Tuesday, September 30, 2014

A town where I live










เพจใหม่สำหรับไว้รวบรวมงานเขียนและรูปถ่ายโดยเฉพาะ
ขอเชิญเยี่ยมชมกันได้นะครับ
https://www.facebook.com/atownwhereilive

Monday, September 29, 2014

ฉุกเฉิน

"ถ้าบนเครื่องบินมีเหตุการณ์ฉุกเฉิน คุณผู้โดยสารจะช่วยฉันไหมคะ"
 พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินถามผมในขณะที่ผมกำลังพยายามแก้สายหูฟังที่พันกันอย่างยุ่งเหยิงในซองไอพอดของผมออก ทำให้ผมได้ยินสิ่งที่พนักงาน(สาว)ต้อนรับบอกกับผมไม่ชัดเจน
"ถ้าเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินบนเครื่องบิน แล้วเราต้องร่อนลงจอด คุณผู้โดยสารจะช่วยดิฉันเปิดประตูฉุกเฉินได้ไหมคะ"
 พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินพูดพร้อมผายมือออกไปยังที่นั่งริมหน้าต่างในแถวที่ผมอยู่ ที่ตรงนั้นมีตัวหนังสือเขียนไว้เป็นภาษาอังกฤษว่า "Emergency exit"
และนั่นก็ทำให้ผมนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

40 นาทีก่อนหน้านี้

ผมอยู่ที่สนามบินเชียงราย เวลาขณะนั้นประมาณ 19.30 น. เที่ยวบินของผมตามกำหนดการณ์แล้วจะออกเดินทางราวๆ 20.10 น. ผมจึงยังมีเวลาอ้อยอิ่งพอที่จะค่อยๆเดินไปเช็กอินที่เคาเตอร์ของสายการบินที่จองไว้ หลังจากทักทายพนักงานต้อนรับภาคพื้นดินพอเป็นพิธีแล้วผมจึงยื่นใบจองตั๋วเครื่องบินที่ได้ปรินท์เตรียมออกมาไว้ให้กับพนักงานหนุ่มพร้อมกับบัตรประชาชน พนักงานต้อนรับภาคพื้นดินหนุ่มเช็กเอกสารของผมอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกกับผมว่า
"คุณผู้โดยสาร ถ้าได้ที่นั่งฉุกเฉินจะสะดวกไหมครับ"
ที่นั่งฉุกเฉิน ที่นั่งฉุกเฉินคืออะไร ผมไม่ค่อยได้นั่งเครื่องบินบ่อยนักจึงไม่คุ้นเคยกับคำนี้
"ที่นั่งฉุกเฉิน เป็นที่นั่งที่ติดกับประตูฉุกเฉินครับ" พนักงานหนุ่มตอบ
ผมคิดว่าไอ้ที่นั่งฉุกเฉินที่ติดกับประตูฉุกเฉินนี่มันคงมีทางเดินฉุกเฉินและอะไรฉุกเฉินเต็มไปหมด
ผมจึงถามกลับไปว่า
"แล้วมีที่นั่งริมหน้าต่างไหมครับตอนนี้"
พนักงานหนุ่มก้มหน้าเช็กในคอมพิวเตอร์ครู่นึง จึงตอบกลับมาว่า
"ตอนนี้เหลือที่นั่งฉุกเฉินริมทางเดินกับ ที่นั่งปกติแต่เป็นที่นั่งตรงกลางระหว่างผู้โดยสาร 2 ข้างนะครับ"
ผมชั่งใจคิดอยุ่ครู่หนึ่ง แล้วคิดว่าอย่างน้อยถ้านั่งริมทางเดินก็จะมีพนักเป็นของตัวเองข้างหนึ่งละน่ะ เลยตัดสินใจเลือกที่นั่งฉุกเฉินริมทางเดิน
"ดีเลยครับ ที่นั่งฉุกเฉินเนี่ยจะมีขนาดกว้างกว่าที่นั่งปกติ สามารถนั่งได้สบายเลยล่ะครับ"
พนักงานหนุ่มรับคำผมแล้วก้มหน้าง่วนอยู่กับอะไรสักอย่างหนึ่ง ซึ่งตามปกติแล้วมันไม่น่าจะนานขนาดนี้
สักพักพนักงานหนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นมาแล้วถามผมว่า
"คุณผู้โดยสารมีอาการปวดหลัง ปวดไหล่หรือเปล่าครับ"
"ห่ะ อะไรนะครับ" ผมได้ยินคำถามนี้ชัดเจนดี แต่เกิดอาการสงสัยว่าคำถามนี้มันเกี่ยวอะไรกับการออกตั๋วเครื่องบิน
"คุณผู้โดยสารมีอาการปวดแขน ปวดไหล่ หรือยกของหนักไม่ได้หรือเปล่าครับ"
อืม ผมไม่แน่ใจว่าคำถามนี้จะเกี่ยวอะไรแต่ก็ตอบไปตามตรง
"ตอนนี้ยังไม่ค่อยปวดครับ แต่บางทีนั่งทำงานนานๆก็ปวดไหล่เหมือนกัน"
ผมไม่แน่ใจว่าคำตอบที่ตอบไปนั้นตรงกับคำถามที่พนักงานหนุ่มถามผมหรือไม่ แต่อย่างไรก็แล้วแต่พนักงานหนุ่มก็ยื่นตั๋วเครื่องบินให้ผม
"เดินทางปลอดภัยนะครับ" พนักงานหนุ่มกล่าวส่งท้าย

อันที่จริงผมน่าจะรู้สึกตัวตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่านี่เป็นสัญญาณอะไรบางอย่าง
ตั้งแต่ตอนที่พนักงานหนุ่มพยายามเชื้อชวนให้ผมเลือกที่นั่งฉุกเฉินโดยความสมัครใจของผมเอง หรือตั้งแต่ตอนที่ผมซื้อน้ำหวานที่ขายเกินราคาจากร้านค้าในสนามบิน หรือตอนที่ผมเดินผ่านพนักงานรักษาความปลอดภัยที่บอกผมว่าผมไม่สามารถนำของเหลวพลางชี้ไปที่ขวดน้ำหวานที่ผมเพิ่งจะจิบไปได้นิดเดียวเข้ามาในบริเวณที่นั่งรอเครื่องบินได้ หรือตอนที่ผมต้องกระดกน้ำหวานขนาดความจุ 500 มิลลิลิตร ที่กะจะค่อยๆจิบขณะรอเครื่องบิน เป็นการกระดกทีเดียวหมดส่งผลให้ระดับน้ำตาลในร่างกายผมสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดนี้มันน่าจะเป็นสัญญาณที่บอกผมให้เตรียมตัวไว้ เหมือนที่ลุงเบนเคยบอกผมไว้ว่า
"ความสามารถอันยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง"

"ถ้าเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินบนเครื่องบิน แล้วเราต้องร่อนลงจอด คุณผู้โดยสารจะช่วยดิฉันเปิดประตูฉุกเฉินได้ไหมคะ"

