Saturday, December 27, 2014

อัลปาก้า

เมื่อคืนฝันเห็นตัวอัลปาก้า

ผมกำลังเดินอยู่ใต้ถุนตึกแห่งหนึ่ง ซึ่งที่นี่เลี้ยงอัลปาก้าปล่อยอิสระ
อัลปาก้าเป็นสัตว์สี่ขา คล้ายแกะแต่คอยาวเหมือนยีราฟ
ผมเดินไปเห็นอัลปาก้าเด็กตัวนึงนอนอยู่ เลยเดินเข้าไปใกล้ๆ
อัลปาก้าเด็กตัวนั้นตกใจตื่นขึ้น แล้วลุกขึ้นยืนบนขาหลัง
อัลปาก้าเด็กจ้องหน้าผม แล้ววิ่งสองขาหนีไปด้วยความรวดเร็ว

ผมหัวเราะกับท่าทีที่น่าขบขันของเจ้าอัลปาก้าเด็กตัวนั้น
เพราะท่าวิ่งสองขาของอัลปาก้าเด็กเหมือนเด็กผอมๆใส่ชุดหมีวิ่งไม่มีผิด
เริ่มไม่ตลกตรงคนที่นำทางอยู่บอกให้ระวังอัลปาก้าตัวเต็มวัยให้ดี
ผมไม่กล้าถามว่าทำไม ด้วยถือคติว่าเข้าป่าอย่าถามพราน
ทั้งที่ตอนนี้ผมกำลังเดินอยู่ใต้ถุนตึก แต่ก็ไม่อยากทักซี้ซั้ว

อัลปากาหนุ่มขนาดเขื่องนั่งเคี้ยวหญ้าอยู่บนสนามหญ้าเล็กๆข้างๆใต้ถุน
ผมเพิ่งเห็นเจ้าอัลปาก้าที่ว่านี่ตอนเลี้ยวพ้นเสาของใต้ถุนตึกมานี้เอง
และเจ้าอัลปาก้าตัวเต็มวัยนี้ก็คงเห็นผมแล้วเช่นกัน เพราะตอนนี้มันหยุดเคี้ยวแล้ว
ผมแทบหยุดกลั้นหายใจ ก่อนจะพยายามค่อยๆเดินให้พ้นจากตรงนี้ไป
อัลปาก้าตัวนั้นจ้องมาที่ผมเขม็ง หัวของมันค่อยๆเบนตามก้าวเดินของผม

แล้วมันก็ลุกขึ้นยืนสองขา

ผมวัดด้วยสายตาคร่าวๆ คิดว่าถ้าวัดส่วนสูงจากพื้นถึงหัวอัลปาก้าตัวนี้น่าจะสัก สองเมตรกว่าๆได้
และตอนนี้อัลปาก้าที่สูงสองเมตรกว่าๆกำลังวิ่งสองขาเข้ามาหาผม
อัลปาก้ากระโจนเข้าใต้ถุนแล้ววิ่งห้อตัดตามทางมาตรงที่ผมยืนอยู่
ผมไม่แน่ใจว่าอัลปาก้าเป็นสัตว์หวงถิ่นหรือไม่ และผมควรจะวิ่งหรือยืนเฉยๆ
ผมเลือกที่จะยืนเฉยๆ ด้วยว่าก้าวขาไม่ออกและหวังจะให้มันสงบลงไปเอง

อัลปาก้าตัวนั้นเลี้ยวโค้งอ้อมเสาเข้ามาหาผม
ขาหน้า(แขน) ที่งอโค้งเหมือนพร้อมจะดีดกำลังเกร็งแน่นจนเส้นเอ็นปูด
ผมยืนตัวแข็งเตรียมรับแรกกระแทกจากเจ้าอัลปาก้า
แต่เจ้าอัลปาก้ากลับเลยไปกระแทกคนที่ยืนอยู่ข้างๆผม
ทั้งคู่กระเด็นลงไปตามขั้นบันไดด้านข้างของใต้ถุน

