Wednesday, June 4, 2014

เรียนนอกห้องเรียน

วิธีการสอนของโรงเรียนที่ผมเรียนคือจะเน้นการคอมเมนท์งานจากอาจารย์เป็นหลัก
ถึงครึ่งแรกของคลาส อาจารย์จะสอนบรรยาย แต่ครึ่งหลังที่เป็นการคอมเมนท์งานนั้น
นับว่ามีประโยชน์มากกว่าการฟังบรรยายเสียอีก
เพราะอะไร
แน่นอนว่าสมัยนี้เรามีช่องทางในการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมมากมาย ทั้งอินเตอร์เนต ยูทูป และหนังสือต่างๆซี่งบางเล่มก็เขียนโดยอาจารย์ผู้สอนนี่แหละ
ดังนั้นสิ่งที่นอกเหนือจากตำราและไม่ได้การถึงในการบรรยายคือประสบการณ์ในการทำงานของแต่ละคนนี่แหละที่เป็นสิ่งหายาก
ยิ่งการคอมเมทน์งานจากอาจารย์ จะเป็นความเห็นจากคนที่ทำงานในอุตสหกรรมนั้นๆจริงๆ และถ้าได้อาจารย์พิเศษที่ยังทำงานอยุ่ยิ่งดี เพราะไอ้ข้อมูลหรือเทกนิคทั้งหลายนั้นมีการอัพเดทอยู่เสมอ
ตัวอาจารย์เองที่อยู่ในสายงานก็จะอัพเดทตัวเองอยุ่เรื่อยๆ นั่นทำให้การเรียนการสอนยิ่งน่าสนใจ
บางวิชาที่ผมเรียนมีการเปิดโอกาสให้เพื่อนร่วมชั้นผลัดกันคอมเมนท์งานเพื่อนเรียนด้วยกันเอง
วิธีนี้ถือว่าน่าสนใจมาก เพราะตอนที่เราคอมเมนท์งานคนอื่นเป็นการฝึกให้เรามองให้ออกว่างานชิ้นนี้มีจุดเด่นและจุดด้อยอย่างไร
และกลับกันหากเราโดนคอมเมนท์งาน เราจะฝึกการรับสภาพได้อย่างไร ยิ่งเรื่องการคอมเมนท์งานเป็นเรื่องปกติในสายอาชีพนี้อยู่แล้ว
การรับฟังคำวิจารณ์ทำให้เรามองเห็นจุดเด่นและจุดด้อยของงานเราจากมุมมองคนภายนอกได้ดีขึ้น
แต่ทุกอย่างก็ขึ้นกับวิจารณญาณด้วย เวลารับฟังคนอื่นมาคอมเมทน์งาน ผมจะรับฟังด้วยความสงบ อาจจะมีแย้งบ้างในบางส่วน แต่โดยมากแล้วผมจะรับฟังนิ่งๆ และขอบคุณผู้วิจารณ์เมื่อเสร็จ แต่หลังจากนั้นการเอาคำวิจารณ์เหล่านั้นไปใช้ก็ขึ้นกับว่าผมเห็นด้วยกับผู้วิจารณ์มากน้อยแค่ไหน บางครั้งผมอาจแก้งานตามที่บอก แต่บางครั้งผมไม่แก้อะไรเลยก็มี