เสียงของพนักงานต้อนรับสาวดึงผมออกมาจากภวังค์
"ได้เลยน้อง" ลุงผมยาวตัวอ้วนที่นั่งข้างผมตอบเสียงดังฟังชัดในขณะที่ผมและผู้โดยสารรอบๆตอบกันแบบงึมงำ
"ขอบคุณค่ะ ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินนะคะ เครื่องบินเราอาจต้องลงจอดอาจจะเป็นทางบกหรือทางน้ำ พอเครื่องบินจอดสนิท ทางเราต้องขอแรงคุณผู้โดยสารช่วยเปิดประตูฉุกเฉินด้วยนะคะ แต่หากคุณผู้โดยสารเห็นว่าข้างนอกนั้นมีเพลิงไหม้ หรือเห็นว่าเครื่องบินส่วนนั้นจมน้ำอยู่ ก็ไม่ต้องเปิดประตูฉุกเฉินนะคะ เราจะใช้ทางออกฉุกเฉินด้านหน้าและด้านหลังแทน ส่วนวิธีการเปิดนั้นเรามีคู่มืออยู่ในพนักด้านหน้าให้คุณผู้โดยสารลองอ่านดูนะคะ"
พนักงานต้อนรับสาวพูดจบพลางยิ้มละไม
"โอ้ เยี่ยมเลย ขอผมลองเปิดดูได้ไหม" ลุงผมยาวที่นั่งข้างผมเอ่ยปาก
ผมแอบคิดในใจว่าบางทีลุงแกอาจจะอยากลองเชิงหรือกวนตีน แต่พนักงานต้อนรับสาวเองก็ไม่ได้ยี่หระใดๆ บางทีอาจมีคนขอลองเปิดมาหลายครั้งแล้วก็ได้
"ไม่ได้นะคะ ประตูฉุกเฉินจะเปิดได้ก็ต่อเมื่อมีเหตุฉุกเฉินและเครื่องบินจอดสนิทเท่านั้นค่ะ" พนักงานต้อนรับสาวกล่าวเรียบๆแต่เด็ดขาด
คุณลุงเองก็ไม่ได้ต่อปากต่อคำอะไร แกหยิบคู่มือขึ้นมานั่งพลิกดู 2-3 ทีก่อนจะหยิบวางลงไปที่เดิม
พนักงานต้อนรับสาวมองไปรอบๆ ก่อนจะกล่าวขอบคุณกลุ่มผู้โดยสารที่ได้รับมอบหมายหน้าที่นี้อันได้แก่ คุณลุงผมยาวที่นั่งอยุ่ข้างผมกับแฟนของแก คู่ลุงป้าในที่นั่งข้างหน้าผม ฝรั่งที่นั่งอยู่คนเดียวตรงที่นั่งแถวข้างผมและผู้โดยสารปกติในที่นั่งเยื้องถัดไป

ตอนนี้ความหวังในการดูแลรักษาความปลอดภัยของผู้โดยสาร(ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน) ของเครื่องบินลำนี้ได้ตกอยู่ในความรับผิดชอบ (ส่วนน้อยนิด) ของผมแล้ว ผมเริ่มรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็น ลุงเลียม นีลสัน จาก Nonstop นี่สินะที่ว่าเขาว่าสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ ซึ่งผมคิดว่าไม่น่าจะมีผมคนเดียวที่รู้สึกแบบนี้ อย่างน้อยลุงผมยาวที่นั่งข้างผมก็น่าจะรู้สึกฮึดขึ้นมาเหมือนกัน สังเกตได้จากแกหันไปบอกแฟนของแกที่นั่งอยุ่ริมทางออกฉุกเฉินว่า
"นี่เธอน่ะ เรามาแลกที่กัน ฉันแข็งแรงกว่าเธอมีเหตุการณ์อะไรขึ้นมาจะได้ไม่เสียเวลา"
ลุงแกพูดจบก็ขยับตัวลุกขึ้นยืนแล้วสลับที่นั่งไปนั่งริมหน้าต่างแทนแฟนของแก
นี่สิคนไทยไม่ทิ้งกัน ผมชื่นชมในลุงร่างอ้วนผมยาวที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน ถ้าเราทุกคนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมาก่อนสังคมก็คงจะดีขึ้นไม่น้อย

คิดได้ดังนั้นผมจึงเริ่มทบทวนขั้นตอนการเปิดประตูฉุกเฉินจากรูปอินโฟกราฟฟิกที่มีไว้ให้ ประตูฉุกเฉินที่ว่านี้มีลักษณะไม่เหมือนประตูทั่วไป พูดง่ายๆคือไม่มีที่จับลูกบิดอะไรทั้งสิ้น ถ้ามันไม่มีคำว่าฉุกเฉินติดอยู่ ผมก็จะไม่สังเกตุด้วยซ้ำว่ามันคือประตู ขั้นตอนการเปิดเองก็ง่ายๆไม่มีอะไรซับซ้อน โดยเริ่มจากให้คุณใช้มือขวาทำการกระชากผนังบางที่ซ่อนที่เปิดประตูออกมา พอผนังส่วนนั้นหลุดออกมาแล้วคุณก็จะเห็นแกนสำหรับกระชากคล้ายพวกเบรกฉุกเฉินบนรถไฟฟ้า จากนั้นให้คุณกระชากเจ้าแกนจับที่ว่านั้น พร้อมกับประคองผนังส่วนล่างไว้ด้วย เพราะหลังจากดึงแกนจับลงมาแล้ว ผนังทั้งผนังจะหลุดออกมาเลย
ผมไม่แน่ใจว่าขั้นตอนหลังจากนี้จะเป็นยังไง เพราะตามรูปตัวอย่างอินโฟกราฟฟิกแล้วเป็นรูปผู้โดยสารอุ้มเจ้าประตูฉุกเฉินที่ว่านี้ไว้ ในนั้นไม่ได้บอกว่าให้ทิ้งไว้นอกเครื่องหรือว่าเก็บไว้กับตัว แต่ถ้าเป็นผม ผมอาจจะใช้เจ้าประตูฉุกเฉินนี่ล่ะเป็นเลื่อนแล้วไถลลงไปพร้อมกันเลย

ผมซักซ้อมขั้นตอนในใจจนคิดว่าจำได้แล้วจึงทำตัวปกติไม่ให้มีพิรุธ แล้วเฝ้ารอเหตุการณ์ฉุกเฉินที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ไม่นานนักพนักงานต้อนรับก็นำอาหารมาเสิร์ฟตามปกติ ผมก็ทำตัวตามปกติ ฟังเพลงบนไอพอดของผมตามปกติ เหตุการณ์ทุกอย่างดูปกติตามอย่างที่เที่ยวบินควรจะเป็น เรามีจังหวะตกหลุมอากาศตามปกติสัก 2-3 ครั้ง แต่นอกนั้นแล้วเที่ยวบินนี้ก็สงบดี ไม่มีเหตุการณ์ฉุกเฉินใดๆเกิดขึ้นเลย

ถ้าคุณบังเอิญได้ที่นั่งฉุกเฉิน ที่ติดกับประตูฉุกเฉิน ขอให้คุณรู้ไว้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่โอกาสที่คุณจะได้เป็นวีรบุรุษนั้นมาถึงแล้ว เดินทางปลอดภัยครับ




Thursday, September 25, 2014

zebracan

เพิ่งอัพเดทเวบพอร์ทในรอบหลายปี
ขอเรียนเชิญเยี่ยมชมนะครับ
http://zebracan.com/portfolio.html


