Saturday, December 27, 2014

อัลปาก้า

เมื่อคืนฝันเห็นตัวอัลปาก้า

ผมกำลังเดินอยู่ใต้ถุนตึกแห่งหนึ่ง ซึ่งที่นี่เลี้ยงอัลปาก้าปล่อยอิสระ
อัลปาก้าเป็นสัตว์สี่ขา คล้ายแกะแต่คอยาวเหมือนยีราฟ
ผมเดินไปเห็นอัลปาก้าเด็กตัวนึงนอนอยู่ เลยเดินเข้าไปใกล้ๆ
อัลปาก้าเด็กตัวนั้นตกใจตื่นขึ้น แล้วลุกขึ้นยืนบนขาหลัง
อัลปาก้าเด็กจ้องหน้าผม แล้ววิ่งสองขาหนีไปด้วยความรวดเร็ว

ผมหัวเราะกับท่าทีที่น่าขบขันของเจ้าอัลปาก้าเด็กตัวนั้น
เพราะท่าวิ่งสองขาของอัลปาก้าเด็กเหมือนเด็กผอมๆใส่ชุดหมีวิ่งไม่มีผิด
เริ่มไม่ตลกตรงคนที่นำทางอยู่บอกให้ระวังอัลปาก้าตัวเต็มวัยให้ดี
ผมไม่กล้าถามว่าทำไม ด้วยถือคติว่าเข้าป่าอย่าถามพราน
ทั้งที่ตอนนี้ผมกำลังเดินอยู่ใต้ถุนตึก แต่ก็ไม่อยากทักซี้ซั้ว

อัลปากาหนุ่มขนาดเขื่องนั่งเคี้ยวหญ้าอยู่บนสนามหญ้าเล็กๆข้างๆใต้ถุน
ผมเพิ่งเห็นเจ้าอัลปาก้าที่ว่านี่ตอนเลี้ยวพ้นเสาของใต้ถุนตึกมานี้เอง
และเจ้าอัลปาก้าตัวเต็มวัยนี้ก็คงเห็นผมแล้วเช่นกัน เพราะตอนนี้มันหยุดเคี้ยวแล้ว
ผมแทบหยุดกลั้นหายใจ ก่อนจะพยายามค่อยๆเดินให้พ้นจากตรงนี้ไป
อัลปาก้าตัวนั้นจ้องมาที่ผมเขม็ง หัวของมันค่อยๆเบนตามก้าวเดินของผม

แล้วมันก็ลุกขึ้นยืนสองขา

ผมวัดด้วยสายตาคร่าวๆ คิดว่าถ้าวัดส่วนสูงจากพื้นถึงหัวอัลปาก้าตัวนี้น่าจะสัก สองเมตรกว่าๆได้
และตอนนี้อัลปาก้าที่สูงสองเมตรกว่าๆกำลังวิ่งสองขาเข้ามาหาผม
อัลปาก้ากระโจนเข้าใต้ถุนแล้ววิ่งห้อตัดตามทางมาตรงที่ผมยืนอยู่
ผมไม่แน่ใจว่าอัลปาก้าเป็นสัตว์หวงถิ่นหรือไม่ และผมควรจะวิ่งหรือยืนเฉยๆ
ผมเลือกที่จะยืนเฉยๆ ด้วยว่าก้าวขาไม่ออกและหวังจะให้มันสงบลงไปเอง

อัลปาก้าตัวนั้นเลี้ยวโค้งอ้อมเสาเข้ามาหาผม
ขาหน้า(แขน) ที่งอโค้งเหมือนพร้อมจะดีดกำลังเกร็งแน่นจนเส้นเอ็นปูด
ผมยืนตัวแข็งเตรียมรับแรกกระแทกจากเจ้าอัลปาก้า
แต่เจ้าอัลปาก้ากลับเลยไปกระแทกคนที่ยืนอยู่ข้างๆผม
ทั้งคู่กระเด็นลงไปตามขั้นบันไดด้านข้างของใต้ถุน

อัลปาก้าใช้ขาหน้าดีดใส่ผู้เคราะห์ร้ายคนนั้นอย่างต่อเนื่อง
เสียงกีบเท้ากระแทกเนื้อผสานไปกับเสียงกรีดร้องของตัวอัลปาก้า
มือที่พยายามปัดป้องดูจะไม่สามารถต้านทานกีบเท้าของอัลปาก้าได้เลย
ผมทำได้แค่ขว้างถุงถั่วในมือใส่อัลปาก้าตัวนั้นอย่างสิ้นหวัง
ก่อนที่จะสะดุ้งตื่นด้วยเสียงของตัวเองที่กำลังกรีดร้องเหมือนตัวอัลปาก้า



Friday, December 19, 2014

แก๊งค์บัตรเครดิต

เมื่อสักครู่นี้เอง มีเบอร์แปลก (06-1494-6892) โทรเข้ามาที่โทรศัพท์ผม
"บลาๆๆๆๆๆ อายัด บลาๆๆๆๆๆๆ กรุณากด 0 เพื่อฟังซ้ำ หรือกด 9 เพื่อรอสายกับเจ้าหน้าที่"
ผมกด 0
สัญญาณโทรศัพท์เหมือนโอนไปไหนสักที่แล้วก็มีคนรับ
"สวัสดีครับ ธนาคารกรุงเทพ ไม่ทราบลูกค้าจะติดต่อเรื่องอะไรครับ" (เป็นเสียงผู้ชายเหมือนเด็กฝึกงาน)
"อ่า ผมก็ไม่รู้"
"อะไรนะครับ"
"คือเมื่อกี้ผมฟังไม่ทัน เลยกดจะฟังอีกครั้งมันกลับส่งมาที่นี่อ่ะครับ"
"อ่อ....แล้วจะติดต่อเรื่องอะไรครับ"
"อืม มันฟังไม่ทันจริงๆ ผมก็ไม่รู้"
"เป็นระบบอัตโนมัติใช่ไหมครับ"
"อ้า ใช่ครับ"
"อืออออ ถ้าแบบนี้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับบัตรเครดิตนะครับ"
"เอ๋ หรอครับ"
"ครับ ไม่ทราบผมกำลังเรียนสายกับคุณอะไรครับเดี๋ยวผมจะตรวจสอบข้อมูลให้"
"เอ แล้วที่ได้เบอร์โทรมานี่ได้มาจากไหนมันไม่มีชื่อบอกหรอครับ"
"อืออออ ทางระบบจะส่งมาเป็นอัตโนมัตินะครับ ขอชื่อคุณลูกค้าจะได้ตรวจสอบให้ได้นะครับ"
"นที ครับ" (ผมหลุดปากบอกชื่อออกไป)
"นามสกุลละครับ"
"ทองสุขแก้ว ครับ" (ภาพบอลไทยในหัวผมยังไม่หาย)
"คุณนที ทองสุขแก้วนะครับ ขอเช็กข้อมูลครู่หนึ่งนะครับ"
"ครับ"
เสียงกดคีย์บอร์ด
"อืออออ คุณนที ทองสุขแก้ว ตอนนี้คุณมียอดค้างชำระบัตรเครดิตอยู่ที่ 68,000 บาท นะครับ"
"หา อะไรนะครับ" (ทำเสียงตกใจ)
"คุณมียอดค้างชำระบัตรเครดิต 68,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน 2557 นะครับ"
"เอ ผมไม่แน่ใจว่าผมไปใช้อะไรเยอะขนาดนั้นนะ"
"อืออออ ทางระบบแจ้งมาว่าคุณนที ไปใช้บริการที่ห้างสยามพารากอนนะครับ"
"เอ ผมจำได้ว่าวันนั้นผมอยู่ต่างจังหวัดนะครับ แล้วในยอดนั้นเป็นค่าบริการอะไรหรอครับ"
"อืออออ เป็นค่าทองรูปพรรณจำนวน 3 บาทน่ะครับ"
"อืมม ผมไม่มีบัตรเครดิตด้วยน่ะสิ"
"อืออออ คุณมียอดค้างชำระบัครเครดิตธนาคารกรุงเทพ บัตร visa สีทอง วงเงิน 100,000บาทนะครับ"
"ผมไม่ได้ไปเปิดบัตรเครดิตนะ สงสัยจะโดนขโมยแน่เลย"
"คุณนที ได้ไปทำธุรกรรมที่ใช้เอกสารทางราชการที่ไหนมารึเปล่าครับในช่วง 1 ปี 2 เดือนมานี้"
"มีไปทำบัตรประชาชนมาครับ"
"อืออออ อาจจะเป็นไปได้ว่าทางคุณนทีโดนโจรกรรมข้อมุลไปแอบอ้างนะครับ"
"แน่เลยครับ อย่างนี้ผมต้องไปแจ้งความไหมเนี่ย"
"อือออออ ต้องแจ้งความแน่นอนครับ คุณนที ทองสุขแก้ว ยืนยันว่าไม่ได้เปิดบัตรเครดิต visa สีทองของธนาคารกรุงเทพ สาชา รัชดาห้วยขวาง ในวงเงิน 100,000บาทใช่ไหมครับ"
ผมไม่ได้ชื่อนที ทองสุขแก้ว และผมไม่เคยเปิดบัตรเครดิต แต่อะไรไม่รู้ดลใจให้ผมตอบไปว่า
"ใช่ครับ"
"ทางเราจะรีบประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ บลาๆๆๆ เพราะเป็นคดีเร่งด่วยให้นะครับ"
"อ่า ผมขอชื่อคุณได้ไหมครับ ไว้เผื่อติดต่อ"
"อือออออ เดี๋ยวทางธนาคารจะติดต่อกลับไปนะครับ"
"เผื่อสายมันหลุดน่ะครับ"
"อือออออ ผมชื่อ สารัช เกตุดีครับ เบอร์ติดต่อนะครับ 02-005-5550 ครับ"
"โอเคครับ"
"งั้นเดี๋ยวทางธนาคารจะติดต่อเจ้าหน้าที่ กปสบลาๆๆ เลยนะครับ"
"ครับ ขอบคุณครับ"
เสียงหายไปประมาณ 10 วิ
"สวัสดีค่ะ อิชั้นเจ้าหน้าที่ กปส บลาๆๆ ติดต่อเรื่องอะไรคะ" (ป้าสักคนรับสาย)
"อ่า เหมือนผมจะโดนขโมยข้อมูลไปเปิดบัตรเครดิตครับ"
"ค่ะ ขอทราบชื่อคุณผู้เสียหายด้วยค่ะ"
"นที ทองสุขแก้วครับ" (ผมบอกชื่อไปด้วยความหวังว่าจะมีแฟนบอลเข้าใจ)
"คุณนที ทองสุขแก้วนะคะ คุณนทีได้ทำธุรกรรมอะไรมาบ้างหรือเปล่าคะ"
"อ่า ผมก็ทำหลายอย่างนะครับ แต่ก็เซ็นกำกับทุกครั้งครับ"
"ค่ะ บางทีเอกสารอาจจะหลุดพ้นไปได้ รบกวนขอสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อลงบันทึกประจำวันหน่อยนะคะ"
"ครับ ได้ครับ"
"คุณนที ทำอาชีพอะไรคะ"
"รับเหมาครับ" (ใจจริงนั้นอยากตอบว่ากองหลัง แต่อดใจไว้ทัน)
"คุณนทีอยู่ที่กรุงเทพหรือเปล่าคะ"
"เปล่าครับ แต่ตอนนี้ผมมาคุยงานที่กรุงเทพพอดีครับ"
"คุณนที มีบัญชีของธนาคารที่ไหนบ้างคะ เพื่อทางเราจะได้ไปตรวจสอบกับธนาคารนั้น"
"ผมมีของธนาคารกรุงเทพนี่ละครับ"
"ที่เดียวหรอคะ"
"อ้า แล้วก้มีของธนาคารกสิกรครับ"
"บัญชีธนาคารกรุงเทพมียอดคงเหลือในบัญชีเท่าไหร่คะ"
"แสนสองครับ"
"บัญชีธนาคารกสิกรละคะ"
"75,000ครับ"
"โอเคคะ เดี๋ยวทางเจ้าหน้าที่ขอ"
ยังไม่ทันที่ผม นที ทองสุขแก้ว จะได้เคลียร์หนี้บัตรเครดิต
ที่ถูกแก๊งค์โจรชั่วลักลอบเอาข้อมูลไปใช้ในทางผิดกฎหมาย
สายโทรศัพท์ที่กำลังคุยกับเจ้าที่กปงปส.กุ้งเผา ก็หลุดไปเสียก่อน
น่าเสียดายนัก ที่คราวนี้จำต้องปล่อยให้แก๊งค์โจรชั่วนี่ลอยนวลไปเสียได้
แต่ไม่เป้นไร ถ้าวันใดที่แกีงค์โจรชั่วนี้กลับมา
ผม นที ทองสุขแก้ว ก็จะกลับมาจัดการกับมันอีก