อัลปาก้าใช้ขาหน้าดีดใส่ผู้เคราะห์ร้ายคนนั้นอย่างต่อเนื่อง
เสียงกีบเท้ากระแทกเนื้อผสานไปกับเสียงกรีดร้องของตัวอัลปาก้า
มือที่พยายามปัดป้องดูจะไม่สามารถต้านทานกีบเท้าของอัลปาก้าได้เลย
ผมทำได้แค่ขว้างถุงถั่วในมือใส่อัลปาก้าตัวนั้นอย่างสิ้นหวัง
ก่อนที่จะสะดุ้งตื่นด้วยเสียงของตัวเองที่กำลังกรีดร้องเหมือนตัวอัลปาก้า



Friday, December 19, 2014

แก๊งค์บัตรเครดิต

เมื่อสักครู่นี้เอง มีเบอร์แปลก (06-1494-6892) โทรเข้ามาที่โทรศัพท์ผม
"บลาๆๆๆๆๆ อายัด บลาๆๆๆๆๆๆ กรุณากด 0 เพื่อฟังซ้ำ หรือกด 9 เพื่อรอสายกับเจ้าหน้าที่"
ผมกด 0
สัญญาณโทรศัพท์เหมือนโอนไปไหนสักที่แล้วก็มีคนรับ
"สวัสดีครับ ธนาคารกรุงเทพ ไม่ทราบลูกค้าจะติดต่อเรื่องอะไรครับ" (เป็นเสียงผู้ชายเหมือนเด็กฝึกงาน)
"อ่า ผมก็ไม่รู้"
"อะไรนะครับ"
"คือเมื่อกี้ผมฟังไม่ทัน เลยกดจะฟังอีกครั้งมันกลับส่งมาที่นี่อ่ะครับ"
"อ่อ....แล้วจะติดต่อเรื่องอะไรครับ"
"อืม มันฟังไม่ทันจริงๆ ผมก็ไม่รู้"
"เป็นระบบอัตโนมัติใช่ไหมครับ"
"อ้า ใช่ครับ"
"อืออออ ถ้าแบบนี้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับบัตรเครดิตนะครับ"
"เอ๋ หรอครับ"
"ครับ ไม่ทราบผมกำลังเรียนสายกับคุณอะไรครับเดี๋ยวผมจะตรวจสอบข้อมูลให้"
"เอ แล้วที่ได้เบอร์โทรมานี่ได้มาจากไหนมันไม่มีชื่อบอกหรอครับ"
"อืออออ ทางระบบจะส่งมาเป็นอัตโนมัตินะครับ ขอชื่อคุณลูกค้าจะได้ตรวจสอบให้ได้นะครับ"
"นที ครับ" (ผมหลุดปากบอกชื่อออกไป)
"นามสกุลละครับ"
"ทองสุขแก้ว ครับ" (ภาพบอลไทยในหัวผมยังไม่หาย)
"คุณนที ทองสุขแก้วนะครับ ขอเช็กข้อมูลครู่หนึ่งนะครับ"
"ครับ"
เสียงกดคีย์บอร์ด
"อืออออ คุณนที ทองสุขแก้ว ตอนนี้คุณมียอดค้างชำระบัตรเครดิตอยู่ที่ 68,000 บาท นะครับ"
"หา อะไรนะครับ" (ทำเสียงตกใจ)
"คุณมียอดค้างชำระบัตรเครดิต 68,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน 2557 นะครับ"
"เอ ผมไม่แน่ใจว่าผมไปใช้อะไรเยอะขนาดนั้นนะ"
"อืออออ ทางระบบแจ้งมาว่าคุณนที ไปใช้บริการที่ห้างสยามพารากอนนะครับ"
"เอ ผมจำได้ว่าวันนั้นผมอยู่ต่างจังหวัดนะครับ แล้วในยอดนั้นเป็นค่าบริการอะไรหรอครับ"
"อืออออ เป็นค่าทองรูปพรรณจำนวน 3 บาทน่ะครับ"
"อืมม ผมไม่มีบัตรเครดิตด้วยน่ะสิ"
"อืออออ คุณมียอดค้างชำระบัครเครดิตธนาคารกรุงเทพ บัตร visa สีทอง วงเงิน 100,000บาทนะครับ"
"ผมไม่ได้ไปเปิดบัตรเครดิตนะ สงสัยจะโดนขโมยแน่เลย"
"คุณนที ได้ไปทำธุรกรรมที่ใช้เอกสารทางราชการที่ไหนมารึเปล่าครับในช่วง 1 ปี 2 เดือนมานี้"