Saturday, September 13, 2014

หนังสือน่าอ่าน


 
เล่นบ้าง เรียงตามช่วงอายุแบบเม้งละกัน
1. บ้านเล็กในป่าใหญ่ เป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวๆหนึ่ง ที่ใช้ชีวิตท่ามกลางป่าน้อย ก่อนจะย้ายไปสู่ป่าใหญ่ ตัวหนังสือเขียนโดย ลอร่า อิงกัล ไวเดอร์ ซึ่งเธอเล่าเรื่องชีวิตของเธอตั้งแต่สมัยเด็กมา หนังสือชุดนี้ประกอบไปด้วยทั้งหมด 7 เล่ม โดย5 เล่มแรกเป็นเรื่องของเธอและครอบครัวตั้งแต่เด็กจนโต เล่มที่ 6 เป็นเรื่องของ อัลแมนโซ ไวเดอร์ ซึ่งคือคู่ครองของเธอนั่นเอง และเล่มที่ 7 เป็นบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมด หนังสือชุดนี้น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการอ่านเลยก็ว่าได้ เป็นหนังสือชุดที่แม่ของผมชอบมาก ในตอนแรกๆผมยืมหนังสือชุดนี้จากห้องสมุดที่ รร.อัสสัมชัญแผนกประถม โดยยืมมาให้แม่อ่าน ต่อมาภายหลังผมจึงลองอ่านดูบ้าง และเป็นหนังสือชุดที่ยืมไปทั้งหมด 2 รอบในชีวิตนักเรียนประถม ก่อนจะมายืมอีกรอบนึงตอนชั้นมัธยม และในที่สุดก็ซื้อครบชุดตอนที่ห้างเดอะมอลล์(ละมั้ง) ขายแบบลดราคาอยู่

2. กระท่อมน้อยของลุงทอม หลังจากยืมหนังสือชุดบ้านเล็กรัวๆ ครูบรรณารักษ์จึงเริ่มแนะนำหนังสือให้อีกหลายเล่ม เล่มหนึ่งที่อยู่ในความทรงจำของผมคือ กระท่อมน้อยของลุงทอม ไม่ใช่เพราะเนื้อหาชีวิตอันน่ารัดทดและอดสู ชีวิตมันช่างบัดซบอะไรเช่นนี้ แต่เพราะความหนาและหนักของหนังสือเล่มนี้ในสมัยนั้น หนาระดับไบเบิ้ลกันเลยทีเดียว แต่สาเหตุหลักที่ผมยืมหนังสือเล่มนี้เพราะในโดราเอม่อนมีตอนหนึ่งที่โนบีตะ ที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ โดนห่าอะไรสักอย่างเข้าไปทำให้ติดหนังสืองอมแงมและเรื่องที่โนบีตะอ่านจนดึก น้ำตาไหลหรากคือเรื่องกระท่อมน้อยของลุงทอมนี่เอง

3. ห้าสหายผจญภัย โดย อีนิด ไบรตัน สมัยประถมที่โรงเรียนจะมีงานหนังสือเล็กๆให้นักเรียนซื้อไปอ่านเล่น ผมซื้อหนังสือชุดเล่มนี้มาหนึ่งเล่มโดยไม่รุ้ว่ามันคืออะไร และหลังจากนั้นเมื่อเจอหนังสือชุดเล่มนี้ที่ไหนก็จะซื้อไว้อ่าน ในตอนนั้นซื้อมาเปะปะมาก จนภายหลังแม่ของผมก็เลยซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดยกชุด โดยโทรไปสั่งที่สนพแก้วไทยกันเลยทีเดียว ความรู้สึกของเด็กประถมคนนึงในตอนนั้นคือตื้นตันจนเหลือจะกล่าว และยิ่งตื่นเต้นเมื่อรู้ว่าหนังสือชุดนี้มีถึง 20 กว่าเล่ม ซึ่งมานึกดูตอนมัธยมเพื่อนคนนึงมาบ้านแล้วขอยืมไปเกือบยกชุด แล้วตอนนี้มันเอามาคืนรึยังวะ... ห้าสหายผจญภัยได้รับความนิยมมาก จนนักเขียนอเมริกันเอามาเขียนต่อเป็นภาค 2 ซึ่งแน่นอนว่าความสนุกสู้คนเขียนต้นฉบับไม่ได้ นอกจากนี้คนเขียนยังเขียนชุด สี่เกลอผจญภัยอีก ซึ่งสนุกไม่แพ้กันและทำให้ผมได้รู้จักวรรณกรรมเด็ก

4. ล่องไพร โดยน้อย อินทนนน์ แม่งเอ้ย ถ้ามีหนังสือเล่มไหนที่เปิดจินตนาการให้กว้างไกลได้ละก็ หนังสือชุดนี้เป็นจุดเริ่มต้นเลยทีเดียว คนเขียนเล่าเรื่องราวของศักดิ๋ สุริยันพรานหนุ่ม กับตาเกิ้นคนนำทางคู่ใจ ที่ออกลุยป่าฝ่าดงแก้ไขปัญหาสัตว์รบกวนตามหมู่บ้านต่างๆ ภายในเรื่องมีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับป่า และความเชื่อแบบไทยๆผสมอยู่ตลอด

5. ยิ้มสี่ขา โดย เจมส์ แฮเรียต ถ้ามีหนังสือเล่มไหนที่อ่านแล้วยิ้มได้ก็ต้องหนังสือเล่มนี้เลย คนเขียนเป็นสัตว์แพทย์ทั้งสัตว์เล็กและใหญ่ โดยเนื้อหาเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตที่เขาต้องเจอทั้งคนและสัตว์ เนื้อหาดีไม่มีพิษภัยเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนที่อยากเป็นสัตวแพทย์ได้ดี

6. 4 ปีนรกในเขมร คนเขียนเป็นภรรยานักการฑูตชาวญี่ปุ่น ซึ่งเมื่อประสบเคราะห์ซ้ำกรรมซัดทั้งสามีและลูกตายลงในระหว่างอพยพ และหลังจากผ่านไป 4 ปี ตัวคนเขียนจึงหลุดออกมาจากนรกนั้นได้สำเร็จ สงครามไม่เคยให้คุณแก่ใคร

7. อย่ากระนั้นเลย แปลโดยมนันยา รวมเรื่องสั้นแปล มีเรื่องที่น่าสนใจหลายเรื่อง บางเรื่องคิดได้ไง และบางเรื่องเหมือนเคยอ่านเจอในขายหัวเราะ เป็นงานเขียนที่ทำให้รู้จักคำว่าสำนวนฝรั่ง

8. สยองขวัญ โดย เอโดงาวะ รัมโป เล่มนี้อ่านครั้งแรกสมัยประถมโดยยืมมาจากห้องสมุด และไม่นานมานี้เพิ่งซื้อฉบับพิมพ์ใหม่โดยสำนักพิมพ์ผีเสื้อ ไม่น่าเชื่อว่าความสยองในวัยเด็กยังคงสยองอยู่ในวัยโต เรื่องที่ชอบคือเรื่องเก้าอี้มนุษย์

9. Yellow cabby โดย smartupid คนเขียนเคยขับแท๊กซี่ในนิวยอร์กและเขียนเล่าเรื่องราวได้สนุกมาก ผมตามอ่านมาตั้งแต่สมัยแกโพสลงพันทิปแรกๆ จนเมื่อรวมเล่มจึงไม่รีรอที่จะซื้อเก็บ

10. เหมืองแร่ โดย อาจินต์ ปัญจพรรค์ เรื่องของเด็กหนุ่มเมืองคนหนึ่งที่จับพลัดจับพลูไปทำงานที่เหมืองแร่ในภาค ใต้ และระหว่างทำงานก็ได้เจอผู้คนหลากหลายทั้งดีและไม่ดี

