Tuesday, June 3, 2014

หาบ้าน

ซานฟรานซิสโกเป็นเมืองที่ค่าครองชีพสูงรองจากนิวยอร์ก
ดังนั้นก่อนที่ผมจะไปเรียนต่อที่อเมริกา ผมจึงเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับเมืองที่ผมจะไปอยู่ก่อน
โดยดูทั้งค่าครองชีพ ที่อยู่อาศัย ที่ตั้งโรงเรียนและการเดินทาง และลองสอบถามข้อมูลจากคนในท้องที่
เป็นโชคดีของผมที่ตอนนั้นได้ติดต่อรุ่นพี่คนนึงที่กำลังเรียนอยู่ที่โน่นไว้
ผมถามข้อมูลมากมาย ทั้งเรื่องเกี่ยวกับการเรียน การหาที่อยู่รวมถึงการหางานหลังจากเรียนจบ
จากข้อมูลเรื่องที่อยุ่ทั้งหมดทำให้ผมพอจะสรุปได้คร่าวๆเหลือตัวเลือกแค่ 2 ทางว่า จะอยุ่ในตัวเมืองหรือนอกเมือง
ในตัวเมืองคือย่านดาวทาวน์ทั้งหลาย ทั้ง Nob hill, Russian hill, Tenderloin และ Chinatown
โดยจะมี่ทั้งโซนโรงแรม โซนที่อยู่อาศํย โซนชอปปิ้งและร้านรวงต่างๆมากมาย
ข้อดีของการอยู่ในตัวเมืองคือสะดวก สามารถเดินไปโรงเรียนหรือห้างต่างๆได้แต่ต้องแลกกับราคาค่าเช่าบ้านที่สูงเช่นกัน
นอกจากนี้ตอนกลางคืน ย่านบางย่านอย่าง Tenderloin นี่ไม่ควรจะไปเดินเล่นแถวนั้นถ้ากระดูกยังไม่แข็งพอ
ทางฝั่งนอกเมือง ที่ๆส่วนมากนักเรียนจะไปอยู่กันจะเป็นย่าน Sunset และ Richmond โดยมี Golden gate Park คั่นกลางระหว่าง 2 ย่านนี้ไว้
ทั้ง 2 ย่านนี้จะเป็นโซนที่อยู่อาศัย ทำให้ตอนกลางวันและกลางคืนจะเงียบสงบมาก
ยิ่งย่าน Sunset นี่ยังกับชุมชนคนจีน มีทั้งร้านอาหารจีนและซุปเปอร์มาเก็ตจีนราคาถูก
และที่สำคัญคือ ย่านนี้มี Golden gate park ซึ่งเป็นปาร์กขนาดใหญ่มากตั้งอยู่
ผมเลือกที่จะอยู่ย่าน Sunset จากข้อมูลทั้งหมดที่หามาและจากรุ่นพี่ที่เคยอยู่ย่านนี้มาก่อน
ด้วยเหตุผลด้านงบประมาณและความปลอดภัยในกรณีที่กลับบ้านดึก

นอกจากนี้การที่มีคนช่วยหารค่าบ้านย่อมถูกกว่าจ่ายคนเดียวแน่นอน ก่อนออกเดินทางผมจึงสอบถามไปตามคนรู้จักว่า ผมกำลังจะไปเรียนต่อที่ซานฟรานซิสโก รู้จักใครที่กำลังจะไปเรียนต่อช่วงนั้นไหมและจากการติดต่อทางเพื่อนคนโน้นรู้จักกับคนนี้ พี่คนนี้รู้จักกับคนนั้น รุ่นพี่ที่คณะผมจึงแนะนำเพื่อนของเขา 2 คนชื่อกิต และ บัว ให้ผมรุ้จัก คนนึงจบครุศาสตร์และอีกคนจบอักษรศาสตร์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเหมือนกันและกำลังจะไปเรียนต่อด้านดนตรีที่ซานฟรานซิสโกในเทอมหน้าเหมือนกับผม โดยกิตไปเรียนต่อด้านขับร้องส่วนบัวไปเรียนต่อด้านเปียโน ด้วยความคิดที่ว่าเด็กจุฬาฯเหมือนกันน่าจะเข้ากันง่ายและเรียนดนตรีน่าจะสุนทรีย์ดี ผมจึงตกลงนัดเจอกับ กิต และ บัว หลังจากแนะนำตัวและกินข้าวด้วยกัน 1 มื้อ พวกเรา 3 คนจึงตกลงที่จะไปเช่าบ้านอยู่ด้วยกัน