Monday, December 15, 2014

เสียงในหัว

คุณเคยได้ยินเสียงตัวเองเวลาอ่านหนังสือไหม

ผมไม่ได้หมายถึงการที่คุณอ่านออกเสียงออกมาดังๆนะ
แต่หมายถึง เวลาที่คุณอ่านหนังสือเงียบๆ คุณได้ยินเสียงในหัวของคุณไหม
เวลาอ่านหนังสือ ผมมักจะได้ยินเสียงในหัวที่กำลังอ่านหนังสือให้ผมฟัง
เสียงข้างในที่ว่านั้นปรับเปลี่ยนเสียงได้หลากหลาย อาจจะเป็นเสียงของคุณเอง
เสียงคนแก่ เสียงผู้หญิง เสียงผุ้ชาย เสียงเด็ก หรือเสียงหมาแมว
เสียงในหัวเปลี่ยนไปตามลักษณะของตัวละครในเรื่องที่ผมอ่าน หรือตามแต่เนื้อหาที่อ่าน
ถ้าผมอ่านหนังสือบทความสารคดี เสียงที่ว่าจะเรียบนิ่งแต่น่าฟัง
ถ้าผมอ่านข่าวในหนังสือพิมพ์ เสียงจะเหมือนผู้ประกาศข่าวตามสถานีโทรทัศน์
 
ผมพบว่าเสียงข้างในนั้นขึ้นกับความคุ้นเคยอีกด้วย
ถ้าบทความนั้นเป็นบทสัมภาษณ์ และผมเคยได้ยินเสียงของผู้ถูกสัมภาษณ์อยู่บ้าง
ผมจะอ่านเป็นเสียงของผู้ถูกสัมภาษณ์คนนั้น ทั้งบุคลิกและน้ำเสียงถูกจำลองขึ้นมาในหัวของผม
เหมือนถ้าผมนึกถึงมอร์แกน ฟรีแมน ทั้งหน้าตาและเสียงของเขาก็จะเข้ามาอยุ่ในประโยคที่ผมอ่านทันที
ในอีกทางหนึ่ง ถ้าผมจำประโยคที่คนๆหนึ่งพูดขึ้นมาได้
ผมก็จะอ่านประโยคนั้นด้วยเสียงของคนๆนั้นเสมอ
ยกตัวอย่างเช่น "You shall not pass"

คุณอ่านประโยคข้างบนด้วยเสียงอะไร เสียงข้างในหัวของคุณเป็นเสียงแบบไหน
ถ้าเป็นเสียงของคุณเอง หรือเสียงทั่วๆไป ประโยคนี้จะเป็นเพียงประโยคภาษาอังกฤษธรรมดาเท่านั้น
แต่ถ้าคุณอ่านเสียงนั้นด้วยเสียงของพ่อมดเทาแกนดาล์ฟ
นั่นแปลว่าคุณคือแฟนลอร์ด ออฟ เดอะ ริง หรือคุณเคยดูหนังแล้วจำประโยคที่ว่านี้ได้แม่น
เสียงที่ออกมาจะเป็นเสียงที่ทรงพลัง เปี่ยมอำนาจ ถึงขนาดบัลร๊อคยังถูกตรึงอยู่กับที่
ทำให้ผมคิดว่า เสียงในหัวเป็นการเพิ่มอรรถรสในการอ่านอย่างหนึ่ง

ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่มีทั้งบุคลิกและเสียงเป็นเอกลักษณ์
เพื่อนผมคนนั้นชื่อ เม้ง ตอนนี้เม้งเป็นครีเอทีฟที่เอเจนซี่โฆษณาแห่งหนึ่ง
เม้งเป็นเพื่อนกับกิ๊บ (กิ๊บที่โดนซูซี่ไล่ออกจากบ้าน) ทั้ง 2 คนนี้ทำงานอยู่ด้วยกัน
เวลาที่ 2 คนนี้อยู่ด้วยกันเมื่อไหร่ ฟาร์มหมาแถวนั้นปิดกิจการได้เลย
เพราะหมาที่ออกมาจากปากของทั้งคู่นั้น ทั้งแข็งแรง สุขภาพดี ที่สำคัญคือเห่าเก่ง
แต่ถึงแม้จะปากหมานรกแบบนี้ เม้งก็เป็นคนจิตใจดี คิดดี และรักเพื่อน

ในกลุ่มเพื่อนฝุงนั้น แม้บางครั้งจะหยาบโลนกันแต่ก็เนื้อแท้แล้วทุกคนให้ความเคารพกัน
หลายครั้งเม้งชอบพูดจาโผงผาง แต่ผมก็ไม่ว่าอะไรเพราะรู้ว่าเม้งคิดดี
บางครั้งผมก็อดรำคาญไม่ได้ หลายครั้งผมเอาหูทวนลม บางครั้งผมอยากเอาส้อมจิ้มตามัน
แต่ทุกครั้งผมก็ฟังสิ่งที่เม้งพูด เพราะเนื้อแท้นั้นเป็นสิ่งที่น่าฟัง
เสียงของเม้งนั้นนุ่ม ออกแนวโทนต่ำๆ ฟังดูอบอุ่น มีเอกลักษณ์และเม้งชอบทำเสียงหล่อ
เวลามีงานเม้งมักจะได้รับบทพิธีกร หรือบางงานโฆษณาก็ใช้เสียงของเม้งเองในงานก็มี
สาวคนไหนได้ฟังอาจเคลิ้มตามไปโดยไม่รู้ตัว แม้ขณะนั้นเม้งกำลังด่าพ่อเธออยู่ก็ตาม

เม้งเป็นคนคิดดี ทำดี และเมื่อคิดดีแล้ว เม้งจึงลองธรรมดี
เม้งบวชอยู่ที่วัดป่าสวนโมกข์ ในช่วงที่ผมยังอยู่ที่อเมริกา
ผมก็ได้แต่อโหสิกรรมให้เม้งไป แล้ววันนึงพระเม้งก็ whatsapp มาหาผม
ผมจำไม่ได้ว่าเราคุยกันเรื่องอะไร แต่ผมตอบพระเม้งไปว่า
"ไอ้ห่า"
"เฮ้ย ด่าพระ" พระเม้งบอกผม
"ด่าพระบาปมั๊ย" ผมถามด้วยความไม่รู้
"ถ้าคิดว่าบาปก็บาป ถ้าคิดว่าไม่บาปก็ไม่บาป" พระเม้งตอบ
"งั้นกูคิดว่าไม่บาป ห่านน" ผมตอบพระเม้งด้วยใจบริสุทธิ์

หลังจากกลับเข้าทางโลก เม้งยังพูดจาเหมือนเดิม
แต่เรื่องนึงที่เห็นได้ชัดคือ มีเรื่องธรรมะแทรกเข้ามา
ธรรมะที่ว่าไม่เหมือนกับการฟังพระเทศน์ หรืออ่านบทเรียนพุทธศาสนา
ธรรมะที่เม้งเล่าคือการอธิบายเหตุและผลของสิ่งต่างๆ
ผมเชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง ตามประสาของคนขี้สงสัย
เม้งไม่บอกให้ผมเชื่อ เม้งบอกให้ผมลอง

ผมเจอเม้งเขียนคอลัมน์ลงในนิตยสารยอดนิยมเล่มหนึ่ง
ซึ่งนับว่าเป็นความบังเอิญ เพราะผมไปยืนอ่านนิตยสารหัวนี้มาตลอดในร้านหนังสือ
การที่มาเจอเม้งเขียนอยู่ สร้างความประหลาดใจแก่ผมเหมือนกัน
เหมือนเดินๆอยู่ แล้วหันไปเจอเพื่อนยืนพูดอยู่บนเวที
เป็นความรู้สึกภูมิใจเล็กๆ อารมณ์อยากสะกิดคนข้างๆว่า "นั่นเพื่อนผมๆ"

คอลัมน์ที่เม้งเขียนเป็นหัวข้อเกี่ยวกับธรรมมะ
เนื้อหาที่เม้งเขียนเป็นเรื่องธรรมมะในมุมมองใกล้ตัว
ผมอ่านเรื่องที่เม้งเขียนในอีกความรู้สึกหนึ่ง
ความรู้สึกนั้นเหมือนเม้งกำลังยืนพูดให้คนหลายคนฟังอยุ่

ผมยืนอ่านไปพลางผมรู้สึกเหมือนเม้งมายืนพูดให้ฟังอยู่ข้างๆ
เสียงของเม้งทุ้ม นุ่มกังวาล เหมือนเดิม
เม้งพูดดังขึ้น ดังขึ้น และดังขึ้น

จนผมรำคาญ ผมเลยวางนิตยสารเล่มนั้นลงแล้วเลิกอ่าน


ปล. คอลัมน์ที่เม้งเขียนชื่อ "ย้ำคิด ย้ำธรรม" ลงในนิตยสาร aday








Friday, December 12, 2014

In the mood of love


ที่รูข้างกำแพงของนครวัด
โจวมู่หวันฝากความลับของเขาไว้อย่างแผ่วเบา
เขาค่อยๆบรรจงถ่ายทอดความลับทีละน้อยๆ
จนใกล้เย็นค่ำ ความลับทั้งหมดจึงถูกไขออกมา
ความลับที่ไม่อาจบอกใครได้ แม้แต่ตัวเขาเอง
ด้วยว่าถ้าเขารู้อีกครั้ง เขาจะไม่ลืมมันอีก

โจวมู่หวันกลบความลับด้วยเศษดินเพียงกำมือ
เพื่อสมานรูเว้าโหว่บนกำแพงหินประวัติศาสตร์
ที่ซึ่งความลับของเขา จะถูกเก็บไว้ชั่วกาลนาน
ตราบเท่าที่นครร้างแห่งนี้ยังคงอยู่
เพียงว่าสักวันหนึ่ง จะมีคนมาพบความลับนี้


Thursday, December 11, 2014

บันทึกการเดินทางสู่นครวัด

อีบุ๊คเล่มแรกที่ทำ
เป็นเรื่องเกี่ยวกับตอนไปเยี่ยมชมนครวัดครับ
ในเล่มก็จะเป็นพวกเรื่องกับรูปที่ถ่ายมาตอนไปเที่ยว
ใครอ่านในเพจ อาจจะเห็นรูปไม่จุใจก็ขอเชิญโหลดไปอ่านฟรีได้เลยครับ





http://mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=19737

อันนี้เป็นลิ้งค์ของ Meb เป็น app ไว้อ่านหนังสืออีบุ๊ค
ผมมีอีกอันเป็นของ ookbee แต่กำลังรออนุมัติอยุ่ครับ
ขอบคุณครับ


Wednesday, December 10, 2014

ชั่วโมงเรียนที่ 3






วันที่ผมสอนนั้นเป็นวันอาทิตย์ กำหนดการคือเริ่มสอนตอน 10 โมง
จากนั้นพักเที่ยง 1 ชั่วโมง ก่อนจะเริ่มสอนต่อตอนบ่ายโมง แล้วจบชั่วโมงเรียนตอน 1 ทุ่ม
แน่นอนว่าเวลาที่ใช้จริงย่อมไม่เหมือนเวลาตามตารางในกระดาษ

เริ่ม 10 โมงจะมีนักเรียนในห้องประมาณ 1 ใน 4 ของห้องหรือราวๆ 20 คน
พอใกล้เที่ยงจะมากันเกือบค่อนห้อง และจะมาเกือบครบในช่วงหลังพักเที่ยง
ในตอนแรกๆ ผมคิดว่าอาจจะเป็นเรื่องกระทันหันที่เตรียมตัวไม่ทันเลยมาสาย
แต่พอเริ่มครั้งที่ 2 ผมคิดว่านี่อาจจะเป็นเรื่องปกติ 
ผมถามนักเรียนคนหนึ่งว่า ทำไมเล่นมาซะบ่ายเลยล่ะ
นักเรียนคนนั้นตอบผมว่า