11. Nightmare &dreamscapes โดยสตีเฟ่นคิง รวมเรื่องสั้นของสตีเฟ่นคิง ชอบการบรรยานและการเล่าเรื่องของสตีเฟ่นคิงที่ทำให้รุ้สึกเหมือนกับเราเข้า ไปอยู่ในเรื่องนั้นๆด้วยตัวเอง การเล่าเรื่องที่ทำให้คนอ่านคล้อยตามก่อนจะถูกปล่อยทิ้งไว้ในสถานการณ์อัน น่ากระอักกระอ่วนไม่รู้จะทำยังไง และตกหลุมพรางของคนเขียน สุดท้ายก็ต้องจำยอมรับสภาพต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

12. Sputnik sweetheart เรื่องนี้เป็นหนังสือของฮารูกิ มุราคามิเล่มที่ 6 ที่อ่าน เชื่อไหมว่าไอ้ 5 เล่มก่อนหน้านี้ผมอ่านโดยหาความสนุกไม่เจอ แต่ทนอ่านเพราะเพื่อนแนะนำกันว่าดี จวบจนเล่มที่ 6 คือเล่มนี้ หลังจากอ่านจบรอบแรกเหมือนมีอะไรสักอย่างคลิก แล้วทำให้รู้สึกว่า เฮ้ย มันก็สนุกดีนี่หว่า หลังจากนั้นจึงย้อนไปอ่านไอ้ 5 เล่มตอนแรกใหม่ และตามอ่านงานของมุราคามิมาเรื่อยๆตั้งแต่นั้น

13. เพชรพระอุมา โดย พนมเทียน อ่านหนังสือชุดนี้ครั้งแรกตอนทำทีสิส เพื่อเป็นหัวข้อประกอบทีสิส ใช้เวลาอ่านภาคแรกอยู่ราวอาทิตย์นึง โดยอ่านตั้งแต่ 4 ทุ่มถึง 6 โมงเช้าทุกวัน เรื่องที่น่าสนุกคือผมยืมหนังสือชุดนี้ที่หอกลาง และจะแข่งกันยืมกับนิสิตอีกคนที่มายืมหนังสือชุดนี้เช่นกัน ที่สำคัญคือเริ่มอ่านไล่ๆกันดังนั้นเวลายืมก็จะโดนตัดหน้าบ้าง ตัดหน้าเขาบ้างสลับกัน บางครั้งแก้ปัญหาโดยการหาฉบับพิมพ์ครั้งอื่นที่เลขหน้าแม่งรันทีเดียวโดยไม่ ได้นับใหม่เมื่อขึ้นเล่มใหม่ ก็ต้องมานั่งสุ่มว่ามันน่าจะประมาณเล่มนี้ หรือบางครั้งก็ไปยืมที่ห้องสมุดคณะอื่นเป็นต้น

14.Goth คดีฆ่าตัดข้อมือ เป็นเรื่องเกี่ยวกับนักเรียนมัธยมชายหญิงคู่นึง ที่มีงานอดิเรกที่ไม่เหมือนใคร งานอดิเรกที่ว่าคือการดูศพ และเรื่องยิ่งน่าสนุกขึ้นเมื่อทั้งคู่เจอสมุดบันทึกของฆาตกร การดูศพและตามหาฆาตกรต่อเนื่องไปด้วยจึงเริ่มขึ้น ตัวหนังสือบรรยายได้เงียบและเยือกเย็นมากผสมกับความจิตหน่อยของทั้งคู่ทำให้ หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจ

15. หนังสือรัก โดยผมอยุ่ข้างหลังคุณ คนเขียนเป็นจิตแพทย์ และชอบดูหนัง หนังแต่ละเรื่องจึงมีการถอดความภาษาหนังออกมาเป็นบทวิเคราะห์ทางจิต หนังสือเล่มนี้จึงรวมบทวิเคราะห์เรื่องความรักจากมุมมองของหนังออกมาได้เป็น อย่างดี ดังคำที่ว่าดูหนัง ดูละคร แล้วย้อนดูตัวเอง

16. มูซาชิ เล่มนี้อ่านตามไอ้ชูทมั้งถ้าจำไม่ผิด และด้วยความชอบจึงซื้อเก็บไว้ เล่มนี้เป็นเล่มที่ผมจะหยิบออกมาอ่านซ้ำเป็นช่วงๆ โดยในแต่ละช่วงเวลาที่อ่านหนังสือเล่มนี้ก็จะได้แง่คิดใหม่ๆขึ้นมาตามช่วง เวลาในตอนนั้น เป็นหนังสือที่ถ้ารู้สึกเคว้งคว้างมีไว้อ่านก็น่าจะเหมาะดี

17. จะเล่าให้คุณฟัง เป็นเล่มที่ค่อยๆอ่านอยู่ ตัวหนังสือเป็นเรื่องเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่มีปัญกาชีวิตจึงมาปรึกษา จิตแพทย์ ในการมาแต่ละครั้ง ปัญหาที่ชายคนนั้นมีก็แตกต่างกันไป จิตแพทย์ก็จะเล่านิทานเรื่องนึงให้ชายคนนั้นฟัง การมองเรื่องของตนในมุมมองบุคคลที่สาม บางครั้งก็ทำให้ปัญหาที่อยู่ต่อหน้าดูเป็นเรื่องง่ายๆ เมื่อมองออกมาจากมุมที่ไกลขึ้นนิดนึง

Monday, September 8, 2014

ที่ทำพาสปอร์ท

นึกถึงเมื่อหลายปีก่อน ตอนไปทำพาสปอร์ทเพื่อจะไปอเมริกา
จำได้ว่าไปทำที่เซ็นทรัลบางนา ที่สมัยนั้นที่ทำพาสปอร์ทไม่ได้ดูดีเหมือนตอนนี้
คนไปทำตอนนั้นเยอะมาก เราได้คิวก็ทำตามขั้นตอนไปจนเสร็จเหลือแค่รอรับพาสปอร์ท แต่โชคร้ายติดพักเที่ยงก็นั่งหง่าวไปอีกชั่วโมง
จนพอบ่ายเขาก็กลับมาทำงานกันอีกรอบ พนักงานหญิงวัยกลางคนก็ประกาศเรียกชื่อทีละคนให้มารับพาสปอร์ท
ซึ่งตอนรับต้องสแกนนิ้วชี้ด้วย ผมจำไม่ค่อยได้ว่ามันอยู่ในขั้นตอนอะไร แต่สแกนนิ้วเสร็จก็จะรับพาสปอร์ทได้
ทีนี้ด้วยความที่คงจะพูดจนเหนื่อย เพราะต้องคอยบอกทีละคนว่า สแกนนิ้วชี้ๆ เพราะบางคนฟังบ้างไม่ฟังบ้าง
พนักงานคนนั้นคงเกิดอากาศหงุดหงิด เลยเหวี่ยงใส่คนที่มารับแล้วสแกนนิ้วผิดบ้าง นิ้วไม่ตรงบ้าง
คนที่นั่งรอรับก็ลุ้นอยู่ในใจว่าถึงคราวไปรับจะโดนเหวี่ยงใส่ไหม
บรรยากาศก็มาคุพอสมควร จนกระทั่งถึงพี่ผู้ชายคนนึงเดินไปรับ
"สแกนนิ้วด้วย" พนักงานพูด
"......." พี่ผู้ชายพูดอะไรสักอย่างกับพนักงานด้วยเสียงที่เบามาก
พนักงานคงหงุดหงิด เลยตะโกนใส่ไมค์ว่า "สแกนนิ้วชี้ด้วย นิ้วชี้น่ะ นิ้วชี้!"
ถึงตอนนี้ทุกคนรอบๆหันมามองว่าเกิดอะไรขึ้น
พี่ผู้ชายคนนั้นอึกอักอยู่พักนึงก่อนพูดขึ้นมาเสียงดังว่า
"ผมไม่มีนิ้วชี้ครับ"
ทุกคนเงียบ
พี่ผู้ชายก็เงียบ
พนักงานก็เงียบ ก่อนที่จะทำอะไรสักอย่างหนึ่งแล้วพี่ผู้ชายคนนั้นก็รับพาสปอร์ทไป
แล้วบรรยากาศในห้องรอก็กลับมาเป็นปกติ พนักงานคนนั้นก็ไม่ได้เหวี่ยงใส่ใครอีกเลย