"มีไปทำบัตรประชาชนมาครับ"
"อืออออ อาจจะเป็นไปได้ว่าทางคุณนทีโดนโจรกรรมข้อมุลไปแอบอ้างนะครับ"
"แน่เลยครับ อย่างนี้ผมต้องไปแจ้งความไหมเนี่ย"
"อือออออ ต้องแจ้งความแน่นอนครับ คุณนที ทองสุขแก้ว ยืนยันว่าไม่ได้เปิดบัตรเครดิต visa สีทองของธนาคารกรุงเทพ สาชา รัชดาห้วยขวาง ในวงเงิน 100,000บาทใช่ไหมครับ"
ผมไม่ได้ชื่อนที ทองสุขแก้ว และผมไม่เคยเปิดบัตรเครดิต แต่อะไรไม่รู้ดลใจให้ผมตอบไปว่า
"ใช่ครับ"
"ทางเราจะรีบประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ บลาๆๆๆ เพราะเป็นคดีเร่งด่วยให้นะครับ"
"อ่า ผมขอชื่อคุณได้ไหมครับ ไว้เผื่อติดต่อ"
"อือออออ เดี๋ยวทางธนาคารจะติดต่อกลับไปนะครับ"
"เผื่อสายมันหลุดน่ะครับ"
"อือออออ ผมชื่อ สารัช เกตุดีครับ เบอร์ติดต่อนะครับ 02-005-5550 ครับ"
"โอเคครับ"
"งั้นเดี๋ยวทางธนาคารจะติดต่อเจ้าหน้าที่ กปสบลาๆๆ เลยนะครับ"
"ครับ ขอบคุณครับ"
เสียงหายไปประมาณ 10 วิ
"สวัสดีค่ะ อิชั้นเจ้าหน้าที่ กปส บลาๆๆ ติดต่อเรื่องอะไรคะ" (ป้าสักคนรับสาย)
"อ่า เหมือนผมจะโดนขโมยข้อมูลไปเปิดบัตรเครดิตครับ"
"ค่ะ ขอทราบชื่อคุณผู้เสียหายด้วยค่ะ"
"นที ทองสุขแก้วครับ" (ผมบอกชื่อไปด้วยความหวังว่าจะมีแฟนบอลเข้าใจ)
"คุณนที ทองสุขแก้วนะคะ คุณนทีได้ทำธุรกรรมอะไรมาบ้างหรือเปล่าคะ"
"อ่า ผมก็ทำหลายอย่างนะครับ แต่ก็เซ็นกำกับทุกครั้งครับ"
"ค่ะ บางทีเอกสารอาจจะหลุดพ้นไปได้ รบกวนขอสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อลงบันทึกประจำวันหน่อยนะคะ"
"ครับ ได้ครับ"
"คุณนที ทำอาชีพอะไรคะ"
"รับเหมาครับ" (ใจจริงนั้นอยากตอบว่ากองหลัง แต่อดใจไว้ทัน)
"คุณนทีอยู่ที่กรุงเทพหรือเปล่าคะ"
"เปล่าครับ แต่ตอนนี้ผมมาคุยงานที่กรุงเทพพอดีครับ"
"คุณนที มีบัญชีของธนาคารที่ไหนบ้างคะ เพื่อทางเราจะได้ไปตรวจสอบกับธนาคารนั้น"
"ผมมีของธนาคารกรุงเทพนี่ละครับ"
"ที่เดียวหรอคะ"
"อ้า แล้วก้มีของธนาคารกสิกรครับ"
"บัญชีธนาคารกรุงเทพมียอดคงเหลือในบัญชีเท่าไหร่คะ"
"แสนสองครับ"
"บัญชีธนาคารกสิกรละคะ"
"75,000ครับ"
"โอเคคะ เดี๋ยวทางเจ้าหน้าที่ขอ"
ยังไม่ทันที่ผม นที ทองสุขแก้ว จะได้เคลียร์หนี้บัตรเครดิต
ที่ถูกแก๊งค์โจรชั่วลักลอบเอาข้อมูลไปใช้ในทางผิดกฎหมาย
สายโทรศัพท์ที่กำลังคุยกับเจ้าที่กปงปส.กุ้งเผา ก็หลุดไปเสียก่อน
น่าเสียดายนัก ที่คราวนี้จำต้องปล่อยให้แก๊งค์โจรชั่วนี่ลอยนวลไปเสียได้
แต่ไม่เป้นไร ถ้าวันใดที่แกีงค์โจรชั่วนี้กลับมา
ผม นที ทองสุขแก้ว ก็จะกลับมาจัดการกับมันอีก