อาจารย์เกาหลีเคยพูดขึ้นมาในชั้นเรียนตอนที่ทุกคนกำลังทำงานกันอยู่ในห้องว่า
"พวกคุณคิดว่าจะมีงานแบบนี้ให้ทำกันสักกี่งาน" พลางชี้ไปที่โมเดลคาแรกเตอร์ล่ำบึ้ก อนาโตมีแน่นไปทุกส่วน
ไม่มีใครพูดอะไรตอบ (ใครมันจะไปรู้ละ) อาจารย์จึงพูดต่อว่า
"รู้มั้ยว่า งานที่มีในตลาดส่วนใหญ่เป็นแบบไหน"
"น่าจะแบบนี้มั้งครับ" เพื่อนร่วมชั้นคนนึงชี้ไปที่โมเดลล่ำบึ้กพิมพ์นิยมตัวนั้น
อาจารย์มองเด็กทั้งหมดในห้องและพูดว่า "งานที่มีในตลาดเกินครึ่งน่ะ เป็นแบบนี้" แล้วเปิดงานคาแรกเตอร์การ์ตูนให้ทุกคนในห้องดู
ทำให้ผมซึ่งปั้นหุ่นเหมือนไม่ค่อยเหมือนเท่าไหร่นัก เกิดความคิดขึ้นมาได้ว่า เราไม่จำเป็นต้องเก่งเทพ เก่งเป๊ะขนาดนั้น แต่ถ้าเรารู้จักดึงจุดเด่นของเราออกมาและใช้มันให้เกิดประโยชน์ที่สุดเนี่ย ล่ะถึงจะดี
ผมไม่ได้หมายความว่าให้ทุกคนไปทำงานสไตล์การ์ตูนให้หมดนะ
เราควรจะรู้ตัวเองให้ได้ว่าจุดเด่นของเราคืออะไร งานแบบไหนที่เราทำได้ดีและจุดเด่นที่ทำให้เราต่างจากคนอื่นคืออะไร แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพื้นฐาน เราควรจะมีพื้นฐานที่ดีก่อน เมื่อเรามีพื้นฐานที่ดีแล้ว ความสามารถก็จะมา พอความสามารถอยู่ในระดับที่เราสามารถทำอะไรตามใจคิดได้ หลังจากนั้นล่ะเราจะสนุกกับการนำเอาความคิดสร้างสรรค์มาทำให้เป็นรูปเป็นร่างและสนุกไปกับงาน

ทีนี้พอเรามีงานที่น่าจะเอาไปแสดงให้คนอื่นดูได้แล้ว เราควรทำยังไงต่อล่ะ
อาจารย์ที่สอนวิชาปั้นบอกผม(และนักเรียนคนอื่นในห้อง) ว่า
"ถ้าคุณมีงานชิ้นมาสเตอร์พีช แต่เก็บมันไว้ในตู้เสื้อผ้า งานชิ้นนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรเพราะไม่มีคนเห็น พวกคุณควรจะรู้จักเอางานไปตั้งโชว์ที่หน้าต่างบ้าง หน้าบ้านบ้าง คนเดินผ่านไปมาถึงจะเห็น"
ที่อาจารย์บอกเช่นนี้เพราะต้องการให้นักเรียนมีความมั่นใจในงานขึ้นและที่สำคัญคือต้องรู้จักการพรีเซนท์งาน
งาน จะดีจะแย่แค่ไหน ถ้าเรามัวแต่เก็บไว้ไม่แสดงให้คนอื่นเห็น เราจะใช้แค่ความรู้สึกของเราคนเดียวในการตัดสินงาน ดีแย่ยังไงก็เป็นที่เรากำหนดและหลงไปกับมัน ในทางกลับกันหากเราแสดงงานให้คนอื่นเห็น เขาสามารถที่จะชี้ให้เห็นว่าดีแย่ยังไงโดยเราไม่ต้องคิดไปเองคนเดียว จุดแย่ที่เราเห็นเขาอาจจะไม่เห็นและจุดดีที่เราไม่เห็นเขาอาจจะเห็น 
ชิ้น งานที่ดีมันมักจะดีด้วยตัวมันเอง แต่ถ้าได้รับการส่งเสริมมันก็จะดียิ่งขึ้น การพรีเซนท์งานคือตัวเสริมที่ว่า ยกตัวอย่างเช่น เรามีของชิ้นนึงแล้วเราหยิบใส่กล่องแล้วห่อ ถ้าเรามีตัวเลือกระหว่างกระดาษห่อของขวัญกับกระดาษหนังสือพิมพ์ เราจะเลือกใช้กระดาษชนิดไหนห่อ ของถึงจะดูมีราคาเพิ่มขึ้นและคนซื้อรู้สึกดีกับของชิ้นนั้น 
ทีนี้ขึ้นกับว่าเราจะพรีเซนท์งานของเรายังไง
ผมเคยเจอหนุ่มอเมริกันยืนขายรุปอยู่บนถนน Powell หน้าโรงแรม  The Westin St.Francis
รูปที่เขาขายเป็นรูปขนาด A4  ตัวงานเป็นรูปทิวทัศน์และเป็นงานเพ้นท์ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเป็นสีไม้หรือสีน้ำ(สีมันจางและบางมากจนมองไม่ออก)
แต่สิ่งที่ทำให้ผมจำเขาได้ไม่ใช่งานของเขา กลับเป็นวิธีขายงานมากกว่าโดยเขาจะยืนชูงานของเขาทั้ง 2 มือและพูดเสียงดังพอประมาณว่า
"Buy my art, buy my art" และบางครั้งเขาก็บ่นออกมาว่า
"Nobody cares to buy my Art"
และผลที่ได้ก็เหมือนทุกครั้งคือไม่มีคนสนใจ ผมเองยังไม่สนใจเลย ถึงแม้วิธีขายจะเตะตาแต่ถ้างานของเราไม่ดี งานนั้นก็ไม่มีคนสนใจ