ฝัน

เมื่อคืนฝันแปลก

ฝันว่านั่งวินมอเตอร์ไซค์ไปที่ไหนสักที่

ก็นั่งๆไปคนขับก็ขี่ไปตามทางเป็

นเหมือนอาคารทั่วไป

แล้ววินก็ขับผ่านลิงจ๋อ 3 ตัว ที่นั่งๆยืนๆอยู่ข้างทาง

หนึ่งในลิงก็ยื่นมือออกมาแล้วร้องว่า "เช็คแฮนด์ๆ"

ด้วยความที่ปกติไม่จับมือลิงอยู่แล้วเลยไม่สนใจ

แต่ที่ไหนได้วินมอเตอร์ไซค์พาขับวนรอบลิงกลุ่มนั้น

ไอ้ลิงตัวนั้นก็ยื่นมือตามแล้วก็ร้องเช็คแฮนด์ๆอยู่นั่น

พอวนได้สักสองรอบเลยยอมจับมือซะจะได้ไปต่อ

ตอนจับมือลิง ลิงมือเล็กและนุ่มมาก แล้วเจ้าจ๋อก็ยิ้มมีความสุข

จากนั้นวินมอเตอร์ไซค์ก็จอด คนขับเป็นเม็กซิกันร่างอ้วนและค่าโดยสารจ่ายไป 5 ดอล

Sunday, September 7, 2014

ศูนย์อาหารที่ท่าเรือหมายเลข 21



ผมเพิ่งค้นพบสถานที่สุดวิเศษแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพฯเมื่อไม่นานมานี้เอง สถานที่ที่ว่านี้อยู่ที่ศูนย์การค้าแห่งหนึ่งที่อยู่ตรงจุดตัดระหว่างถนนสุขุมวิทกับถนนอโศกมนตรี และเป็นจุดเปลี่ยนสถานีระหว่างรถไฟฟ้าและรถไฟฟ้าใต้ดินอีกด้วย

โดยเพียงไม่กี่ก้าวจากสถานีรถไฟฟ้าคุณก็จะเข้าสู่ศูนย์การค้าจากจุดเชื่อมของสถานีรถไฟฟ้า จากนั้นคุณเพียงแค่มุ่งหน้าไปทางตรงในระยะประมาณ 10 ก้าว คุณจะเห็นบันไดเลื่อนขนาดยาวอันหนึ่ง บันไดเลื่อนที่ว่ามีขนาดและหน้าตาเหมือนบันไดเลื่อนปกติ เพียงแต่บันไดเลื่อนอันนี้จะนำคุณสู่ชั้น 3 โดยทันที

จากนั้นเมื่อคุณถึงชั้น 3 ให้เลี้ยวขวาไปจะเจอบันไดเลื่อนอันหนึ่งอยู่อย่างโดดเดี่ยว กล่าวคือมีเพียงบันไดเลื่อนขึ้นแต่ไม่มีลง ซึ่งห่างไปไม่ไกลก็มีบันไดเลื่อนทั้งขึ้นและลงอยู่ในชั้นเดียวกันอยู่แล้ว หน้าที่ของบันไดเลื่อนตัวนี้จึงเป็นแค่การขึ้นอย่างเดียว จากนั้นเมื่อคุณขึ้นไปถึงชั้น 4 ให้เดินตรงต่อไปคุณจะเห็นบันไดเลื่อนคู่ ให้ขึ้นไปบนนั้นและคุณจะถึงชั้น 5

เมื่อถึงชั้น 5 แล้วให้คุณกลับหลังหันทั้งตัวแล้วเดินตามโค้งขวาไปตามทาง ถ้าคุณเดินมาถูกทาง ทางด้านซ้ายมือของคุณจะเป็นที่นั่งยาวเหยียดคั่นด้วยน้ำเป็นทางยาวและมีแมวน้ำประดับประดาเป็นบางจุด ส่วนทางด้านขวามือคุณจะเป็นบรรดาร้านอาหารต่างๆ ขอให้คุณอดใจรออีกนิด และคุณก็จะถึงที่หมายนั่นคือ ศูนย์อาหารชั้น 5 นั่นเอง

คุณอาจจะคิดว่าศูนย์อาหารที่ไหนๆก็เหมือนกัน แต่ศูนย์อาหารที่นี่มีความแปลกเฉพาะตัวไม่เหมือนศูนย์อาหารที่อื่น ผมมักจะหาจังหวะเพื่อมานั่งทำงานที่บริเวณนี้เสมอ โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมคือ ช่วงเวลาระหว่าง 3 -5 โมงเย็น ด้วยว่าเป็นเวลาที่ผู้คนพากันกินอาหารเที่ยงเสร็จหมดเรียบร้อยแล้ว และส่วนใหญ่จะกลับเข้าไปทำงานตามเดิม ที่หลงเหลืออยู่อาจจะเป็นกลุ่มนักศึกษาหรือกลุ่มนักติวที่มาจับกลุ่มกันอ่านหนังสือเท่านั้น

ก่อนอื่นเลย เมื่อคุณเดินมาถึงศูนย์อาหารแล้ว ถ้าคุณเห็นซุ้มขายตั๋วอาหารที่คนต่อแถวยาวเหยียด ผมแนะนำให้คุณอย่าเพิ่งต่อแถวนั้น แต่เดินเลยเข้าไปในโซนขายอาหารเสียก่อน คุณอาจจะลองแวะเวียนเลือกอาหารที่อยากสั่ง ก็ลองเล็งไว้ก่อนจนเมื่อคุณเดินจนสุดบริเวณที่ขายอาหาร คุณจะเห็นซุ้มที่แปะป้ายไว้ว่า "ท่าเรือหมายเลขที่ 21" และซุ้มที่ว่านั้นก็ขายตั๋วอาหารเช่นกัน และผู้คนที่มาต่อแถวก็มีจำนวนไม่มากเท่าซุ้มข้างหน้าด้วยว่าหลายคนอาจจะไม่รุ้ว่าที่ตรงนี้มีซุ้มอยู่ แต่ตอนนี้คุณรู้แล้วนี่ ถ้าอย่างนั้นจะรีรออะไร รีบแลกตั๋วแล้วไปเลือกอาหารที่เล็งไว้ก่อนเถอะ