"เรียนเช้าเกิน ตื่นไม่ไหวครับอาจารย์"

ผมนึกย้อนกลับไปสมัยเรียน ที่อาจารย์จะคอยจำ้จี้จำ้ไช สอนจนปากเปียกปากแฉะ
ตามงานที่เราขาดส่ง คอยเตือนเวลาที่เรามาสาย
ผมเองก็เป็นนักเรียนมาก่อน และแน่นอนว่าต้องเคยมาสาย
บางคนอาจมองว่าอาจารย์จะมาอะไรกับนักเรียนมากมาย
ทั้งๆที่ ที่อาจารย์ทำมาทั้งหมดก็เพื่อตัวนักเรียนเอง
วิถีแบบไทยๆที่อาจารย์มองนักเรียนเหมือนลูก เหมือนผุ้ใหญ่ดูแลเด็ก
และคอยตักเตือนให้นักเรียนประพฤติตนทั้งในและนอกเวลาเรียน
จะให้บอกว่าแบบไหนดีกว่ากันคงเป็นเรื่องยาก เนื่องจากคนเราต่างกัน
บางคนประพฤติตนให้อยู่ตามกฎเมื่อได้รับการตักเตือน
บางคนกลับพยายามแหกคอกเมื่อได้รับการตักเตือน
ถ้าคุณมาสาย อาจารย์เตือนคุณเพื่อโอกาสของคุณเอง
ถ้าคุณขาดเรียน อาจารย์เตือนคุณเพื่อที่คุณจะมีเวลาเรียนพอ
ถ้าคุณขาดส่งงาน อาจารย์เตือนคุณเพื่อย้ำถึงความรับผิดชอบของตัวคุณเอง
ถ้าคุณทำงานใช้ไม่ได้ อาจารย์เตือนคุณเพื่อให้พร้อมกับสังคมการทำงาน

จนเมื่อสมัยไปเรียนที่อเมริกา ผมจึงเห็นความแตกต่างของความเป็นอาจารย์
ที่นี่อาจารย์จะมองนักเรียนว่าเป็นคนๆหนึ่ง ที่ควรจะมีความรับผิดชอบขั้นพื้นฐาน
การดุด่าว่ากล่าว หรือตักเตือนจะพบเห็นได้น้อยมาก ยิ่งในสายงานที่การแข่งขันสูงยิ่งแล้วใหญ่

ถ้าคุณมาสาย นั่นก็เรื่องของคุณที่จะพลาดโอกาสในตอนเช้า
ถ้าคุณขาดเรียน นั่นก็เรื่องของคุณที่ปลายเทอมเวลาเรียนคุณจะไม่พอ
ถ้าคุณขาดส่งงาน นั่นก็เรื่องของคุณที่จะไม่มีคะแนนเก็บ
ถ้าคุณทำงานใช้ไม่ได้ นั่นก็เรื่องของคุณที่จะจบ (ถ้าจบนะ) แล้วหางานทำไม่ได้
คุณจะใช้ชีวิตแบบไหน นั่นขึ้นกับสิ่งที่คุณเลือกเอง
คนที่ไม่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำ ย่อมมีโอกาสน้อยกว่าคนที่เตรียมพร้อมเสมอ

ผมมาคิดดูแล้ว บางทีผมอาจจะไม่ใช่อาจารย์ใจดีอย่างที่นักเรียนคิด
เด็กหลายคนอาจคิดว่าผมใจดี ไม่เหมือนอาจารย์ที่เขาเคยเรียนมาด้วยที่คอยจู้จี้จุกจิก
แต่จริงๆแล้ว ผมแค่ไม่สนใจ

อาจจะด้วยความที่เป็นอาจารย์พิเศษ ทำให้ใช้เวลากับนักเรียนแค่ช่วงเวลาในห้องเรียนเท่านั้น
ผมจึงไม่สนใจว่านักเรียนที่ผมสอนจะใช้ชีวิตอย่างไร มีปัญหาอะไรไหม
ผมสนใจว่า ในชั่วโมงเขามีความกระตือรือล้นในการเรียนไหม
ถ้าเขาพร้อม ผมก็ยินดีที่จะให้ และถ้าเขาเปิดรับ ผมก็จะชี้ทางให้เขาเห็นว่าข้างหน้ามันมีอะไร
ผมเชื่อว่าแต่ละคนมีวิธีการคิดที่ต่างกัน วิธีที่ผมแนะนำเป็นเพียงวิธีหนึ่งเท่านั้น
เขาไม่จำเป็นที่จะต้องเชื่อที่ผมสอนทั้งหมดก็ได้ ถ้าเขาคิดว่ามีวิธีไหนที่ดีกว่าผมก็พร้อมรับฟัง
หรือจะไม่เชื่อเลยก็ได้ ถ้างานที่เขาทำออกมาทำได้เหมือนหรือดีกว่าวิธีที่ผมสอน

กลับมาที่หลังจากนักเรียนคนนั้นตอบผมว่า มันเช้าเกินทำให้มาเรียนไม่ไหว
ผมตอบกลับไปแค่ว่า "อืม ก็จริงนะ วันอาทิตย์ใครๆก็อยากตื่นสายกัน"
เพราะผมเองก็ไม่อยากตื่นตั้งแต่ตี 5 ของเช้าวันอาทิตย์
เพื่อขึ้นเครื่องบินมาสอนเหมือนกัน




รักเร้นในโลกคู่ขนาน


หลายปีก่อน (มานับดูตอนนี้อาจจะเกือบ 10 ปีแล้ว)
เพื่อนผมแนะนำหนังสือของนักเขียนคนหนึ่ง ซึ่งผมไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนให้ลองอ่านดู
เขาบอกว่านักเขียนคนนี้กำลังได้รับความนิยมและงานที่เขาเขียนก็สนุกดี
ด้วยความที่อ่านอะไร(ที่สนุก) ก็ได้อยุ่แล้ว ผมจึงเริ่มลองอ่านงานของนักเขียนคนนี้ดู
ผมเริ่มจากนิยายไตรภาคของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ "ดูเหมือน" คนปกติ
แต่กลับไปพัวพันกับเรื่องราวสุดพิศดาร จนเกือบจะเพี้ยน
หลังจากผมจบไตรภาคนั้น ผมก็หางานของนักเขียนคนนี้เล่มอื่นมาอ่านต่อ
ผมอ่านงานของเขาไปหลายต่อหลายเล่มเท่าที่ผมจะหาฉบับแปลไทยได้ในตอนนั้น
ผมอ่านไปพลางมองหาความสนุกที่เพื่อนผมบอกไม่เจอ
ยิ่งหาไม่เจอก็ยิ่งทำให้ผมอ่านไปเรื่อยๆ ด้วยความอยากรู้
แต่ยิ่งอ่านก็ยิ่งมีแต่คำถามขึ้นมาในหัวเรื่อยๆ ว่าทำไม ทำไม และทำไม

ทำไมคนอื่นถึงบอกว่าสนุก ในขณะที่ผมมีแต่ความสับสน
และในตอนที่ผมจะยอมแพ้และไปหาหนังสือเล่มอื่นอ่านต่อนั้น
ผมก็พบกับงานของเขาชิ้นนึง ที่ทำให้ความรู้สึกของผมเปลี่ยนไป

หนังสือเล่มนั้นคือ Sputnik Sweetheart (รักเร้นในโลกคู่ขนาน) โดย ฮารูกิ มุราคามิ

เรื่องธรรมดาๆ เล่าโดยตัวละครที่ไม่ค่อยจะธรรมดาเท่าไหร่
ทำให้เรื่องทุกอย่างกลายเป็นเรื่องไม่ธรรมดา
ผมอ่านหนังสือเล่มนี้จบด้วยความรู้สึกประหลาด นั่นคือผมรู้สึกสนุกไปกับมัน
ผมเลยย้อนกลับไปอ่านงานของเขาใหม่หมดตั้งแต่เล่มแรกที่ผมมี
การอ่านในครั้งหลังนี้ทำให้ผมรู้สึกสนุกและเป็นแฟนคลับของนักเขียนคนนี้ไปโดยปริยาย

บางครั้งการที่เราจะเข้าใจอะไรบางอย่าง เราจำเป็นที่จะต้องเริ่มจากการไม่เข้าใจเสียก่อน

Jojo the clown


ผมมักจะเจอป้าโจโจ้ทุกครั้งที่วง มูน อลิซ มาเล่นในซานฟรานซิสโก
มูน อลิซ เป็นวงท้องถิ่นย่านเบย์ แอเรีย และเพลงที่เล่นส่วนมากจะเป็นเพลงเก่าๆ
ทำให้มีแฟนเพลงรุ่นเดอะตามกันงอมแงม ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
อากาศเย็นๆ กับเพลงเบาๆ ทำให้หลายต่อหลายคนที่ผ่านไปมาก็จะหยุดยืนฟัง
และถ้าคุณมองไปรอบๆ คุณก็จะเห็นป้าโจโจ้อยู่ท่ามกลางวงล้อมของเด็กๆ
ป้าแกมาในชุดสีฉูดฉาดประจำตัว พร้อมกับลูกโป่งเต็มรถเข็น
แล้วถ้าคุณเดินไปหาป้าแกนะ คุณก็จะได้หมาลูกโป่งกลับไปเล่นที่บ้านตัวนึงล่ะ






ที่จะขาดไม่ได้อีกคนคือลุงหนวดเคราเฟิ้มคนนี้
บอกตามตรง ตอนแรกที่ผมเห็นเขานั่งฟังเพลงอยู่
ผมคิดว่าเขาเป็นแก๊งค์มอเตอร์ไซค์ขาใหญ่ซะอีก
ดูจากการแต่งตัวใส่เสื้อกั๊กหนังและเคราเฟิ้ม
จนกระทั่งลุงแกลุกขึ้นมาแล้ววิ่งไปรอบๆ พร้อมกับปืนฉีดฟองสบู่ในมือ
ลุงแกวิ่งวนอยู่รอบๆเวที ฉีดฟองสบู่ แล้วก็วิ่งไปหัวเราะไป
จนผมอดไม่ได้ที่จะขอลุงแกถ่ายรูป ซึ่งแกก็ยังไม่ยอมหยุดฉีด


Monday, December 8, 2014

ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย



คุณเคยเดินเล่นคนเดียวในเมืองแล้วจมอยู่กับเสียงเพลงจากไอพอดของคุณไหม
หรือคุณเคยรู้สึกเหงาแม้จะมีผู้คนอยู่รอบกายไหม
ผมเคย.. เป็นบางครั้งนะ และถ้าบางครั้งคุณรู้สึกเช่นนี้เหมือนผม
หนังสือเล่มนี้อาจจะช่วยคุณได้

Norwegian wood โดย ฮารูกิ มุราคาม

ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ
คุณอาจจะถามผมว่าหนังสือเล่มนี้จะช่วยให้คุณหลุดพ้นจากความเหงา
หรือช่วยให้กำลังใจกับคุณอย่างนั้นหรือเปล่า ใช่ไหม
คำตอบคือ ไม่ และ ไม่

หนังสือเล่มนี้จะไม่ดึงคุณให้ออกมาจากความเหงา กลับกัน หนังสือเล่มนี้จะผลักคุณลงไปสู่ก้นบิ้งของความเหงา
ก้นบึ้งของความเหงา เหมือนบ่อน้ำร้างที่แห้งเหือด
เมื่อบ่อน้ำไม่มีน้ำจึงไม่มีเหตุให้ใครจะมาตักตวงอีกต่อไป
และที่ก้นบิ้งของความเหงานั้น ไม่มีอะไรรอคุณอยู่ นอกจากความเหงาเท่านั้น
และคุณก็ถูกขังไว้กับตัวความเหงาของคุณ...