Monday, December 15, 2014

เสียงในหัว

คุณเคยได้ยินเสียงตัวเองเวลาอ่านหนังสือไหม

ผมไม่ได้หมายถึงการที่คุณอ่านออกเสียงออกมาดังๆนะ
แต่หมายถึง เวลาที่คุณอ่านหนังสือเงียบๆ คุณได้ยินเสียงในหัวของคุณไหม
เวลาอ่านหนังสือ ผมมักจะได้ยินเสียงในหัวที่กำลังอ่านหนังสือให้ผมฟัง
เสียงข้างในที่ว่านั้นปรับเปลี่ยนเสียงได้หลากหลาย อาจจะเป็นเสียงของคุณเอง
เสียงคนแก่ เสียงผู้หญิง เสียงผุ้ชาย เสียงเด็ก หรือเสียงหมาแมว
เสียงในหัวเปลี่ยนไปตามลักษณะของตัวละครในเรื่องที่ผมอ่าน หรือตามแต่เนื้อหาที่อ่าน
ถ้าผมอ่านหนังสือบทความสารคดี เสียงที่ว่าจะเรียบนิ่งแต่น่าฟัง
ถ้าผมอ่านข่าวในหนังสือพิมพ์ เสียงจะเหมือนผู้ประกาศข่าวตามสถานีโทรทัศน์
 
ผมพบว่าเสียงข้างในนั้นขึ้นกับความคุ้นเคยอีกด้วย
ถ้าบทความนั้นเป็นบทสัมภาษณ์ และผมเคยได้ยินเสียงของผู้ถูกสัมภาษณ์อยู่บ้าง
ผมจะอ่านเป็นเสียงของผู้ถูกสัมภาษณ์คนนั้น ทั้งบุคลิกและน้ำเสียงถูกจำลองขึ้นมาในหัวของผม
เหมือนถ้าผมนึกถึงมอร์แกน ฟรีแมน ทั้งหน้าตาและเสียงของเขาก็จะเข้ามาอยุ่ในประโยคที่ผมอ่านทันที
ในอีกทางหนึ่ง ถ้าผมจำประโยคที่คนๆหนึ่งพูดขึ้นมาได้
ผมก็จะอ่านประโยคนั้นด้วยเสียงของคนๆนั้นเสมอ
ยกตัวอย่างเช่น "You shall not pass"