สิ่งที่ขึ้นชื่อสำหรับศูนย์อาหารที่นี่คือ ราคาเมื่อเทียบกับปริมาณและรสชาติแล้ว ถือว่าคุ้มค่า จึงไม่น่าแปลกที่ช่วงเวลาเที่ยงวัน สถานที่แห่งนี้จะคราคร่ำไปด้วยผู้คนมากมาย ด้วยบริเวณอโศกแล้ว อาหารเที่ยงติดแอร์ที่ราคาเหมาะสมนั้นมีทางเลือกให้ไม่มากนัก และที่แห่งนี้ดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดอยู่ สำหรับผมซึ่งมีเป้าหมายหลักคือการนั่งทำงานเรื่อยเปื่อยเล็กๆ อาหารจานหลักจึงไม่ใช่ตัวเลือกของผมเท่าไหร่นัก ผมมักจะเลี่ยงไปทางของกินเล่นเสียมากกว่า และของกินเล่นที่ผมมักจะสั่งประจำคือ ติ่มซำ

ขนมจีบหมูลูกละ 7 บาท ซึ่งใน 1 จานจะมีขนมจีบ 6 ลูก สนนราคาขนมจีบต่อจานก็จะอยู่ราวๆ 42 บาท ยังไม่นับซาลาเปาหมูแดงลูกละ 7 บาท ซึ่งก็แล้วแต่ว่าคุณมีความอยากอาหารขนาดไหน ดังนั้นโดยรวมแล้วชุดติ่มซำก็จะอยู่ที่ราคา 49 บาท ส่วนเครื่องดื่มไม่โอเลี้ยงก็น้ำผลไม้ปั่น ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 20 บาท ดังนั้นเพียงแค่ 69 บาทคุณก็สามารถใช้เวลาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ได้เต็มที่แล้ว แม้ว่าโดยมารยาทในการใช้ศุนย์อาหารแล้ว เราไม่ควรจะนั่งแช่ที่โต๊ะจนนานเกินไป แต่ในช่วงเวลาที่ว่า ผมพบว่าการนั่ง 1-2 ชั่วโมงก็ไม่เป็นการเดือดร้อนใครเท่าไหร่นัก ด้วยเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนบางเบาและไม่เร่งด่วน

เมื่อคุณได้อาหารครบถ้วน พร้อมที่จะนั่งลงแล้วจัดการของว่างขณะทำงานหรืออ่านหนังสือไปด้วย ลำดับถัดมาคือการหาที่นั่ง จริงอยู่ที่ว่าจะนั่งตรงไหนก็เหมือนๆกัน ถ้าจุดประสงค์ของคุณคือการหาที่นั่งเพื่อที่จะกิน แล้วลุกออกไปเมื่อกินเสร็จ แต่ถ้าคุณอยากจะหาที่นั่งเพื่อทำงานเล็กๆ เงียบๆเพียงชั่วสักครู่ ที่นั่งที่คุณเลือกอาจจะเป็นปัจจัยสำคัญเช่นกัน ผมแนะนำให้คุณเดินลึกเข้าไปจนสุดพื้นที่ของบริเวณที่นั่ง แล้วมองหาป้ายไฟนีออนรูปลูกศรที่มีตัวหนังสือเขียนไว้ว่า "Bistro" และที่ข้างใต้ป้ายนั้น คุณจะเห็นพื้นยกระดับที่จำลองให้เป็นเหมือนชานไม้ทางเดินรอบๆบริเวณท่าเรือ และตรงนั้นล่ะคือทำเลที่ผมคิดว่าดีที่สุด ในบริเวณนั้นจะประกอบด้วยที่นั่งอยู่ 3 แถว คือแถวริมทางเดิน แถวกลาง และแถวริมหน้าต่าง แถวที่ดีที่สุดคือแถวริมหน้าต่าง เหตุผลง่ายๆคือ คุณได้กำจัดด้านที่จะรบกวนคุณออกไปแล้ว 1 ด้าน ที่นั่งริมหน้าต่างที่ไม่มีใครสามารถเดินเข้ามาในสายตาคุณได้ ทำให้คุณมีพื้นที่ปลอดภัยขึ้นแล้ว 1 ด้าน ทีนี้จะให้พื้นที่นั้นอยู่ฝั่งไหนของคุณก็สุดแล้วแต่คุณจะถนัดซ้ายหรือขวาก็เลือกเอาตามใจชอบเถอะ และครั้นพอคุณนั่งทำงานจนล้า แล้วอยากจะพักสายตาก็เพียงแค่มองออกไปนอกหน้าต่าง ถ้าคุณมองไกลคุณก็จะมองเห็นถนนอโศกมนตรี และอาคารทรงสูงต่างๆ ถ้าคุณมองใกล้ คุณก็จะเห็นหลังคาของบ้านเรือนในบริเวณนั้นซึ่งแต่ละหลังมีรูปแบบที่แตกต่างกัน หลังที่เตะตาผมมากที่สุดคือหลังที่บนดาดฟ้าเขาทำลูกกรงทาสีเหลืองจัดคร่อมไว้ เรียกได้ว่าแค่เปิดประตูดาดฟ้าออกมาก็เหมือนถูกขังอยู่ในกรงเลย

เวลาที่ผมนั่งทำงาน ถ้าผมต้องการสมาธิบางครั้งผมเลือกที่จะไม่ฟังเพลงจาก iPod แต่จัดการเก็บเจ้า iPod ที่ว่าลงกระเป๋าและปิดให้สนิทเสีย คุณอาจจะแย้งว่า ถ้าไม่ได้ฟังเพลงจากหูฟัง เสียงรอบข้างน่าจะกวนสมาธิจนทำงานไม่รู้เรื่อง แต่ในทางตรงกันข้ามบางครั้งการทำงานท่ามกลางเสียงอึกทึกที่ฟังไม่ได้สรรพก็ทำให้เรามีสมาธิเช่นกัน ด้วยความที่เราฟังไม่รู้เรื่อง ความหมายของเสียงจึงไม่สามารถแทรกผ่านเข้ามาในความคิดของเราได้ นอกเหนือไปจากนั้น การนั่งฟังคนคุยกันหรือสังเกตผู้คนรอบข้างก็เป็นการฆ่าเวลาที่น่าสนใจอย่างหนึ่งเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น ผู้ชายคนที่นั่งอยู่โต๊ะตรงข้ามผมตอนนี้

ชายหนุ่มผิวขาว ไว้ผมทรงสั้นปัดเอียงไปข้างหนึ่ง สวมแว่นตาพลาสติกกรอบเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า สวมเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนกับเสื้อนอกลำลอง ลักษณะโดยรวมทำให้ผมคิดว่าเขาน่าจะเป็นพนักงานออฟฟิศทั่วไป บนโต๊ะของเขาไม่ได้มีจานข้าวหรือร่องรอยการกินอาหารจานหลักเลย มีเพียงกาแฟแก้วหนึ่ง และมีสมาร์ทโฟนขนาดเขื่องอยู่หนึ่งเครื่องวางอยู่ นอกนั้นก็มีเพียงหนังสือในมือของเขา

หนังสือ หนังสืออะไร

นิสัยอย่างหนึ่งของผมเวลาเห็นคนอ่านหนังสือคือ จะอยากรู้ว่าคนๆนั้นอ่านหนังสืออะไร และทำไมถึงเลือกอ่านหนังสือเล่มนี้ จากนั้นอาจจะคาดเดาลักษณะนิสัยของคนจากการอ่านหนังสือดูเล่นๆ จริงบ้างเท็จบ้างผมก็ไม่รู้หรอก ด้วยว่าผมไม่ได้ไปถามหาคำตอบจากคนเหล่านั้นเลย