พอเวลาผ่านไปสักพัก คุณก็จะเริ่มเบื่อเพราะที่นี่ไม่มีอะไรให้ทำ
ไม่มีอะไรให้ดู ไม่มีอะไรให้ฟัง ไม่มีใครที่จะมาคอยรับฟังคุณนอกจากความเหงา
คุณเลยเริ่มที่จะเป็นเพื่อนกับเจ้าความเหงานั้น
พอคุ้นเคยกันสักพัก คุณก็เริ่มรู้สึกว่าจริงๆแล้วเจ้าความเหงานี่มันก็ไม่เลวนะ
เมื่อคุณใช้เวลาทำความรู้จักกับความเหงา คุณก็จะเข้าใจความเหงา
และในตอนที่คุณรู้จักกับเจ้าความเหงาของคุณดีแล้ว คุณก็จะอ่านหนังสือเล่มนี้จบพอดี

แต่ความเหงาจะยังคงไม่ไปไหน เขาจะอยู่ติดกับคุณเสมอ
เมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกเหงา ความเหงาจะรอคุณอยู่ตรงนั้น
ไม่ว่าจะอยู่คนเดียว หรืออยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย
ถ้าคุณรู้สึกเหงา ความเหงาจะมาหาคุณ
เขาจะนั่งอยู่ข้างๆคุณ และเข้าใจโดยที่คุณไม่จำเป็นต้องพูดอะไร
ไม่มีบ่น ไม่มีวีน ไม่จำเป็นต้องโทรเรียก และไม่ต้องเสียเงินสักบาท
ความเหงาของคุณจะเป็นของคุณคนเดียวไปจนวันสุดท้าย
ก็ไม่เลวใช่ไหมล่ะ


เรื่องของอุซาโกะกับมายพอด

ในชีวิตนี้คุณมีเจ้าอุปกรณ์พกพามาแล้วกี่ชิ้น
คุณยังจำเจ้าอุปกรณ์ชิ้นที่มีความหลังกับคุณเยอะที่สุดได้หรือไม่
ซาวอเบาท์เครื่องแรกของคุณสีอะไร
เทปม้วนไหนที่คุณฟังจนยืด
ในไอพอดคุณมีเพลงอยุ่กี่ร้อยพันเพลง
และครั้งสุดท้ายที่คุณแบคอัพไอพอดของคุณคือเมื่อไหร่

แอบบอกวันนี้ของเสนอเรื่องราวดราม่าเคล้าน้ำตาของทวิตเตอร์ชาวญี่ปุ่น @kameco3
ที่บันทึกเรื่องราวของเธอและมายพอด อุปกรณ์พกพาที่ไปกับเธอแทบทุกที่

admin: TK

credit http://en.rocketnews24.com/2014/12/08/tear-jerking-illustrations-of-a-twitter-users-deteriorating-ipod-goes-viral-in-japan/

 วันหนึ่งพ่อของอุซาโกะ ได้แนะนำเธอให้รู้จักกับมายพอด
และก็เหมือนจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ทั่วไป ที่คนแปลกหน้าสองคนมาเจอกันครั้งแรก
อุซาโกะกับมายพอดต่างไม่รู้จักกัน ในช่วงแรกของทั้งสองจึงเหมือนการแนะนำตัวตนให้อีกฝ่ายรับรู้

มายพอด: เอาล่ะ ฉันน่ะร้องลำตัดเก่งนะ เพลงคลาสสิคก็ได้ เปียโนก็ยังไหว เอ หรือเธออยากจะลองฟังเพลงมาร์ชตุรกีดูไหม

อุซาโกะ : .....

 ต่อมาเมื่ออุซาโกะและมายพอดใช้เวลาด้วยกันเรื่อยๆ มายพอดจึงเริ่มจดจำว่าอุซาโกะชอบอะไร

มายพอด: อืม เธอชอบฟังเพลงแบบนี้หรอ
อุซาโกะ: ใช่แล้วล่ะ เธอช่วยจำมันไว้ด้วยนะ

 วันและคืนที่ทั้งสองได้ใช้เวลาร่วมกัน แบ่งปันช่วงเวลาดีๆนับไม่ถ้วน
แต่อย่างไรก็ตามวันที่อุซาโกะไม่คิดฝันก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

อุซาโกะ: ฉันยืมซีดีมาจากเพื่อนหลายแผ่นเลยล่ะ
มายพอด: ได้เลย เดี๋ยวฉันจะจำให้หมดเลยนะ

มายพอดเก็บเพลงใหม่ๆลงในความจำเหมือนที่เขาทำเป็นประจำ แต่แล้วในไม่กี่วันต่อมา

มายพอด: โทษทีนะ ฉันไม่รู้จักเพลงนี้ล่ะ เดี๋ยวฉันข้ามไปเล่นเพลงอื่นแทนละกันนะ
อุซาโกะ: เอ๋ แต่เธอเคยจำเพลงนี้ได้นี่


มายพอดเริ่มแสดงอาการผิดปกติ และอาเจียนสิ่งเขาเอาเข้าไปออกมา

มายพอด: ไม่มีเพลงไหนที่ฉันรู้จักเล
 
อุซาโกะ: เธอ เธอเป็นอะไรหรือเปล่า
มายพอด: ฉันไม่เป็นไร ก็แค่ ก็แค่ต้องจำเพลงพวกนี้ใหม่เท่านั้นเอง

มายพอดเริ่มสูญเสียความทรงจำไปทีละนิด และสุดท้ายมายพอดก็ลืมอุซาโกะ
อุซาโกะต้องแนะนำตัวเธอเองใหม่ทุกครั้งที่เขาเจอกัน
ตอนนี้ทั้งสองยังอยู่ด้วยกัน และใช้เวลาที่เหลืออยู่กับความทรงจำเท่าที่มี

"อย่าลืมฉันนะ"


Sunday, December 7, 2014

ออสการ์ พิคโตเรียส

หลายครั้งที่เวลานึกถึงคนที่สร้างแรงบันดาลใจ เรื่องที่ผมมักจะนึกถึงมักจะมีเรื่องของ ออสการ์ พิคโตเรียส รวมอยู่ด้วย

ออสการ์ (ขอย่อสั้นๆว่าแบบนี้ละกัน) เป็นชาวแอฟริกาใต้แต่กำเนิด
ออสการ์ใช้ชีวิตในวัยเด็กเล่นกีฬามาหลากลายชนิด ทั้งโปโลน้ำ เทนนิส มวยปล้ำและรักบี้
จวบจนเมื่อออสการ์ได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าจากการเล่นรักบี้ เขาจึงหันมาวิ่งแทน
ออสการ์เริ่มสะสมชื่อเสียงจากการวิ่งมาด้วยการกวาดรางวัลต่างๆมากมาย
จนกระทั่งออสการ์ได้ไปแข่งโอลิมปิกในนามทีมชาติแอฟริกาใต้
เรื่องของออสการ์ก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องของนักกีฬาทั่วไป
ที่อาศัยความพยายามฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อที่จะไปถึงเป้าหมาย
สิ่งที่ออสการ์แตกต่างจากนักวิ่งโอลิมปิกคนอื่นคือ

ออสการ์ไม่มีขา

ออสการ์เกิดขึ้นพร้อมกับโรคที่ติดตัวมาคือโรค Fibular Hemimelia ที่ขาทั้ง 2 ข้าง
นั่นคือออสการ์ไม่มีหน้าแข้ง เมื่อเขาอายุ 11 เดือนจึงได้รับการผ่าตัดส่วนที่เกินออก
ทำให้ออสการ์มีส่วนขาแค่ถึงใต้หัวเข่าเท่านั้น
ขาเทียมที่ออสการ์ใช้ในการวิ่งนั้นนั้นมีลักษณะเป็นเหมือนแผ่นเหล็กบางๆ มากกว่าขาเทียมที่เราเห็นกันทั่วไป
และด้วยความเร็วของออสการ์ ทำให้เขามีฉายาว่า Blade Runner

https://www.youtube.com/watch?v=DAzK1GQUtC8
ออสการ์เป็นพรีเซนเตอร์ให้กับ Nike ในโฆษณาหลายๆชุด
หนึ่งในโฆษณาที่ผมดูแล้วรู้สึกได้รับแรงบันดาลใจมากที่สุดคือ
โฆษณาชุด "Bad listener" ของ Nike

หลังจากออสการ์ลงแข่งพาราลิมปิกเกมส์ (การแข่งขันกีฬาสำหรับคนพิการ) และได้รับเหรียญทองในการแข่งขันหลายครั้ง
เขาจึงขยับเข้าหาเป้าหมายที่ใกล้ขึ้นอย่าง โอลิมปิกเกมส์
ตอนที่ออสการ์ตัดสินใจจะลงโอลิมปิกเกมนั้น มีเสียงคัดค้านมาจากหลายทาง
บ้างก็ว่าออสการ์น่าจะจัดอยู่ในประเภทกีฬาคนพิการ บ้างว่าไม่เหมาะสม
และบ้างว่า ออสการ์ได้เปรียบเหนือผู้แข่งขันคนอื่นเพราะขาเทียม
สุดท้ายแล้วออสการ์ก็ได้ไปแข่งกีฬาโอลิมปิกที่ลอนดอนเมื่อปี 2012
แม้ผลงานจะไม่เข้าเป้าตามที่หมายไว้ ทีมชาติแอฟริกาใต้ทำผลงานไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
แต่ออสการ์ก็ได้รับการจารึกในฐานะนักกีฬาวิ่งคนแรกที่เข้าแข่งโอลิมปิกโดยไม่มีขา

เรื่องที่เล่ามาทั้งหมดน่าจะจบลงที่ตรงนี้
หลังจากออสการ์กลับจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก
เขาก็มุ่งมั่นกับการฝึกซ้อมต่อ และกลับมาได้รับชัยชนะในโอลิมปิกครั้งถัดไป
แต่เรื่องจริงคือ หลังจากจบการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกไม่นาน
ออสการ์ก็ก่อเหตุฆาตกรรมขึ้น

ออสการ์ให้การว่าเขาตื่นขึ้นมากลางดึก ได้ยินเสียงผิดปกติ
ทำให้คิดว่ามีคนบุกเข้ามาในบ้านของเขา เขาจึงเดินไปดู
และตัดสินใจชักปืนยิงผู้ต้องสงสัย ซึ่งต่อมาจึงเห็นว่าเป็นแฟนสาวของเขาเอง
คดีของออสการ์ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนทั้งหลาย
เนื่องด้วยออสการ์เองเป็นคนดัง และแฟนสาวของเขาก็เป็นนางแบบ
เรื่องราวส่วนตัวของออสการ์จึงถูกขุดคุ้ยขึ้นมา ทั้งความเป็นคนเจ้าอารมณ์และรุนแรง
หรือประวัติการใช้กำลังทำร้ายร่างกาย และการพกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต
ท้ายที่สุด ออสการ์ได้รับคำพิพากษามีความผิดฐานฆาตกรรมและต้องโทษจำคุก 5 ปี

เรื่องราวของออสการ์จึงเป็นเรื่องหนึ่งที่ผมนึกถึงเสมอเวลาหาแรงบันดาลใจว่า
ที่สุดแล้วจะดีเลิศแค่ไหน ทั้งเขาและเราก็ยังเป็นคนธรรมดาที่ไม่สมบูรณ์แบบอยู่เหมือนกัน





Tuesday, December 2, 2014

อย่าเพิ่งบ่น

สมัยเรียน ป.ตรีที่ไทย ผมเรียนที่คณะสถาปัตย์ จุฬาฯ
ช่วงนั้นผมเรียนๆเล่นๆด้วยความที่มีกิจกรรมในมหาลัยมากมาย
ทำให้หลายครั้งไปโฟกัสกับสิ่งอื่นมากกว่าการเรียน
หลายครั้งทำงานแบบพอส่ง ทำให้เสร็จตามกำหนดการ
และด้วยตารางเรียนที่แน่นเอี๊ยดทุกวัน (จ-ศ)
ทำให้หลายครั้งงานที่ทำออกมาลวกๆ
ในตอนนั้นผมคิดว่าไม่เป็นไร งานสไตล์ใครสไตล์มัน

จวบจนมาเรียนต่อ ป.โท ที่อเมริกา
ครั้งแรกที่ได้เห็นตารางเรียนถึงกับตะลึง
เพราะเทอมนึงเรียนแค่ 3 ตัวเท่านั้น
คืออาทิตย์นึงเข้าเรียนแค่ 3 ครั้ง นอกนั้นว่าง
ในใจตอนนั้นผมคิดว่า อะไรมันจะเรียนน้อยขนาดนี้(วะ)
จนมาภายหลังถึงได้รู้ว่า ที่ว่าเวลาเรียนแค่ 3 ตัวน่ะ
เวลาที่เหลือเขาให้ไว้ใช้ทำงาน