คุณอ่านประโยคข้างบนด้วยเสียงอะไร เสียงข้างในหัวของคุณเป็นเสียงแบบไหน
ถ้าเป็นเสียงของคุณเอง หรือเสียงทั่วๆไป ประโยคนี้จะเป็นเพียงประโยคภาษาอังกฤษธรรมดาเท่านั้น
แต่ถ้าคุณอ่านเสียงนั้นด้วยเสียงของพ่อมดเทาแกนดาล์ฟ
นั่นแปลว่าคุณคือแฟนลอร์ด ออฟ เดอะ ริง หรือคุณเคยดูหนังแล้วจำประโยคที่ว่านี้ได้แม่น
เสียงที่ออกมาจะเป็นเสียงที่ทรงพลัง เปี่ยมอำนาจ ถึงขนาดบัลร๊อคยังถูกตรึงอยู่กับที่
ทำให้ผมคิดว่า เสียงในหัวเป็นการเพิ่มอรรถรสในการอ่านอย่างหนึ่ง

ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่มีทั้งบุคลิกและเสียงเป็นเอกลักษณ์
เพื่อนผมคนนั้นชื่อ เม้ง ตอนนี้เม้งเป็นครีเอทีฟที่เอเจนซี่โฆษณาแห่งหนึ่ง
เม้งเป็นเพื่อนกับกิ๊บ (กิ๊บที่โดนซูซี่ไล่ออกจากบ้าน) ทั้ง 2 คนนี้ทำงานอยู่ด้วยกัน
เวลาที่ 2 คนนี้อยู่ด้วยกันเมื่อไหร่ ฟาร์มหมาแถวนั้นปิดกิจการได้เลย
เพราะหมาที่ออกมาจากปากของทั้งคู่นั้น ทั้งแข็งแรง สุขภาพดี ที่สำคัญคือเห่าเก่ง
แต่ถึงแม้จะปากหมานรกแบบนี้ เม้งก็เป็นคนจิตใจดี คิดดี และรักเพื่อน

ในกลุ่มเพื่อนฝุงนั้น แม้บางครั้งจะหยาบโลนกันแต่ก็เนื้อแท้แล้วทุกคนให้ความเคารพกัน
หลายครั้งเม้งชอบพูดจาโผงผาง แต่ผมก็ไม่ว่าอะไรเพราะรู้ว่าเม้งคิดดี
บางครั้งผมก็อดรำคาญไม่ได้ หลายครั้งผมเอาหูทวนลม บางครั้งผมอยากเอาส้อมจิ้มตามัน
แต่ทุกครั้งผมก็ฟังสิ่งที่เม้งพูด เพราะเนื้อแท้นั้นเป็นสิ่งที่น่าฟัง
เสียงของเม้งนั้นนุ่ม ออกแนวโทนต่ำๆ ฟังดูอบอุ่น มีเอกลักษณ์และเม้งชอบทำเสียงหล่อ
เวลามีงานเม้งมักจะได้รับบทพิธีกร หรือบางงานโฆษณาก็ใช้เสียงของเม้งเองในงานก็มี
สาวคนไหนได้ฟังอาจเคลิ้มตามไปโดยไม่รู้ตัว แม้ขณะนั้นเม้งกำลังด่าพ่อเธออยู่ก็ตาม

เม้งเป็นคนคิดดี ทำดี และเมื่อคิดดีแล้ว เม้งจึงลองธรรมดี
เม้งบวชอยู่ที่วัดป่าสวนโมกข์ ในช่วงที่ผมยังอยู่ที่อเมริกา
ผมก็ได้แต่อโหสิกรรมให้เม้งไป แล้ววันนึงพระเม้งก็ whatsapp มาหาผม
ผมจำไม่ได้ว่าเราคุยกันเรื่องอะไร แต่ผมตอบพระเม้งไปว่า
"ไอ้ห่า"
"เฮ้ย ด่าพระ" พระเม้งบอกผม
"ด่าพระบาปมั๊ย" ผมถามด้วยความไม่รู้
"ถ้าคิดว่าบาปก็บาป ถ้าคิดว่าไม่บาปก็ไม่บาป" พระเม้งตอบ
"งั้นกูคิดว่าไม่บาป ห่านน" ผมตอบพระเม้งด้วยใจบริสุทธิ์