แต่อย่างไรก็แล้วแต่ ตอนนี้ความสนใจของผมอยู่ที่หนังสือในมือของชายหนุ่มคนนั้น

หนังสือที่อยู่ในมือเขามีขนาดพกพาใส่กระเป๋าได้สบายๆ ความหนากำลังดีไม่มากเกินไปจนคร้านที่จะอ่านจนจบและไม่น้อยจนเกินไปที่จะไม่มีสาระบรรจุไว้เพียงพอ หน้าปกหนังสือเป็นกระดาษอาบมันหุ้มด้วยปกพลาสติกใสที่ตรงมุมมีรอยงอเล็กน้อย หน้าปกหนังสือมีสีขาวและมีตัวหนังสือเขียนไว้ขนาดเตะตาคนอ่านว่า

"วิธีการพูดโน้มน้าวใจคน"

วิธีการพูดโน้มน้าวใจคน ชายหนุ่มคนนี้เป็นใคร แล้วทำไมถึงต้องอยากโน้มน้าวใจคนอื่น ในหัวผมคิดถึงความเป็นไปได้ร้อยแปดที่ชายหนุ่มคนนี้อยากจะโน้มน้าวใจคน บางทีเขาอาจจะเตรียมตัวไปพรีเซนท์งาน บางทีเขาอาจจะต้องไปขายงานกับหัวหน้า หรือบางทีเขาอาจจะอยากพูดโน้มน้าวหัวหน้าให้ขึ้นเงินเดือนตามที่เขาขอ ยิ่งคิดความเป็นไปได้ยิ่งออกมาเรื่อยๆและแต่ละอันดูจะไม่ใกล้เคียงกันเลย

คิดได้แบบนั้น ผมจึงหยุดคิดและเริ่มสังเกตชายหนุ่มคนนั้นดูใหม่อีกรอบ

ชายหนุ่มคนนั้นใส่เสื้อเชิ้ตแและสวมเสื้อนอกแบบลำลอง บางทีเขาอาจจะไม่ใช่พนักงานออฟฟิศทั่วไป อาจจะเป็นระดับหัวหน้า แต่ดูจากอายุแล้วไม่น่าจะถึงขั้นเป็นผู้บริหาร

เสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนที่ใส่ ทำให้รู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้มีความมั่นใจในตัวเอง กล้าเลือกสีที่ตนชอบ

นาฬิกาข้อมือสีเงินที่ผมเพิ่งเห็นโผล่ออกมาตอนเขาพลิกหน้าหนังสือ แม้จะไม่สามารถบอกได้ว่าเป็น
ยี่ห้ออะไรเนื่องจากความรู้ในเรื่องนาฬิกาข้อมือของผมแทบไม่มี แต่ดูจากลักษณะความมันวาวและขนาดที่ดูน่าจะหนักข้อมือคนสวมพอดู ทำให้รู้สึกว่านาฬิกาเรือนนี้ราคาไม่น่าจะน้อย

สมาร์ทโฟนบนโต๊ะเองก็เป็นรุ่นยอดนิยม และไม่ใช่ยี่ห้อตลาดทั่วไป ทำให้ผมคิดว่าเขาคนนี้น่าจะมีความรู้เรื่องเทคโนโลยีอยู่บ้าง อาจจะติดตามข่าวสารด้านนี้ตลอดเวลา

แก้วกาแฟบนโต๊ะ บอกให้ผมรู้ว่าเขาอาจจะตั้งใจมานั่งอ่านหนังสือที่นี่ อาจจะรอใครสักคนหรือบางทีอาจแค่ต้องการฆ่าเวลา บางทีเขาอาจจะมีนัดทานอาหารเย็นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าก็ได้

หนังสือเล่มที่เขาถือยังคงสภาพที่ดีอยู่อาจจะด้วยปกพลาสติกใสที่หุ้มไว้ และการคั่นหนังสือไว้เป็นช่วงๆ ทำให้ผมคิดว่าเขาน่าจะเคยอ่านมาหลายรอบแล้ว

และที่สำคัญคือจังหวะในการอ่านหนังสือของเขา สายตาที่ไล่ตัวหนังสือจากซ้ายไปขวาเป็นจังหวะเหมือนเครื่องพิมพ์ดีดที่คอยขึ้นบรรทัดใหม่ ผมคิดว่าเขากำลังวิเคราะห์ความหมายในแต่ละบรรทัดอย่างละเอียดเผื่อเก็บสิ่งที่ตกหล่นไปจากการอ่านครั้งก่อน เขาน่าจะเป็นคนรอบคอบ

ขณะที่ผมยังประมวลผลไม่เสร็จอยู่นั้น โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น
ชายหนุ่มปิดหนังสือลงแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก่อนจะกดรับ และจากการฟังบทสนทนาโดยไม่ได้ตั้งใจทำให้ผมจับใจความได้ว่า เขาได้นัดใครคนหนึ่งไว้ที่นี่ อาจจะเป็นเพื่อนหรือลูกค้า และตอนนั้นใครคนนั้นก็ได้โทรแจ้งเขาว่าตอนนี้ได้ถึงที่นัดแล้ว หลังจากชายหนุ่มจัดแจงบอกตำแหน่งที่เขานั่งอยู่เรียบร้อยแล้ว เขาก็กดวางโทรศัพท์และวางมันไว้บนโต๊ะเหมือนเดิม จากนั้นจึงหยิบหนังสือลงไปเก็บไว้ที่กระเป๋าสะพายที่วางไว้ข้างเก้าอี้

และเพียงไม่กี่อึดใจ แขกของชายหนุ่มก็ปรากฎตัว

สาวออฟฟิศผมยาวในชุดเสื้อและกระโปรงทำงานสีเลือดหมูเดินเข้ามาข้างโต๊ะที่ชายหนุ่มนั่ง ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มให้สาวออฟฟิศคนนั้น จากนั้นจึงผายมือ เชื้อเชิญให้สาวออฟฟิศคนนั้นนั่งลง จากนั้นจึงกล่าวทักทายต่อกัน ทั้งคู่ยังดูประหม่าเขินอายกันเล็กน้อย เหมือนยังไม่คุ้นกันเท่าไหร่

บางทีสาวออฟฟิศคนนี้อาจจะเป็นคนรักของชายหนุ่มก็ได้

และบางทีหนังสือที่ชายหนุ่มคนนั้นนั่งอ่าน อาจจะเป็นตำรารักเพื่อพิชิตใจสาวออฟฟิศคนนี้นี่เอง

ผมคิดว่าทฤษฎีนี้ดูจะเป็นไปได้ที่สุดแล้ว ความสนุกของผมจึงเพิ่มขึ้นด้วยความที่อยากรู้ว่าสมมติฐานที่ผมวางไว้จะถูกหรือไม่ และบัดนี้เจ้าสมมติฐานที่ว่านี้กำลังได้รับการพิสูจน์ จากตำแหน่งที่ผมนั่งผมไม่สามารถเห็นสีหน้าของสาวออฟฟิศคนนั้นได้เนื่องจากเธอนั่งข้างหน้าผม ผมจึงสังเกตได้แต่สีหน้าของชายหนุ่ม ชายหนุ่มซึ่งเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้นั่งอ่านหนังสือเงียบๆโดยไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร แต่ในตอนนี้เขากลับมีรอยยิ้มระบายอยู่ทั่วหน้า

ผมเห็นแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวังดี ความรุ้สึกของชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดีให้กับคนรักของเขา แผ่ซ่านกระจายออกมาจนผมสามารถรับรู้ได้ ความอยากให้คนรักของเขาได้รับแต่ในสิ่งดีๆได้รับการยืนยันออกมาจากปากของชายหนุ่มเอง และสาวเจ้าคนนั้นก็ดูขัดขืนแต่เขินอายอยู่เล็กน้อย

ผมลอบชื่นชมทั้งคู่อยู่เงียบๆ ความพยายามของชายหนุ่มที่ตั้งใจพิชิตใจสาวเจ้าให้ได้ ถึงขนาดทำการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากตำราที่ว่า และความมุมานะของชายหนุ่มทำให้ผมนับถือเขาอยู่ในใจ จนกระทั่งชายหนุ่มคนนั้นเริ่มแนะนำการขายตรงให้สาวเจ้า

อ้าว...