สาขาที่ผมเรียนคือสาขาอนิเมชั่น ซึ่งผมเน้นไปที่การทำโมเดลเป็นหลัก
แม้ตามตารางจะเข้าเรียนแค่ 3 ครั้ง แต่ผมไปโรงเรียนทุกวันรวมถึงวันเสาร์-อาทิตย์
ซึ่งที่ไปก็ไม่ได้ไปเรียนหรอก แต่ไปนั่งทำงานในแลป
ผมจะไปถึงโรงเรียนราวๆ 9 โมง เพื่อที่จะได้นั่งโต๊ะที่มีคอมพิวเตอร์แรงๆ
และลากยาวไปถึง 5 ทุ่มครึ่ง เพื่อที่จะเดินทางกลับบ้านด้วยรถไฟเที่ยวสุดท้าย
ชีวิตตอนเรียน ป.โทของผมเป็นแบบนี้ และเพื่อนของผมก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน
งานสายอนิเมชั่น เป็นสายเน้นสกิล ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการฝึกสกิลของเราให้ดี

หลายครั้งที่งานออกมาไม่ได้ดั่งใจ
ผมจะหันไปมองเพื่อนหรือใครก็ไม่รู้ในแลปที่ทำงานออกมาดี
และคิดกับตัวเองว่า เราจะต้องทำแบบนั้นให้ได้
ผมพยายามจะไม่บ่นให้มาก โดยการตั้งคติในใจว่า

"อย่าเพิ่งบ่น ถ้ายังทำไม่ถึง 100 ครั้ง"

ทำไมถึงต้องอย่าเพิ่งบ่น
ผมคิดว่าถ้าเราเริ่มทำอะไรก็ตามแล้วเริ่มบ่น จะด้วยเหตุอะไรก็ตาม
การบ่นตอนนั้นจะทำให้เราท้อ ยิ่งบ่นเยอะยิ่งเห็นถึงความลำบากในการทำงาน
พอรู้สึกลำบากมากๆเข้าก็จะเริ่มท้อและพาลล้มเลิกความตั้งใจนั้นเสีย

ส่วนที่ว่าทำไมถึงต้อง 100 ครั้ง
ผมคิดว่าถ้าคุณทำอะไรก็ตามซ้ำๆ ไปจนชำนาญ
ทำไปจนรู้ว่าอะไรมันน่าจะเป็นยังไง ปัญหานี้น่าจะแก้ยังไง
ในตอนนั้นคุณอาจทำงานได้คล่องมากขึ้น เก่งมากขึ้น
และปัญหาที่เกิดขึ้นก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงของคุณ
ซึ่งเมื่อคุณทำได้ดีขนาดนั้นแล้ว คุณก็จะเลิกบ่น

ทุกวันนี้ผมยังจำและใช้เจ้าคติที่ว่านี้ในกับทุกๆเรื่อง
แม้ชั่วขณะที่พิมพ์เรื่องนี้อยู่ก็ตาม ผมก็ยังคิดอยู่เสมอว่า

อย่าเพิ่งบ่น ถ้ายังเขียนไม่ถึง 100 เรื่อง
อย่าเพิ่งบ่น ถ้ายังวาดไม่ถึง 100 มุข
อย่าเพิ่งบ่น ถ้ายังส่งไม่ถึง 100 สำนักพิมพ์
และอย่าเพิ่งบ่น ถ้ายังอยากเขียน

ปล. ในภาพเป็นสมัยที่ทำงานที่อเมริกา ช่วงนั้นทำแต่โปรเจคเกมม้านานไปหน่อย

Friday, November 28, 2014

ร้านซักรีด(อีกแล้ว)

นั่งเปิดอัลบั้มรูปไปมา เจอรูปร้านซักผ้าแทรกแซงอยู่ตามอัลบั้มต่างๆ
โดยแต่ละรูปก็ต่างโอกาส และต่างเวลากัน
อาจจะเป็นเพราะหลงใหลกลิ่นสบู่และน้ำยาปรับผ้านุ่ม
หรืออาจจะเป็นเพราะกว่าครึ่งของชีวิตต่างแดน
ผมต้องไปร้านซักรีดเป็นประจำทุกๆ 2 อาทิตย์

Wednesday, November 26, 2014

สะพานโกลเด้นเกท




พูดถึงซานฟรานซิสโก เชื่อว่าหลายคนคงนึกภาพสะพานโกลเด้นเกท ขึ้นมาทันที
ตัวสะพานแขวนขนาดใหญ่สีแดงหม่นๆ นับเป็นสะพานแขวนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก
และด้วยความพิเศษที่ว่า ทำให้สะพานโกลเด้นเกท ได้รับการขนานนามเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่

แต่รู้หรือไม่ว่า นอกจากมีชื่อเสียงจากการเป็นสะพานแขวนขนาดยาวที่สุดแล้ว
สะพานโกลเด้นเกท ยังมีชื่อเสียงอีกด้านหนึ่งที่ดังไม่แพ้กันเลยก็คือ
เป็นสถานที่ฆ่าตัวตายยอดนิยมอันดับ 2 ของโลก (อันดับหนึ่งคือป่ารอบๆภูเขาไฟฟูจิ)
การฆ่าตัวตายนั้นก็ด้วยวิธีง่ายๆคือ การกระโดดลงไป
ซึ่งมีทั้งที่รอดและไม่รอด และด้วยชื่อเสียงด้านนี้ทำให้มีสารคดีเรื่องนึงออกมาก
สารคดีนั้นชื่อ The Bridge

ตัวสารคดีมีภาพคนโดดลงมาจากสะพานทั้งตั้งใจถ่าย และบังเอิญติดมาก็มี
ขนาดที่ว่าจะตั้งกล้องถ่ายสะพานเฉยๆ ยังมีคนกระโดดลงมาให้เห็น
สารคดีนั้นสัมภาษณ์คนที่รอดตายจากการโดด และเรื่องราวชีวิตหลังจากนั้น
บางคนรู้ซึ้งถึงคุณค่าของชีวิต และบางคนก็รอดตายเพียงเพื่อจะไปกระโดดใหม่อีกรอบหนึ่ง

ช่วงที่ผมอยู่ที่นั่นก็มีข่าวเรื่องนี้บ้างประปราย แต่ครั้งหนึ่งที่เป็นข่าวใหญ่ก็คือ
มีเด็กมัธยมไปทัศนศึกษา และได้คุยเล่นกับเพื่อนว่า เขาสามารถโดดลงมาจากสะพานได้โดยไม่เป็นอะไร
แน่นอนว่า เพื่อน(และคนอื่นๆ) ก็ไม่น่าจะเชื่อ จึงเกิดการท้ากันขึ้น
และเด็กคนนั้นก็โดดลงมาจริงๆ โดยที่ไม่เป็นอะไรเลย
ก่อนที่จะกลับไปโดดใหม่อีกรอบ แต่มีคนห้ามทัน

Monday, November 24, 2014

รอยขีดข่วนบนกระจก


แม้จะนั่งเครื่องบินไม่ถึงขั้นเรียกว่าบ่อย
แต่ในการนั่งแต่ละครั้งผมก็มักจะสังเกตเห็นเจ้ารอยที่ว่านี้เสมอ
รอยที่ว่าคือรอยขีดข่วนบนกระจก (เขียนซ้ำทำไม)
ตัวกระจกเองมีชั้นใน และชั้นนอก
ตัวชั้นในคือกระจกส่วนที่อยู่ข้างในตัวเครื่องบิน
ไอ้อันที่เราสามารถเลื่อนปิดได้นั่นล่ะ
จากนั้นจะมีช่องว่างอีกนิดหนึ่งและจึงเป็นกระจกชั้นนอก

กระจกชั้นในนั้น ผมไม่แน่ใจว่ามันทำมาจากกระจกจริงหรือเปล่า
เท่าที่ลองเคาะ ขูด ลูบ ดู มันค่อนไปทางแผ่นอครีลิคซะมากกว่า
แต่เรื่องนั้นก็ช่างมันก่อนละกัน ที่ผมสนใจคือเจ้ารอยขีดข่วนที่ว่านี่
รอยนี้มีลักษณะเหมือนรอยเอาของมีคมขีดกับกระจกรัวๆ
โดยจะเกิดรอยอยู่เฉพาะตรงช่วงกลางของกระจก
รอบข้างก็มีบ้างแต่ไม่เยอะเท่าตรงกลาง
ดูแล้วก็นึกไม่ออกว่ารอยที่ว่านี้มันมาจากไหน เท่าที่บินระหว่างทางก็ปกติดี
บางทีมันอาจจะเกิดจากการบินผ่านฝูงลูกเห็บ เศษน้ำแข็ง อะไรก็ว่าไป
หรือบางทีก็อาจจะโดนตัวอะไรสักอย่างข่วน...บนฟ้า


Tuesday, November 18, 2014

ชั่วโมงเรียนที่ 2


หลังจากหมดเลคเชอร์ในช่วงเช้าซึ่งกินเวลาสั้นมาก (กว่าที่คิด)
ผมก็เริ่มการสอนในช่วงบ่าย ซึ่งผมได้แบ่งวิธีการสอนไว้ว่าจะเลคเชอร์ตอนเช้า
แล้วทำเดโม่ในช่วงบ่าย วิธีนี้ผมจำมาจากสมัยเรียนปริญญาโทที่อเมริกา
เพราะในสายงานที่เรียนนั้น จัดอยุ่ในหมวดสกิล ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการฝึกฝนเป็นหลัก
การให้ทำงานไปพร้อมกันช่วงแรก เป็นการอธิบายและแนะนำเทคนิกและขั้นตอนการทำงานบางอย่าง
ต่อมาในครึ่งหลังผมจะปล่อยให้นักศึกษาทำชิ้นงานของตัวเอง โดยผมจะคอยเดินวนเวียนอยู่ในห้อง
หากใครมีปัญหาหรือสงสัยอะไร ผมก็จะเดินไปดูทีละโต๊ะ ซึ่งทำให้พบว่านักศึกษาหลายคน
ก็มีอาการอยากรู้แต่ไม่อยากถาม และถ้าไม่เดินไปใกล้ๆก็จะเก็บไอ้ความสงสัยนั้นไว้เงียบๆ

ในวันนั้นผมให้ทุกคนทำโมเดลกล่องด้วย simple cube แล้วเพนท์ลายบนกล่องให้เป็นกล่องไม้
งานชิ้นนี้เป้าหมายคือผมอยากดูฝีมือการเพนท์ของนักศึกษาก่อน เพราะวิชาที่สอนนี้เราจะใช้การเพนท์เป็นส่วนหลักส่วนนึง
หลังจากผมแนะนำและสาธิตการเพนท์กล่องให้ดูส่วนหนึ่ง ผมก็ปล่อยให้ทุกคนทำกล่องเองตามใจชอบ
แต่มีข้อแม้ว่า จะเพนท์อะไรก็ได้ กล่องเหล็ก กล่องไม้ แต่ต้องเพนท์ให้ผมเชื่อว่ามันเป็นสิ่งนั้น
นักศึกษาหลายคนอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ บางส่วนอยู่ขั้นกลางๆ และบางส่วนอยุ่ในขั้นเริ่มต้น
ซึ่งฝีมือไม่ใช่ประเด็นหลักที่ผมจะมองในงานชิ้นนี้ ผมอยากดูความเข้าใจโดยรวมมากกว่า

หลายคนเพนท์ตามแบบที่ผมทำ และหลายคนเพนท์ในอย่างที่เขาอยากทำซึ่งเป็นเรื่องดีที่ลองทำแบบที่ไม่ได้บอกดูบ้างก็ได้
ผมเดินไปดูงานนักศึกษาคนหนึ่ง ซึ่งเป็นกล่องที่ดูแตกต่างจากงานคนอื่น
ที่สำคัญคือนักศึกษาคนนั้นดูจะภูมิใจกับงานของตนเองมาก ผมจึงลองให้นักศึกษาคนนั้นเล่างานให้ผมฟัง
"คืองี้ครับอาจารย์ กล่องนี้เป็นกล่องเหล็กซึ่งใช้หินอ่อนและไม้ผสมและ..."
ผมยืนฟังนักศึกษาคนนั้นพูดจนจบ แต่ผมเองไม่สามารถเห็นในสิ่งที่เขาอยากให้ผมเห็นได้
ผมจึงแย้งนักศึกษาคนนั้นว่า ไอ้นี่น่ะมันใช่หรอ เหล็กบ้านคุณมันมีลักษณะแบบนี้หรอ
แล้วไม้นี่มันดูไม่มีความหนาเลยนะ แล้วคุณเพนท์แบบนี้เนี่ยถ้ามีไม้มาพาดเกยๆกัน
กล่องมันจะเอียงนะ แต่เหนือสิ่งอื่นใดนะ ผมไม่เชื่อไอ้ที่คุณบอกมาเลยสักนิดเดียว
มันดูไม่เป็นเหล็ก เป็นไม้ หรือเป็นอะไรก็ตามที่คุณบอกผมเลยสักอย่าง