หลังจากกลับเข้าทางโลก เม้งยังพูดจาเหมือนเดิม
แต่เรื่องนึงที่เห็นได้ชัดคือ มีเรื่องธรรมะแทรกเข้ามา
ธรรมะที่ว่าไม่เหมือนกับการฟังพระเทศน์ หรืออ่านบทเรียนพุทธศาสนา
ธรรมะที่เม้งเล่าคือการอธิบายเหตุและผลของสิ่งต่างๆ
ผมเชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง ตามประสาของคนขี้สงสัย
เม้งไม่บอกให้ผมเชื่อ เม้งบอกให้ผมลอง

ผมเจอเม้งเขียนคอลัมน์ลงในนิตยสารยอดนิยมเล่มหนึ่ง
ซึ่งนับว่าเป็นความบังเอิญ เพราะผมไปยืนอ่านนิตยสารหัวนี้มาตลอดในร้านหนังสือ
การที่มาเจอเม้งเขียนอยู่ สร้างความประหลาดใจแก่ผมเหมือนกัน
เหมือนเดินๆอยู่ แล้วหันไปเจอเพื่อนยืนพูดอยู่บนเวที
เป็นความรู้สึกภูมิใจเล็กๆ อารมณ์อยากสะกิดคนข้างๆว่า "นั่นเพื่อนผมๆ"

คอลัมน์ที่เม้งเขียนเป็นหัวข้อเกี่ยวกับธรรมมะ
เนื้อหาที่เม้งเขียนเป็นเรื่องธรรมมะในมุมมองใกล้ตัว
ผมอ่านเรื่องที่เม้งเขียนในอีกความรู้สึกหนึ่ง
ความรู้สึกนั้นเหมือนเม้งกำลังยืนพูดให้คนหลายคนฟังอยุ่

ผมยืนอ่านไปพลางผมรู้สึกเหมือนเม้งมายืนพูดให้ฟังอยู่ข้างๆ
เสียงของเม้งทุ้ม นุ่มกังวาล เหมือนเดิม
เม้งพูดดังขึ้น ดังขึ้น และดังขึ้น

จนผมรำคาญ ผมเลยวางนิตยสารเล่มนั้นลงแล้วเลิกอ่าน


ปล. คอลัมน์ที่เม้งเขียนชื่อ "ย้ำคิด ย้ำธรรม" ลงในนิตยสาร aday








Friday, December 12, 2014

In the mood of love


ที่รูข้างกำแพงของนครวัด
โจวมู่หวันฝากความลับของเขาไว้อย่างแผ่วเบา
เขาค่อยๆบรรจงถ่ายทอดความลับทีละน้อยๆ
จนใกล้เย็นค่ำ ความลับทั้งหมดจึงถูกไขออกมา
ความลับที่ไม่อาจบอกใครได้ แม้แต่ตัวเขาเอง
ด้วยว่าถ้าเขารู้อีกครั้ง เขาจะไม่ลืมมันอีก

โจวมู่หวันกลบความลับด้วยเศษดินเพียงกำมือ
เพื่อสมานรูเว้าโหว่บนกำแพงหินประวัติศาสตร์
ที่ซึ่งความลับของเขา จะถูกเก็บไว้ชั่วกาลนาน
ตราบเท่าที่นครร้างแห่งนี้ยังคงอยู่
เพียงว่าสักวันหนึ่ง จะมีคนมาพบความลับนี้