สรุปว่าที่อ่านหนังสือเมื่อกี้คือติวก่อนเข้าห้องสอบหรอกเรอะ

Thursday, September 4, 2014

Birdman #wip01

Rough sketche done.

อาจารย์ถวัลย์

ระลึกถึงความทรงจำเกี่ยวกับอาจารย์ถวัลย์
แม้ผมจะไม่เคยได้เจอตัวหรือมีโอกาสเสวนากับท่านโดยตรง
การได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมบ้านดำก็เป็นความประทับใจแรกต่ออาจารย์

ผมและเพื่อนชาวไอดีได้มีโอกาสไปทริปเที่ยวเหนือช่วงปี4?
เราไปหลายที่ทั้ง เชียงใหม่ ลำปางและเชียงราย และที่เชียงรายตามกำหนดการคือเราไปเยี่ยมชมบ้านดำ
บ้านดำ ทำไมต้องดำ แล้วมีความสำคัญยังไง ใครเป็นเจ้าของ
สมองที่เกียจคร้านของผมไม่แม้แต่จะทำการศึกษาข้อมูลก่อนมาเยี่ยมชม
แต่อย่างไรก็แล้วแต่ ผมและชาวไอดีก็มาอยู่ที่บ้านดำแล้ว
เรายืนอยู่กลางลานโล่งๆที่ล้อมไปด้วยบ้านทรงไทยและอาคารทรงโดมและทรงแปลกๆอยู่รอบๆ
บริเวณนั้นมีคนงานกำลังทำความสะอาดอยู่และไม่นานหลังจากเห็นพวกเรายืนอยู่กันสักพัก
ชายวัยกลางคนในชุดม่อฮ่อมเดินเข้ามาที่กลุ่มเรา และสักพักจึงสรุปความได้ว่าวันนี้อาจารย์ไม่อยู่
พวกเราจึงชมกันเองตามอัธยาศัยโดยมีคนนำเป็นจุดๆ ผมเองก็เดินไปตามกลุ่มเพื่อนๆและอาจารย์
เราเดินขึ้นลงบ้านไทยและดูงานปั้นบ้าง ของเก่าบ้างที่สะสมวางเรียงรายไว้อยู่ทั่วบ้าน
บ้างเป็นเหมือนอุปกรณ์จับปลาแต่ด้วยขนาดที่ใหญ่มากจึงไม่แน่ใจในจุดประสงค์ที่แท้จริง
งานปั้นที่ดูจะเป็นที่สนใจของเพื่อนๆ เห็นจะเป็นรูปปั้นช้าง และที่ผมจำได้ติดตาคือรูปปั้นช้างยิ้มขณะกำลังนั่งขี้ยองๆ
รอยยิ้มของช้างดูสดใสเหมือนรอยยิ้มเด็กก็ไมีปาน นอกนั้นเป็นของใช้ทั่วไป
ซึ่งของที่ดูเหมือนของทั่วไปนี่ล่ะ แต่ถ้าเพ่งมองดีๆจะเห็นถึงความละเอียดในแต่ล่ะที่
อย่างเช่นขั้นบันไดที่ประดับด้วยเปลือกหอยกาบระหว่างขั้น ซึ่งถ้าผมไม่เหยียบแตกไปอันนึงคงไม่สังเกตเห็น

จากนั้นเราได้เข้าไปที่อาคารทรงประหลาดหลังหนึ่ง ตรงกลางเป็นที่นั่งกึ่งนอนขนาดใหญ่และยาว ด้านหนึ่งประดับด้วยหัวเสือและขนสัตว์
ผมลองนั่งๆนอนๆบนที่นั่งนั้น แม้จะประดับด้วยขนสัตว์แต่ยังไม่อาจบดบังความกระด้างของวัสดุใต้ผิวนั้นได้
หรือบางทีที่นั่งนั้นไม่ได้มีไว้เพื่อนั่งหรือนอน และรอบๆผนังด้านในก็เป็นเก้าอี้
ผมก็รู้สึกคุ้นตาเก้าอี้ตัวนึงมาก เก้าอี้ตัวนั้นทำจากเขาควายมาประกอบกัน
หลังจากนึกอยู่นานผมก็คิดออกว่าเคยเห็นเก้าอี้ที่ว่านี้จากไหน มาจากรายการขนหัวลุกนั่นเอง

จากนั้นเราเดินเยี่ยมชมไปเรื่อยๆจนมาถึงโกดังแห่งหนึ่ง
คนนำบอกว่าที่นี่เป็นที่ทำงานอาจารย์ และอาจารย์กำลังเขียนภาพนี้อยู่ยังไม่เสร็จ
ผมชะโงกหัวเข้าไปในอาคารขนาดสูงสี่ชั้น ด้วยความอยากรู้ว่าที่ทำงานเป็นยังไง
ผมมองไม่เห็นโต๊ะหรือเก้าอี้ มีเพียงแค่นั่งร้านสูงสามชั้นและผ้าใบผืนมหึมา
ด้วยสายตาที่เซ่อของผมจึงไม่เห็นอะไรในระยะใกล้ จวบจนถอยห่างออกมาผมจึงเห็น
ภาพร่างมนุษย์หัวนกกับสายตาที่เกรี้ยวกราดเหมือนจะกล่าวโทษผม
เรือนร่างอันเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อที่ดุดันราวกับจะฉีกกระชากร่างของคนดู
มนุษย์นกขนาดยักษ์ที่อยู่ต่อหน้าผมบังคับให้ผมต้องแหงนหน้าขึ้นมองเพื่อให้เห็นเป็นบุญตา
ผมตะลึงไปกับความสามารถในการเขียนภาพในระยะใกล้ของอาจารย์ และนาทีนั้นชื่ออาจารย์ถวัลย์ก็ถูกบรรจุลงในหน่วยความจำของผม

ขณะที่กำลังตะลึงไม่หายกับความอัศจรรย์ของภาพเขียนของอาจารย์
พี่คนนำชมก็เดินเข้ามาพร้อมแท่งไม้เล็กๆที่ปลายมีด้ายพันกับแท่งถ่านก้อนจิ๋วอยู่ก้อนหนึ่ง
และถึงได้รับการบอกเล่าว่า นี่คือสิ่งที่อาจารย์ใช้เขียนงา
เศษเถ้าถ่าน สร้างงานสวรรค์