นักศึกษาคนนั้นตอบผมว่า 
"จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ครับอาจารย์"

นั่นสิ จินตนาการมันสำคัญกว่าความรู้สินะ และนั่นทำให้ผมนึกถึงเรื่องสมัยเรียนเรื่องหนึ่ง

สมัยที่ผมยังเป็นนิสิตอยู่นั้นมีอาจารย์ท่านหนึ่งเป็นที่กล่าวขวัญกันในหมู่นิสิตเสมอ
ด้วยวิธีการสอนที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้เหล่าวัยฮอโมนส์พลุ่งพล่านในคราบนิสิต
มักจะเกิดการต่อต้านภายในจิตใจกันลึกๆอยู่เสมอ ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
แต่น่าประหลาดที่ว่า จวบจนเรียนจบจนถึงชั่วขณะนี้ ผมยังไม่ลืมคำพูดคำนึงของอาจารย์
คำที่ต่อมาภายหลังกว่าผมจะเข้าใจก็เข้าสู่วัยทำงานเสียแล้ว เรื่องมันมีอยู่ว่า

ตอนนั้นเป็นวิชาออกแบบลายผ้า ซึ่งแน่นอนว่าโปรเจคที่ต้องส่งคงไม่พ้นการออกแบบลายผ้านั่นเอง
ในตอนนั้นผมเลือกทำปลอกหมอนด้วยวิธีการเขียนเทียน ซึ่งวิธีการเขียนเทียนที่ว่าเราจะใช้ปากกาเขียนเทียน
โดยมีลักษณะเป็นแท่งไม้ขนาดประมาณหนากว่าดินสอนิดหน่อย แล้วตรงปลายจะเป็นกระเปาะทองแดง
สำหรับไว้เทเทียนร้อนๆ แล้วเทียนจะไหลออกมาที่ปลายกระเปาะซึ่งมีรูขนาดเล็ก เวลาเขียนก็เขียนเหมือนการวาดรูปทั่วไป
เทียนที่แห้งจะแข็งตัว แล้วเราก็เอาไปชุบสีย้อม ถ้าให้เทียบกับ Photoshop ก็คือการ Mask layer นั่นล่ะ

ผมเลือกวิธีที่ว่านี้ไม่ใช่เพราะชื่นชอบการเขียนลาย แต่เลือกเพราะดูเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดด้วยความขี้เกียจ
และลวดลายที่ผมจะออกแบบนั้นคือลายสำหรับปลอกหมอน ที่เลือกทำปลอกหมอนเพราะมันมีขนาดเล็ก
และผมก็มีหมอนอยู่ ก็เลยคิดว่าทำมาใช้เองก็คงจะดีเอาสะดวกเข้าว่า
แล้วผมก็เริ่มออกแบบลาย ลวดลายที่ว่าออกมาจากจินตนาการล้วนๆ ตามที่ความสามารถในขณะนั้นจะมีอยู่
ผมวาดด้วยความอิสระ ในหัวไม่คิดอะไร ปล่อยให้เทียนไหลไป
ผลที่ออกมาสำหรับผมในตอนนั้น คิดว่าพึงพอใจพอสมควร

แล้วก็ถึงวันส่งงาน
ผมและเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกหลายคนยืนรายล้อมกันอยู่ในห้อง
อาจารย์เดินดูงานด้วยความรวดเร็ว และให้คำแนะนำงานของแต่ละคนเบาๆ
เมื่อถึงคราวผม อาจารย์ก็เหลือบมองก่อนจะพูดว่า

"ฉันจะบอกแกให้นะ ถ้าแกมัวแต่ใช้ของที่อยู่ข้างในของแก สักวันนึงมันจะหมดไป"

ผมในตอนนั้นแม้จะรับคำ แต่ก็เกิดอาการต่อต้านในใจ
หมด อะไรจะหมด มันจะหมดได้ยังไง จินตนาการเป็นสิ่งที่ไม่มีวันหมด(โว้ย)
พลังวัยรุ่นในตอนนั้นบวกกับอคติที่เจือปน ทำให้ผมไม่เข้าใจในความหมายนั้น

จนกระทั่งเข้าสู่วัยทำงาน ผมจึงเริ่มที่จะเข้าใจความหมายของคำพูดในตอนนั้น
วันที่ผมคิดอะไรไม่ออก ไอเดียตีบตัน
จินตนการที่เคยใช้อย่างฟุ่มเฟือยก็ดูซ้ำซากกันไปหมด
ผมจึงเริ่มดูหนังสือ Artbook ตำราต่างๆ หรือแม้แต่หาข้อมูลจากเวบทั่วไป
ความคิด ความรู้ ก็เหมือนของใช้ที่มีวันหมด หากเราหยุดเสาะหาเพิ่มเติมเมื่อไหร่
สิ่งที่เราใช้คิด หรือรู้ ก็จะมีอยู่จำกัดแค่นั้น การหาความรู้ใหม่ๆทำให้จินตนการของเราแข็งแรงขึ้น
จินตนาการที่ไม่มีความรู้ ก็เหมือนเรือที่ไม่มีใบ ที่จะพาลอยตามคลื่นไปเรื่อยๆจนออกทะเล
ในทางกลับกัน ความรู้จะช่วยเสริมให้จินตนาการของเรามีทิศทาง และจูงใจคนภายนอก
ให้เข้าสู่จินตนาการของเราได้ชัดเจนขึ้น

กลับมาที่ตัวผมในตอนนั้น วัยที่คิดว่าตัวเองนี่ล่ะเจ๋งสุด
ผมซึ่งแม้จะไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำพูดที่อาจารย์บอกเท่าไหร่ ก็ยังลองทำตามที่อาจารย์บอก
ในเมื่อบอกบอกว่า ถ้าผมใช้แต่ของข้างในมันจะหมด ผมก็จะใช้ของข้างนอกละกันคราวนี้
ผมเลยไปนั่งหมกตัวอยุ่ที่ห้องสมุด และหาหนังสืองานออกแบบที่เกี่ยวข้องทั้งหลายมาดู
ผมใช้เวลากับงานชิ้นนี้อยู่พักหนึ่ง จัดการหาแบบอ้างอิงและลงมือทำ

เมื่อถึงกำหนดส่งงาน ผมยื่นงานชิ้นนั้นให้อาจารย์ดูด้วยความมั่นใจ
มั่นใจว่าคราวนี้ ไม่น่าจะโดนตีกลับเพราะผมไม่ได้ใช้ไอ้ของข้างในที่อาจารย์ว่ามันจะหมด
แต่คราวนี้ผมใช้ไอ้ของข้างนอกนี่ล่ะ ดังนั้นถ้าจะว่าก็ไม่น่าจะว่าผมได้
อาจารย์เหลือบมองงานของผมอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันมาบอกผมว่า

"ฉันจะบอกแกให้นะ การลอกลายไม่ใช่งานออกแบบ"

เรานี่มันช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยสินะ ใช่มั้ยใช่...

Monday, November 17, 2014

แมคฯ เอกมัย


สถานที่เดิม ที่เคยมานั่งเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว
ที่ซึ่งในตอนนั้นกำลังจะออกไปเผชิญกับอะไรก็ไม่รู้ที่อยู่ข้างหน้า
มานั่งอีกทีในตอนนี้ ด้วยความรู้สึกคล้ายๆกัน
คือการเผชิญกับอะไรก็ไม่รู้ที่รออยู่ข้างหน้า

Wednesday, November 12, 2014

โตแล้วไปไหน



"ตอนนั้นเป็นช่วงก่อนที่ผมจะมาอเมริกา และเพิ่งออกจากงานมาเพื่อเตรียมตัวไปเรียนต่อ
วันนั้นผมนั่งอยู่ที่แมคโดนัล ตรงเมเจอร์ซีเนเพล็กซ์ สาขาเอกมัย อาจจะนั่งรอเพื่อนนัดกินข้าวหรืออะไรสักอย่าง หรืออาจจะแค่นั่งอ่านหนังสือเล่นๆ ซึ่งหนังสือเล่มที่ว่าก็คือนิตยสารยอดนิยมฉบับหนึ่ง ผมจำได้ว่าหน้าปกเป็นพื้นสีขาว และมีขวดนมสีชมพูวางอยู่โดดๆ ที่ผมจำได้แม่นเพราะในฉบับนั้นมีบทสัมภาษณ์ของคนๆหนึ่งที่น่าสนใจ เขาเป็นอนิเมเตอร์ไทยที่ทำหนังเรื่อง The Metrix ผมจำบทสัมภาษณ์นั้นได้ขึ้นใจ ได้ถึงขนาดที่ว่าชอตที่เขาอนิเมทนั้นคือชอตที่นีโอควงกระบองสู้กับมิสเตอร์สมิธเป็นฝูงที่ลานว่างหลังจากคุยกับ The Oracle มาบนม้านั่ง และหลังจากจบโปรเจคหนังเขาก็เข้าไปทำงานต่อที่ Blizzard studio"

ผมบอกประโยคข้างต้นให้พี่นนท์ฟัง หลังจากผมและเพื่อนๆพี่ๆน้องๆสายอนิเมชั่น (ภายใต้การนำของพี่ตุลย์ 55) ได้มีโอกาสไปเยี่ยม Blizzard studio ที่ Irvine เมืองเงียบๆไม่ใกล้ไม่ไกลจาก LA เท่าไหร่นัก
เมื่อเดินเข้ามาที่ลานกลางแจ้งก่อนเข้าตึก จะเห็นรูปปั้น Orc ขี่หมาป่าขนาดใหญ่ ยืนชูมือต้อนรับอยู่ จากนั้นเมื่อเข้ามาในส่วนรับรองจะมีห้องแกลลอรี่ขนาดใหญ่ไว้โชว์ภาพวาดและมีอัลบั้ม FanArt ให้ผู้มาเยี่ยมชมเปิดดูได้ ตู้โชว์หลายตู้เต็มไปด้วยเหล่าฟิกเกอร์หลากขนาดจากเกม พี่นนท์พาพวกเราเดินเยี่ยมชมในสตูดิโอ ได้เห็นแผนกแต่ละแผนกที่ประดับประดาไปด้วยฟิกเกอร์หรือโปสเตอร์จากเกม World of Warcraft และได้มีโอกาสเห็น Starcraft 2 ในช่วงที่เขากำลังทดลองเล่นกันภายในอยู่ด้วย พวกเราเดินลัดเลาะไปตามทางเดินที่เต็มไปด้วยงาน Art จากเกมที่ว่า แม้ผมจะไม่ได้เล่น World of Warcraft แต่ก็เล่น Warcraft 2,3  การมาเยี่ยมชมครั้งนั้นทำให้ผมอยากลองเล่นเจ้าเกมที่ว่าดูสักที งาน Art ของ Blizzard นั้นดูเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและแรงบันดาลใจ ซึ่งเพื่อนนักเรียนด้วยกันหลายคนต่างก็ใฝ่ฝันที่จะได้ลองทำงานที่นี่ดูสักครั้ง

ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ คืออาจจะเป็นไปได้แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆนัก และด้วยความที่ซานฟรานซิสโกมีการจัดงาน Game Developer Conference (GDC) กันเป็นประจำทุกปี ผมจึงไปที่งาน GDC เป็นประจำตลอดชีวิตนักเรียนที่นั่น และเป้าหมายหลักคือการไป Job fair หรือการหางานนั่นเอง ในช่วงปีแรกๆนั้นเป็นการฝึกการพูดคุยกับ HR ซะเป็นส่วนมากด้วยคุณภาพของงานที่ไม่ถึงเกณฑ์ อาจจะแค่กรอกใบสมัครแล้วคุยกันพอเป็นพิธี เพื่อให้คุ้นชินกับการพูดคุยกับคนต่างชาติและฝึกรับมือกับการตอบคำถามเฉพาะหน้า ในช่วงหลังๆจึงเริ่มมีเป้าหมายมากขึ้นเช่นการหาที่ฝึกงานและการหางาน โดยในงานมีบริษัททั้งใหญ่และเล็กมาออกงานจำนวนมาก และ Blizzard ก็เป็นหนึ่งในบริษัทที่มาออกงาน

