นละมั้ง
และยิ่งจังหวะที่ยิงเข้าแล้วฝั่งที่ยิงเข้ากู่ร้องดีใจพลางชูมือ
ผมเห็นผู้คนรอบข้างไม่น้อยเหมือนกันที่ยกมือดีใจ ราวกับกำลังดูฟุตบอลจริงๆในทีวี

วินนิ่งมันสาดจริงๆ

Tuesday, January 6, 2015

Tin Tin


วาดตินๆ ไม่รู้จะโพสอะไรเลยกินลูกชิ้นซะงั้น

Self sketch