ถึงแม้ที่โรงเรียนจะหาอาจารย์เก่งจากไหนมาสอนก็ตาม ผมกลับรู้สึกว่าช่วงเวลาที่ผมได้เรียนรุ้มากที่สุดนั้นอยู่นอกห้องเรียน
ซึ่งไม่ไกลที่ไหนเลย ก็คือห้องแลปหน้าห้องเรียนเนี่ยล่ะ
ห้องแลปที่ว่านี้ตั้งอยู่บนชั้น 3 ของอาคาร 180 บนถนน New Montgomery
และจำนวนห้องแลปที่ว่านี่กินขนาดพื้นที่ทั้งหมดเกินครึ่ง โดยจะแบ่งห้องแลปออกเป็น 2 ฟากใหญ่ๆคือฝั่ง ILM และ Bluesky
ใช่ ครับ เราตั้งชื่อตามสตูดิโอในฝันของเหล่านักเรียนที่นี่และผมไม่ได้เป็นคนตั้ง ชื่อนี้นะ โรงเรียนเป็นคนตั้งเอง เห็นรึยังว่าเนิร์ดกันแค่ไหน
ห้องแลปแต่ละฟากมีที่นั่งราวๆ 70 ที่นั่ง โดยลักษณะของการจัดวางจะเป็นโต๊ะยาวต่อกัน วางคอมได้ประมาณ 6 เครื่องต่อแถว แล้วก็ไปขึ้นแถวใหม่แบบหันหลังชนกัน อารมณ์เหมือนร้านเนตคาเฟ่ 5-6 ห้องแถวต่อกันเลย
เหล่านักเรียนอนิเมชั่นทุกสาย ไม่ว่าจะเป็นโมเดลเลอร์ อนิเมเตอร์หรือวิชชวลเอฟเฟก/ คอมโพสิต ก็จะนั่งทำงานรวมกันในห้องนี้
เวลาเราเดินผ่านไปมาก็จะเห็นงานของแต่ละคนที่่หลากหลาย และที่นี่แหละที่เป็นตัวสร้างเครดิตให้แต่ละคน ลองนึกภาพว่าเวลาคุณนั่งทำงานในแลปแล้วเห็นงานคนอื่นเจ๋งๆ คุณจะทำยังไง
คุณอาจจะชมอยู่ในใจ จะทำเป็นเฉยๆหรือจะไม่สนใจก็ได้ แต่ขอแนะนำในฐานะที่เมื่อคุณไปเรียน สถานภาพของคุณตอนนี้คือ นักเรียน
ซึ่งนักเรียนนี่เป้าหมายหลักก็คือการเรียนใช่ไหม
ดังนั้นอย่าทิ้งโอกาสนี้ ถ้าคุณเจองานที่น่าสนใจจริงๆและรู้สึกทึ่งหรืออยากขอคำแนะนำกับคนเหล่านั้น
อย่ากลัวครับ เข้าไปคุยเลย พวกเรียนอนิเมชั่นส่วนมากจะคุยง่าย และยิ่งเป็นนักเรียนเหมือนกันด้วย
การ วางท่าต่างๆจะน้อยลง เราอาจจะเข้าไปชมงานเขาหรือขอคำแนะนำเลยก็ได้ และหลังจากนั้นคุณอาจเป็นเพื่อนกับคนเก่งๆพวกนี้ก็ได้ ที่สำคัญคือคุณต้องพัฒนาตัวเองขึ้นมาให้เท่าเขาด้วยถึงจะได้ผล
และใน ทางกลับกัน หากคุณนั่งทำงานอยุ่ในแลปแล้วมีคนมาขอความเห็นหรือขอความช่วยเหลือ อย่าลังเลที่จะมีน้ำใจ คุณไม่รุ้หรอกว่าเรื่องการมีน้ำใจเล็กๆน้อยๆแบบนี้ ต่อไปภายภาคหน้าหลังจบมันอาจกลับมาตอบแทนคุณก็ได้