แถวสัมภาษณ์งานของ Blizzard จะมี 2 แถว คือแถวสำหรับนักเรียนและแถวสำหรับมืออาชีพ ซึ่งแน่นอนว่าแถวของนักเรียนนั้นจะมีขนาดยาวและต้องใช้เวลาในการรอคอยนานพอสมควร สาเหตุเพราะในแถวของนักเรียนนั้น ทาง Blizzard จะใช้ Artist ที่ทำงานมาเป็นคนวิจารณ์งาน ซึ่งแต่ละคนจะใช้เวลากับงานของเหล่านักเรียนพอสมควรไม่ใช่แค่การดูผ่านๆ แต่ให้คำแนะนำและการพัฒนางานที่ดีขึ้น ซึ่งเราสามารถที่จะถามอะไรกับคนที่มาดูงานให้เราก็ได้ ทำให้แถวของ Blizzard ได้รับความนิยมเป็นประจำทุกปี

บางคนอาจจะสงสัยว่าทำไมกับแค่การวิจารณ์งาน ถึงมีคนหลายคนยอมเสียเวลาต่อคิวยาวเหยียดเพื่อให้งานของเราถูกด่าหรือติชม เพราะงานวิจารณ์ที่มีประโยชน์ย่อมทำให้เกิดการพัฒนาขึ้น ยิ่งถ้าได้รับการวิจารณ์จากมืออาชีพในสายงานนั้นๆจริงๆ ย่อมได้คำแนะนำที่ดีแน่นอน ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงยอมต่อแถวเพื่อโอกาสที่ไม่ได้หาง่ายๆแบบนี้

จากประสบการณ์ที่ผ่านมาผมแบ่งการวิจารณ์งานออกได้เป็น 3 ระดับ
ระดับแรก ระดับทั่วไปคนวิจารณ์อาจบอกได้แค่ชอบหรือไม่ชอบ โดยไม่มีสาเหตุมารองรับ
ระดับที่สอง คนวิจารณ์สามารถบอกได้ว่าชอบหรือไม่ชอบเพราะอะไร แต่ยังไม่สามารถบอกถึงแนวทางพัฒนาเพิ่มได้
และระดับสุดท้าย คนวิจารณ์มองออกว่าควรทำอย่างไรให้งานพัฒนาดีขึ้น โดยไม่จำกัดอยู่แค่แนวทางเดียว 

ซึ่งในฐานะที่ทั้งถูกวิจารณ์งานและวิจารณ์งานคนอื่นบ้าง สิ่งสำคัญอันดับแรกเลยคือ อย่าเพิ่งเถียง ฟังคนพูดๆให้จบก่อน พอจบแล้วจะเถียงหรือจะแย้งอะไรก็ค่อยว่ากันไป หรือถ้าคิดว่าการวิจารณ์ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ตรงประเด็น ผมพบกว่าการปล่อยผ่านและเงียบๆไปเป็นการจบเรื่องที่ดีที่สุด บางครั้งการโต้เถียงที่ไม่มีสาระ ทำให้ชัยชนะที่ได้มาไร้ซึ่งความหมาย เปรียบได้เหมือนกับการทะเลาะกันของเด็กที่ไม่รู้จักโต

ในทางกลับกัน การยอมรับถึงข้อผิดพลาดและเรียนรู้จากเรื่องราวที่ผ่านมาเหล่านั้น รวมทั้งประสบการณ์ผ่านงานที่เราทำ ทั้งเรื่องที่สำเร็จและล้มเหลว สิ่งเหล่านี้ต่างหากล่ะที่ทำให้เราโตขึ้น

ตอนนี้เราก็โตแล้ว ทีนี้จะไปไหนต่อดีนะ



Monday, November 10, 2014

ชั่วโมงเรียนที่ 1



ครั้งหน้าจะเป็นครั้งสุดท้ายของเทอมนี้ที่ไปสอนที่มหาวิทยาลัย
ซึ่งถ้าจะว่าไป เทอมนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ไปสอนแบบจริงๆจังและเป็นทางการ

ผมจำไม่ได้ว่าไปตกปากรับคำตอนไหน
อารมณ์คงนึกว่าคุยเล่นๆและทิ้งเรื่องไว้นานจนลืม
จนวันนึงก็มีโทรศัพท์ทางไกลมาคุยเรื่องการสอน
อารมณ์ตอนนั้นมึนงงผสมล่ก
มึนงงเพราะจำไม่ได้ว่าคุยเรื่องการสอนตั้งแต่เมื่อไหร่
ล่กเพราะเกิดอาการไม่มั่นใจว่าจะสอนได้

อย่างไรก็แล้วแต่ผมก็ตกปากรับคำไปสอนจนได้

หลังจากรับทราบข้อมูลรายละเอียดเรื่องการเดินทาง
ที่ทางนั้นจะออกค่าใช้จ่ายให้ และจะมีรถมารับจากสนามบินทั้งไปและกลับ
ทำให้ผมหมดกังวลเรื่องการเดินทาง และตารางเวลา
ผมก็จะขึ้นเครื่องบินในวันอาทิตย์ เว้นอาทิตย์ และเว้นอีกหลายๆอาทิตย์
ก่อนจะกลับมาอาทิตย์เว้นอาทิตย์อีกที (มีพี่ท้อปไปสอนสลับกัน)

สาเหตุหลักที่ตัดสินใจไปสอนนั้น เรื่องเงินดูจะเป็นสาเหตุท้ายๆ
ความเบื่อที่สะสมมา ดูจะเป็นเหตุผลหลักในการตัดสินใจครั้งนี้

หากจะให้ชี้ชัดสาเหตุของความเบื่อ มันก็ดูจะเปะปะไปหมด
เบื่องาน เบื่ออากาศ เบื่อฝุ่นละออง เบื่ออะไรก็ไม่รู้ จนถึงขั้นอาจจะเบื่อชีวิต
เจ้าความเบื่อที่คืบคลานเข้ามาอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียง
ก่อนจะรัวหมัดไม่ยั้ง ถาโถมอย่างกับพายุเข้าใส่
ผมไม่ทันที่จะตั้งตัวใดๆทั้งสิ้นแม้แต่ตั้งรับ
ได้แต่ปัดป้องอย่างสะเปะสะปะอย่างไร้จุดหมาย
กรรมการข้างเวทีรัวนิ้วนับแต้มต่ออย่างเมามันส์
ผีพนันข้างที่ถือมวยรองพยายามส่งเสียงเชียร์ให้ผมลุกขึ้น
และจวนเจียนที่ผมจะยอมพ่ายแพ้อยู่รอมร่อ
ระฆังที่แขวนไว้ข้างเวทีก็ทำงานด้วยเสียงดังฟังชัด

"อาจารย์สนใจที่จะไปสอนที่ ม.... เทอมนี้ไหมครับ"

ผม(ยัง)ไม่ใช่อาจารย์ และ ไม่คิดว่าจะมีความสามารถพอด้วย
การที่จู่ๆมีคนมาเรียกแทนตัวเองว่าอาจารย์จึงรู้สึกแปลกๆ
แต่เมื่อมีตัวช่วยมา ก็คว้าไว้อย่างไม่ลังเล
ด้วยหวังว่าอย่างน้อยจะได้หลุดจากสภาพตอนนี้ไปก่อน
แม้จะเป็นแค่ชั่วคราวก็ตาม

ด้วยเหตุที่ว่ามา ผมก็ได้มาเป็นอาจารย์พิเศษอย่างเป็นทางการในเทอมนี้
แม้หัวข้อที่ได้รับมอบหมายให้มาสอน จะไม่ใช่หัวข้อถนัด
เรียกได้ว่าพอถูไถ และอาศัยความคุ้นชินในการทำงานมากกว่า
ดังนั้นการจะมาสอนแบบมีหลักการ จึงเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังพอควร
การชี้ทางผิดๆ หรือมั่วๆไปนั้น ดูจะไม่ใช่ทางถนัดของผมเท่าไหร่
แต่หากเป็นการลองเดิน จะผิดจะถูกแล้วค่อยแก้ไขนั้นยังพอว่า
เมื่อสถานการณ์บีบบังคับมาเช่นนี้ ผมจึงไม่มีทางเลือก
นอกจากการซื้อหนังสือมานั่งอ่าน

เจ้าหนังสือที่ว่าคือ text book สมัยที่ผมเรียนอยู่ที่อเมริกานี่เอง
ซึ่งจำได้ว่าหนังสือเล่มนั้นแต่งโดยอาจารย์ที่ผมเรียนด้วย
และเป็นคนที่ได้รับการยอมรับในวงการอย่างมาก
เมื่อผมเรียนจบ ผมจึงส่งต่อหนังสือที่ว่านี้ให้กับรุ่นน้องไว้ใช้ศึกษาต่อ
มาตอนนี้ ตอนที่ผมต้องการใช้หนังสือที่ผมไม่มีอยู่
ทางเลือกสุดท้ายคงเป็นการซื้อหนังสือเล่มใหม่

ด้วยเวลาที่กระชั้นชิด ผมจึงสั่งหนังสือชนิดสื่ออิเลกทรอนิกมาแทน
แม้ผมจะชอบจับหนังสือแบบตัวเป็นๆมากกว่า แต่เวลาเช่นนี้แล้ว
ความรวดเร็วดูจะเป็นสิ่งสำคัญกว่าอารมณ์
ผมสั่งซื้อ(ไฟล์)หนังสือเล่มนี้ในราคาไม่ต่างจากหนังสือจริงๆเท่าไหร่
จะเป็นข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ที่จับต้องไม่ได้ หรือกระดาษที่ทำจากต้นไม้ซึ่งจับต้องได้
ราคาที่แท้จริงของทั้งสองอย่างนี้เหมือนกันคือ ราคาของความรู้ที่ได้รับการบันทึกอยู่ข้างใน

ในคืนก่อนการเรียนการสอนของ(ว่าที่)อาจารย์ครั้งแรก
ผมจึงทำการบ้านด้วยการทบทวนบทเรียน และเตรียมเรื่องที่จะพูดอยู่นาน
ด้วยหวังว่า ผมควรจะเกริ่นนำให้เห็นความน่าสนใจในเนื้อหาที่จะเรียน
มากกว่าการที่จะยัดข้อมูลล้วนๆ ให้กับนักเรียนซึ่งบางเรื่องอาจจะไม่มีความจำเป็นเท่าไหร่นัก
ผมตัดทอนหัวข้อบางส่วนที่ไม่จำเป็นออกไป แต่ก็ไม่ลืมที่จะเพิ่มบางส่วนขึ้นมาทดแทน

เมื่อเตรียมเนื้อหาเหล่านั้นจนพอใจแล้ว
ผมจึงซักซ้อมการพูดหน้าชั้น และซ้อมจนเป็นที่พอใจว่าจะพูดได้ไหลลื่น
ผมกะคร่าวๆไว้ว่า จะพูดเนื้อหาประมาณชั่วโมงหนึ่ง
อาจจะเพิ่มเป็นสองชั่วโมงถ้าผมยังพูดไม่จบ หรือยังมีเวลาเหลือพอ
จากนั้นจึงเริ่มทำแบบฝึกหัดในห้องด้วยกัน
ใครมีปัญหาอะไรก็สามารถซักถามได้ตลอดเวลา
วิธีเรียนด้วยข้อผิดพลาดจากการทำงาน เป็นไอเดียหลักในการสอนของผมครั้งนี้

และในที่สุดวันแรกแห่งการเรียนการสอนของผมก็มาถึง
ผมจับเครื่องบินที่สนามบินดอนเมืองแต่เช้าตรู่
จากนั้นจึงขึ้นรถรับส่งของทางมหาวิทยาลัยจากสนามบินประจำจังหวัด
ผมไปถึงอาคารเรียนอย่างไม่มีปัญหา
เนื้อหาที่ผมเตรียมมาได้รับการถ่ายทอดไปอย่างครบถ้วนและลื่นไหล
ปัญหาอย่างเดียวที่ผมเจอคือ ไอ้เรื่องที่เตรียมไว้ว่าจะพูดในเวลาชั่วโมงนึงเนี่ยน่ะสิ
ผมดันพูดหมดไปแล้วตั้งแต่ 15 นาทีแรกของวัน

แล้วจะพูดอะไรต่อดีนะ...