ช่วงที่ผมไปเป็นเดือนสิงหาคม การหาบ้านในช่วงนั้นก็มีการแข่งขันที่สูงอยู่เหมือนกัน
ไหนจะทั้งเด็กนักเรียนที่หาบ้านต้อนรับเทอมใหม่ และคนทำงานทั่วไปที่หาบ้านอยู่เหมือนกัน
ผมและโฮมเมททั้งสองไล่ดูลิสท์รายชื่อจากเวบ Craigslist เวบยอดนิยมสำหรับการหาของทุกอย่าง
เราช่วยกันเลือกบ้านที่อยู่ย่าน Sunset และมีคุณสมบัติตามที่เราต้องการ ที่สำคัญคือราคา
ข้อดีของการเช่าบ้านคือ ถึงแม้จะมีราคาสูงแต่เมื่อหารเฉลี่ยแล้วนับว่าถูกกว่าอยู่ในตัวเมืองกว่าเยอะ
เราเดินสำรวจตามบ้านเป้าหมายที่ลิสท์ไว้ และต้องพบกับมวลประชาชาวซานฟรานซิสโกที่กำลังหาที่อยู่ใหม่เหมือนกัน
ด้วยความที่เป็นนักเรียนทำให้เครดิตของเราอาจจะแข่งกับผู้สมัครรายอื่นไม่ค่อยดีนัก
เพราะเจ้าของบ้านต้องเช็กประวัติและมั่นใจว่าไอ้คนเช่าเนี่ยจะมีเงินจ่ายค่าเช่าทุกเดือน
ถ้าเป็นคนทำงานคงไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นนักเรียนที่ไม่มีรายได้นี้สิจะมั่นใจได้ยังไง
พวกเราเดินกันอยู่นานจนในที่สุดเจอบ้านหลังนึงติดป้ายให้เช่าไว้
บ้านหลังนี้ไม่ได้อยู่ในลิสท์บ้านเป้าหมายที่เล็งไว้ และเป็นตอนที่พวกเราคิดว่ากำลังจะพอสำหรับวันนี้แล้ว
หลังจากการพูดคุยกับเจ้าของบ้านที่เป็นคนจีนอยู่พักใหญ่ บวกกับการพูดคุยของอาเพื่อนที่พูดจีนได้
(ซึ่งภายหลังผมพบว่าอยู่อเมริกาเนี่ย ถ้าพูดอังกฤษไม่เป็นแต่พูดจีนได้ก็ไม่อดตายแน่)
เจ้าของบ้านก็ตอบตกลงและพวกเราสามารถเช่าบ้านหลังนี้ได้
โดยต้องมีคนรับรองเนื่องจากพวกเราทั้งหมดอยู่ในสถานะนักเรียน
หลังจากจ่ายค่ามัดจำบ้านเรียบร้อย พวกเราก็เช่าบ้านหลังนี้ได้อย่างถูกต้อง