Thursday, December 11, 2014

บันทึกการเดินทางสู่นครวัด

อีบุ๊คเล่มแรกที่ทำ
เป็นเรื่องเกี่ยวกับตอนไปเยี่ยมชมนครวัดครับ
ในเล่มก็จะเป็นพวกเรื่องกับรูปที่ถ่ายมาตอนไปเที่ยว
ใครอ่านในเพจ อาจจะเห็นรูปไม่จุใจก็ขอเชิญโหลดไปอ่านฟรีได้เลยครับ





http://mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=19737

อันนี้เป็นลิ้งค์ของ Meb เป็น app ไว้อ่านหนังสืออีบุ๊ค
ผมมีอีกอันเป็นของ ookbee แต่กำลังรออนุมัติอยุ่ครับ
ขอบคุณครับ


Wednesday, December 10, 2014

ชั่วโมงเรียนที่ 3






วันที่ผมสอนนั้นเป็นวันอาทิตย์ กำหนดการคือเริ่มสอนตอน 10 โมง
จากนั้นพักเที่ยง 1 ชั่วโมง ก่อนจะเริ่มสอนต่อตอนบ่ายโมง แล้วจบชั่วโมงเรียนตอน 1 ทุ่ม
แน่นอนว่าเวลาที่ใช้จริงย่อมไม่เหมือนเวลาตามตารางในกระดาษ

เริ่ม 10 โมงจะมีนักเรียนในห้องประมาณ 1 ใน 4 ของห้องหรือราวๆ 20 คน
พอใกล้เที่ยงจะมากันเกือบค่อนห้อง และจะมาเกือบครบในช่วงหลังพักเที่ยง
ในตอนแรกๆ ผมคิดว่าอาจจะเป็นเรื่องกระทันหันที่เตรียมตัวไม่ทันเลยมาสาย
แต่พอเริ่มครั้งที่ 2 ผมคิดว่านี่อาจจะเป็นเรื่องปกติ 
ผมถามนักเรียนคนหนึ่งว่า ทำไมเล่นมาซะบ่ายเลยล่ะ
นักเรียนคนนั้นตอบผมว่า

"เรียนเช้าเกิน ตื่นไม่ไหวครับอาจารย์"

ผมนึกย้อนกลับไปสมัยเรียน ที่อาจารย์จะคอยจำ้จี้จำ้ไช สอนจนปากเปียกปากแฉะ
ตามงานที่เราขาดส่ง คอยเตือนเวลาที่เรามาสาย
ผมเองก็เป็นนักเรียนมาก่อน และแน่นอนว่าต้องเคยมาสาย
บางคนอาจมองว่าอาจารย์จะมาอะไรกับนักเรียนมากมาย
ทั้งๆที่ ที่อาจารย์ทำมาทั้งหมดก็เพื่อตัวนักเรียนเอง
วิถีแบบไทยๆที่อาจารย์มองนักเรียนเหมือนลูก เหมือนผุ้ใหญ่ดูแลเด็ก
และคอยตักเตือนให้นักเรียนประพฤติตนทั้งในและนอกเวลาเรียน
จะให้บอกว่าแบบไหนดีกว่ากันคงเป็นเรื่องยาก เนื่องจากคนเราต่างกัน
บางคนประพฤติตนให้อยู่ตามกฎเมื่อได้รับการตักเตือน
บางคนกลับพยายามแหกคอกเมื่อได้รับการตักเตือน
ถ้าคุณมาสาย อาจารย์เตือนคุณเพื่อโอกาสของคุณเอง
ถ้าคุณขาดเรียน อาจารย์เตือนคุณเพื่อที่คุณจะมีเวลาเรียนพอ
ถ้าคุณขาดส่งงาน อาจารย์เตือนคุณเพื่อย้ำถึงความรับผิดชอบของตัวคุณเอง
ถ้าคุณทำงานใช้ไม่ได้ อาจารย์เตือนคุณเพื่อให้พร้อมกับสังคมการทำงาน