Wednesday, November 5, 2014

เพราะโลกมันกลม

ตอนที่ร้านหนังสือ Border ล้มละลายและต้องขายทุกอย่างทั้งหนังสือและเฟอร์นิเจอร์นั้น
ผมเองก็แวะเวียนไปแทบทุกวัน ไปเดินเล่นบ้าง ไปซื้อหนังสือบางเล่มบ้าง และไปซื้อเฟอร์นิเจอร์บางอย่างบ้าง
ใจจริงนั้น ผมอยากได้ชั้นหนังสือแบบที่ใช้กันในร้าน แต่ติดที่ขนาดและความหนักเกินจะขนไหว
จึงต้องล้มเลิกความคิดนั้น มิหนำซ้ำห้องที่อยู่ก็ไม่น่าจะมีที่พอด้วย



ผมจึงล้มเลิกความคิดที่นั้นเสีย แต่แล้วผมก้ต้องมาเตะตากับอะไรบางอย่าง
ไอ้อะไรบางอย่างที่ว่าก็คือ กระจกโค้งนูนนั่นเอง
มันเป็นกระจกโค้งนูนแบบที่คุณสามารถพบเห็นได้ตามหัวมุมถนน หรือตามมุมอับของร้านขายของน่ะ
ผมจึงเกิดความคิดขึ้นมาใหม่ว่า ไอ้กระจกนี้มันก็ดูน่าสนใจนะ น่าจะเอาไปเล่นอะไรได้บ้าง
ก็เลยซื้อมันมา


พอซื้อมาผมก็ได้พบกับมุมที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
อย่างเช่นมุมนี้ ที่สามารถเห็นห้องของผมทั้งห้องได้ทั่วโดยไม่ต้องเอี้ยวคอ


จากนั้นจึงเริ่มเอาเป็นเล่นตามที่ต่างๆ เช่นบ้านเพื่อน


ทดลองมุมใหม่ๆ ที่ไม่เคยเห็น


เผื่อบางทีมันจะน่าสนใจ


พอเห็นว่า เออมันก็ดูน่าสนใจและสนุกดี
ผมก็เลยหิ้วไอ้เจ้ากระจกโค้งที่ว่านี่ไปตามสถานที่ต่างๆข้างนอก
ซึ่งมันก็หนักอยุ่พอควร และด้วยขนาดที่ใหญ่ประมาณโล่ห์ชิริว
ทำให้เวลาผมแบกเจ้ากระจกนี้ไปไหนมาไหน ก็มักจะมีคนมองด้วยความสนใจ (ว่ามันจะแบกไปทำไม) อยู่เสมอ



บางคนถึงกับเข้ามาขอถ่ายรูปกระจกนี้ด้วยก็มี


หัวใจที่อยู่ด้านหลังจะอยู่ตามมุมของ Union square ซึ่งจะมีศิลปินมาเพ้นท์ลายใหม่เรื่อยๆ


บางทีก็ต้องวางซะบ้าง


บางวันก็ชวนเพื่อนมาร่วมสนุก ในภาพคือโบสถ์ Grace Cathedral


บางครั้งเพื่อนก็จำใจยอมมาเล่นสนุก


สนามเด็กเล่นที่ Huntington park


กับ Banksy ที่ China town





ซึ่งตอนนั้นก็เห่อเป็นพักๆ เพราะว่ากระจกที่ว่านี้มันหนักมาก
จะให้แบกไปทุกสุดสัปดาห์ก็คงไม่ไหว เลยหาตัวช่วยอื่น
ซึ่งก็คือกระจกโค้งที่เขาใช้กันอยู่จริงๆนั่นเอง
ตอนนั้นไม่รู้เป็นอะไร ถ้าเจอเจ้ากระจกโค้งที่ว่านี้ที่ไหน
เป้นต้องถ่ายให้หมด
ในภาพน่าจะเป็น สถานี BART ที่ถนน New Montgomery


จนตอนผมเริ่มแพคของกลับบ้าน ตอนแรกนั้นคิดว่าจะเอากระจกนี้กลับไปด้วย แม้ไม่รู้ว่าจะเอากลับไปทำไม
แต่พอคนขนของซึ่งเป็นคุณลุง (ผมให้เขามารับของที่อพาทเมนต์) มาเห็นกระจกนี้
ผมเห็นแววตาเป็นประกายของเขา ราวกับเขาเสาะหากระจกนี้มานานแล้ว
แกมองแล้วมองอีก จนในที่สุดแกก็เอ่ยปากถามผมว่า ผมเอามาจากไหน
ผมตอบเขาไปว่า ผมซื้อมาจากร้าน Border ตอนเขาเลหลัง
แกเลยบอกผมว่า นี่นะ แกน่ะ หามานานแล้ว แต่ราคามันสูงอยุ่ เลยตัดสินใจไม่ได้สักที
ผมได้ฟังแล้วก็เริ่มคิดว่า เออ กระจกโค้งนี้มันก็ไม่ใช่หาได้ง่ายๆเหมือนกันนะ
แล้วผมก็คิดว่าผมสนุกกับกระจกนี้มาพอแล้ว เราตะลอนไปด้วยกัน สนุกด้วยกัน
ผมอยากเขวี้ยงทิ้งเพราะมันหนักอยู่ก็หลายครั้ง แต่ก็อดเสียดายไม่ได้
และตอนนี้เหมือนเวลามันประจวบเหมาะ
ผมจึงอยากให้มันได้กลับไปทำหน้าที่ของกระจกโค้งเหมือนเดิมจะดีกว่า
ผมเลยไม่ลังเลใจที่จะให้กระจกแก่คุณลุงนี้ทันที โดยไม่คิดเงินเสียด้วย
(จริงๆแกบอกว่าจะจ่ายให้ แต่แกคงลืม ผมก็ขี้เกียจทวง ก็เลยตามเลยละกัน)

Tuesday, November 4, 2014

บอดี้




โปรเจคสั้นๆ แบบเร็วมากจริงๆชนิดที่ว่าแปบเดียวงานเสร็จ
งานนี้ผมทำแต่ในส่วนของโมเดล แม้จะมีเทกเจอร์ด้วย Diffuse, Spec, Normal map
แต่รู้สึกว่าตัวงานที่เสร็จจะไม่ได้ใช้เทกเจอร์อันที่ส่งไป
งานชิ้นนี้เป็น Visual ประกอบคอนเสิร์ตของ Bodyslam ที่ผ่านมานี่เองครับ
งานนี้จะว่ายากก็ไม่ยากแต่อาศัย งมเอาหน่อยๆ
เพราะต้นแบบที่ส่งมาให้คือรูปจากปกอัลบั้มนี่เอง ซึ่งมันมีด้านเดียวนี่น่ะสิ

Monday, November 3, 2014

คนเดินถนน

สมัยก่อนที่ผมจะมาอเมริกา ผมมักจะเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติในไทยเดินกันอย่างไม่กลัวรถชน (และบางส่วนก็โดนชนจริงๆ)
ในใจผมก็นึกสงสัยว่าทำไมเขาช่างไม่กลัวรถเอาเสียเลย หรือว่ายังไม่เคยโดนชนกันนะ
จนเมื่อผมมาอเมริกา
ที่ๆทำให้คนเดินดินบนถนน มีความรู้สึกเหมือนดั่งราชา
ใช่แล้วครับ
ที่นี่ซานฟรานซิสโก ที่ๆคนเดินถนนคือผู้ยิ่งใหญ่ 55
ยิ่งใหญ่ยังไง
เอาเป้นว่าทุกหัวมุมถนน จะมีทางข้ามสำหรับคนเดินถนน
และมีไฟจราจรสำหรับคนข้ามโดยเฉพาะ
และในที่ๆไม่มีไฟจราจร เช่นถนนนอกเมืองหรือถนนในแหล่งชุมชน
ถ้ารถเจอคนจะข้ามถนน ต้องหยุดรอให้คนข้ามถนนเรียบร้อยเสียก่อนจึงจะไปได้

ผมติดนิสัยที่ว่านี้กลับมาด้วย
และเมื่อกลับไทยได้พักนึง ผมก็พบว่า
ผมข้ามถนนไม่เป็น

ผมอยู่ที่เกาะกลางถนนบนถนนสีลม หลังจากเพิ่งวิ่งสุดชีวิตเพื่อข้ามมายังเกาะกลางถนนแห่งนี้
และคำถามต่อไปคือ ผมจะข้ามไปอีกฝั่งยังไง ในขณะที่รถราทั้งหลายวิ่งกันอย่างไม่กลัวน้ำมันหมด
ตอนแรกมีผมรออยู่คนเดียว และก็มีผู้ร่วมชะตะกรรมมาสมทบ โดยมากเป็นพนักงานออฟฟิศแถวนั้น
พวกเรารอกันอยุ่สัก 10 คนได้ และรถก็ไม่มีทีท่าชะลอเอาเสียเลย
จนในที่สุดก็มีชาวบ้านแถวนั้น แสดงวิธีการข้ามถนนที่ถูกต้องให้ผมดู
ชาวบ้านที่ว่าน่าจะเป้นพ่อค้าแถวนั้น
และวิธีการข้ามถนนที่ว่าคือ ก้าวลงไปมันซะเลย
พอพ่อค้าก้าวลงไปคนแรก ที่เหลือก็รีบก้าวตาม
ซึ่งได้ผล เพราะรถเบรกกันตัวโก่งเลย
แล้วทุกคนก็รีบก้าวตามพ่อค้าคนนั้นไป
ผมจึงได้รู้ซึ้งถึงพลังของมวลมหาประชาชนในวันนั้น

ฝน สี นิวยอร์ก


สิ่งหนึ่งที่ผมชอบในนิวยอร์กคือ สี
ไม่ว่าจะสีสันจากป้ายโฆษณา ป้ายไฟต่างๆ หรือสีของเมือง
ช่วงที่ผมไปนั้นฝนตกแทบทุกวัน ฝนยิ่งตกผมยิ่งรู้สึกว่าภาพที่เห็นมันยิ่งชัดขึ้น
บางทีอาจจะเป็นเพราะสายฝนชะเอาฝุ่นละอองในอากาศออกไป
หรือบางทีผมอาจจะชอบบรรยากาศหลังฝนก็ได้

Friday, October 31, 2014

Laundry machine.


ภาพที่ ชิซูรุ วิ่งไล่ถ่ายรูปอย่างบ้าคลั่งในหนังเรื่อง Collage of our live
จนถึงกับปีนเครื่องซักผ้าเพื่อถ่ายรูปของที่อยู่ข้างใน
ภาพนั้นยังคงประทับใจผม แม้ผมในตอนนั้นไม่รู้ว่าเธอจะถ่ายไอ้เครื่องซักผ้าที่ว่าทำไม
ไม่เห้นมันจะมีอะไรเลย นอกจากแค่ผ้าหมุน
แล้วผมก็เข้าใจว่าทำไมเธอจึงถ่าย แม้อาจจะไม่ใช่เหตุผลที่เธอถ่ายทำไม
เพราะมันไม่มีอะไรทำในตอนรอน่ะสิ ว่าแล้วผมก็เลียนแบบชิซูรุบ้าง



กลอง


ที่สถานีหนึ่งกลางเมืองนิวยอร์ก
ชายผิวดำไว้ผมเดรดล๊อค 3 คนก้าวเข้ามาในรถพร้อมกับกลองในมือ
และยังไม่ทันที่ประตูรถจะปิด หนุ่มเดรดล๊อค 2 คนนั้นก็ลงมือบรรเลงเพลงกลอง
ผมไม่คุ้นหูกับทำนองที่ว่า แต่ก็ดูสนุกดี ผู้คนในรถดูจะให้ความสนใจกับคนกลุ่มนี้
โดยพวกเขาแบ่งกันทำงานเป็นทีม 2 คนตีกลอง 1 คนเดินเรี่ยไรเงิน
สุดแต่ใครจะให้ ไม่ให้ก้ไม่ให้
เมื่อถึงสถานีถัดไป พวกเขาก็ลง