บางคนถึงแม้ผมจะ ไม่เคยเรียนด้วยกันในคลาสมาก่อน แต่เพราะเราเจอหน้ากันทุกวันวันละไม่ต่ำกว่า 12 ชั่วโมงที่นั่งกันในห้องแลปมืดๆหนาวๆไร้ชีวิตชีวา แม้วันเสาร์หรืออาทิตย์พวกเราก็มาเจอหน้ากันเหมือนวันธรรมดา กินอาหารร้านจีนเมนูซ้ำๆราคาถูกแถวโรงเรียนเหมือนกัน ดึกๆเดินไปซื้อน้ำและขนมที่ Walgreen เหมือนกัน ผมและเพื่อนชาวอนิเมชั่นทั้งหลายทั้งไทยและเทศจึงสนิทกันง่ายขึ้นเพราะเรา เจออะไรมาเหมือนๆกันนั่นเอง ซึ่งการรู้จักกันข้ามสายนี่ก็มีประโยชน์เหมือนกันคือ เวลาเรามีปัญหาอะไรถ้าเรารุ้จักคนที่ทำงานด้านนั้น เราอาจขอคำปรึกษาหรือให้เขาช่วยได้ เช่น เพื่อนที่เป็นอนิเมเตอร์กำลังทำชอตสั้นๆ ซึ่งเขาก็จะโฟกัสอยู่ที่การอนิเมทเป็นหลัก เรื่องอื่นเป็นรอง บางคนอาจไม่มีเวลาทำฉากหรือใส่ลูกเล่นเพื่อความสวยงามเพิ่ม ทีนี้ถ้าได้เพื่อนที่เป็นโมเดลเลอร์มาช่วยทำฉากและของประกอบเพิ่มเข้าไปจะทำ ให้งานดูสมบูรณ์ขึ้นได้ ไอ้เรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้ล่ะที่ทำให้เราช่วยเหลือกันเพราะต่อไปเมื่อถึง เวลาทำงานจริง ทุกคนจะต้องทำงานต่างหน้าที่กันและทำในคนละส่วนแต่สุดท้ายแล้วต้องมารวมกัน จึงจะออกมาเป็นหนังที่สมบูรณ์ได้
นอกจากนี้แล้วเรื่องเครดิตใรการทำงานก็เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะมันจะเป็นตัวบอกว่าเราทำอะไรและผ่านอะไรมาแล้วบ้าง
ครั้งหนึ่งผมได้รับงานมา เป็นงานจากอาร์ทิสทีมอื่นแล้วส่งต่อมาให้ผมทำ ตัวงานถือว่าเสร็จเรียบร้อยแล้วแต่ทางลูกค้าอยากให้ทางบริษัทผมทำ ตัวผมเองคิดว่างานมันดีอยู่แล้วเลยปรับโน่นนี่แล้วแต่งเพิ่มนิดหน่อย พอเสร็จก็ส่งไปลูกค้าก็ชมกลับมาทางบอส บอสก็ชมมาอีกที แต่ผมเองรู้สึกว่าไม่ควรได้เครดิตคนเดียวเพราะงานมันเกือบสมบูรณ์อยู่แล้ว เมื่อบอสถามว่างานของอาร์ทิสคนนั้นเป็นไง ผมจึงตอบว่า
"I think it's already looks good so I make it better"
เครดิตที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นถ้าเราอยากมีเครดิตที่ดี เราควรรู้จักการให้เครดิตผู้อื่นด้วย




No comments:

Post a Comment