ในที่สุดผมก็จะมีบ้านอยู่แล้ว แถมยังอยู่ในซันเซ็ทที่ปลอดภัยเสียด้วย
ผมและโฮมเมทในอนาคตอีกไม่กี่วันจึงพากันแยกย้ายไป
โฮมเมทผมทั้ง 2 คนพักอยู่ชั่วคราวกับอาของเขาจึงแยกไปทางนึง
ส่วนผมต้องเดินไปขึ้นรถไฟเพื่อกลับไปยังบ้านพักโฮมสเตย์ก็แยกไปอีกทางนึง
ตอนนั้นเป็นเวลาราวๆทุ่มนึงแต่ยังอยู่ในช่วงฤดูร้อนทำให้ยังคงมีแสงแดดอยู่
ผมยืนรอรถไฟอยู่คนเดียวที่ถนน Judah ตัดกับ 36 ave ด้วยความตื่นเต้นที่จะได้บ้านแล้ว
อากาศในตอนนั้นหนาวนิดหน่อย เป็นช่วงเย็นหลังเลิกงานผู้คนส่วนใหญ่ยังไม่ถึงบ้านกัน
ทำให้บริเวณนั้นไม่ค่อยมีผู้คนเดินผ่านไปมาเท่าไหร่นัก จะมีก็แค่พี่มืด 2 คนในชุดฮูดลายพรางที่ยืนรอรถเมล์อยู่ถัดไปไม่ไกลนัก
และทำไมไม่รู้หนึ่งในนั้นเกิดตัดสินใจเดินตัดถนนข้ามมาหาผม
พี่มืดเดินตัดถนนด้วยการขจัด ไม่มีการเดินตามทางบนฟุตบาทอะไรทั้งสิ้น
พี่แกเดินเฉียงด้วยความเร็วคงที่เข้ามา
ผมปลอบตัวเองในใจว่า ไม่เอาน่าพี่แกคงเปลี่ยนใจมาขึ้นรถไฟแทนละมั้ง แต่เอ๊ะ ทำไมถึงทิ้งเพื่อนอีกคนไว้ละ
พี่มืดแกยังคงเดินดุ่มๆพลางดึงหมวกไหมพรมออกมาคลุมหน้า
ผมพยายามให้เหตุผลว่าอากาศมันหนาว ใครๆก็เอาหมวกไหมพรมมาคลุมเป็นไอ้โม่งทั้งนั้นล่ะ
ถึงตอนนี้พี่มืดแกมาประชิดตัวผมแล้ว และก่อนที่ผมจะเซย์ไฮทักทายตามประสาชาวโลกด้วยกัน
พี่มืดแกชิงกระแทกเสียงในฟิลม์ออกมาก่อนว่า

" GIVE ME YOUR MONEY"

ให้ตายเถอะ ถึงผมจะเล่นเกม GTA หรือเห็นเหตุการณ์แบบนี้ในหนังมานักต่อนัก
พอมาเจอสถานการณ์จริงเข้า เล่นเอาผมทำอะไรไม่ถูกเลยได้แต่ยืนตัวแข็งและเป็นใบ้

" YOUR MONEY, GIVE ME NOW"

พี่มืดเร่งเสียงในฟิลม์มาอีกรอบ และระหว่างที่ผมกำลังคิดว่าจะหยิบเหรียญอะไรให้พี่แกดี
พี่มืดแกก็พูดขึ้นมาว่า

"Do you have a cigarette?"

จู่ๆพี่มืดแกลดเสียงลงและพูดด้วยเสียงปกติว่าผมมีบุหรี่ไหม

"No, I don't smoke" ผมตอบเสียงแหบราวกับเพิ่งดูดบุหรี่ไปหมดซอง

"Oh, ok"

พี่มืดตอบเสร็จก็เดินกลับไปหาเพื่อนแกที่รออยู่ฟากโน้นเฉย
ผมยืนรวบรวมสติอยู่สักพักก็ประมวลผลได้ว่า จริงๆแล้วพี่มืดแกไม่ได้ตั้งใจจะมาปล้นเราหรอกเนอะ
พี่แกคงแค่แหย่เล่นเฉยๆ แต่ทำไมพี่เขามองมาทางนี้อีกแล้วล่ะ แถมยังมีเราอยู่คนเดียวเหมือนเดิมนะ
ผมเลยตัดสินใจย้ายตัวเองออกจากจุดล่อแหลมนั้น แล้วเดินไปรอรถไฟที่ป้ายถัดไปห่างจากพี่มืดทั้งสอง
เผื่อพวกพี่เขาเปลี่ยนใจกลับมาขอบุหรี่อีก จะได้วิ่งไปซื้อทัน
ปลอดภัยไว้ก่อนครับทุกคน



No comments:

Post a Comment