จนเมื่อสมัยไปเรียนที่อเมริกา ผมจึงเห็นความแตกต่างของความเป็นอาจารย์
ที่นี่อาจารย์จะมองนักเรียนว่าเป็นคนๆหนึ่ง ที่ควรจะมีความรับผิดชอบขั้นพื้นฐาน
การดุด่าว่ากล่าว หรือตักเตือนจะพบเห็นได้น้อยมาก ยิ่งในสายงานที่การแข่งขันสูงยิ่งแล้วใหญ่

ถ้าคุณมาสาย นั่นก็เรื่องของคุณที่จะพลาดโอกาสในตอนเช้า
ถ้าคุณขาดเรียน นั่นก็เรื่องของคุณที่ปลายเทอมเวลาเรียนคุณจะไม่พอ
ถ้าคุณขาดส่งงาน นั่นก็เรื่องของคุณที่จะไม่มีคะแนนเก็บ
ถ้าคุณทำงานใช้ไม่ได้ นั่นก็เรื่องของคุณที่จะจบ (ถ้าจบนะ) แล้วหางานทำไม่ได้
คุณจะใช้ชีวิตแบบไหน นั่นขึ้นกับสิ่งที่คุณเลือกเอง
คนที่ไม่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำ ย่อมมีโอกาสน้อยกว่าคนที่เตรียมพร้อมเสมอ

ผมมาคิดดูแล้ว บางทีผมอาจจะไม่ใช่อาจารย์ใจดีอย่างที่นักเรียนคิด
เด็กหลายคนอาจคิดว่าผมใจดี ไม่เหมือนอาจารย์ที่เขาเคยเรียนมาด้วยที่คอยจู้จี้จุกจิก
แต่จริงๆแล้ว ผมแค่ไม่สนใจ

อาจจะด้วยความที่เป็นอาจารย์พิเศษ ทำให้ใช้เวลากับนักเรียนแค่ช่วงเวลาในห้องเรียนเท่านั้น
ผมจึงไม่สนใจว่านักเรียนที่ผมสอนจะใช้ชีวิตอย่างไร มีปัญหาอะไรไหม
ผมสนใจว่า ในชั่วโมงเขามีความกระตือรือล้นในการเรียนไหม
ถ้าเขาพร้อม ผมก็ยินดีที่จะให้ และถ้าเขาเปิดรับ ผมก็จะชี้ทางให้เขาเห็นว่าข้างหน้ามันมีอะไร
ผมเชื่อว่าแต่ละคนมีวิธีการคิดที่ต่างกัน วิธีที่ผมแนะนำเป็นเพียงวิธีหนึ่งเท่านั้น
เขาไม่จำเป็นที่จะต้องเชื่อที่ผมสอนทั้งหมดก็ได้ ถ้าเขาคิดว่ามีวิธีไหนที่ดีกว่าผมก็พร้อมรับฟัง
หรือจะไม่เชื่อเลยก็ได้ ถ้างานที่เขาทำออกมาทำได้เหมือนหรือดีกว่าวิธีที่ผมสอน

กลับมาที่หลังจากนักเรียนคนนั้นตอบผมว่า มันเช้าเกินทำให้มาเรียนไม่ไหว
ผมตอบกลับไปแค่ว่า "อืม ก็จริงนะ วันอาทิตย์ใครๆก็อยากตื่นสายกัน"
เพราะผมเองก็ไม่อยากตื่นตั้งแต่ตี 5 ของเช้าวันอาทิตย์
เพื่อขึ้นเครื่องบินมาสอนเหมือนกัน




รักเร้นในโลกคู่ขนาน


หลายปีก่อน (มานับดูตอนนี้อาจจะเกือบ 10 ปีแล้ว)
เพื่อนผมแนะนำหนังสือของนักเขียนคนหนึ่ง ซึ่งผมไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนให้ลองอ่านดู
เขาบอกว่านักเขียนคนนี้กำลังได้รับความนิยมและงานที่เขาเขียนก็สนุกดี
ด้วยความที่อ่านอะไร(ที่สนุก) ก็ได้อยุ่แล้ว ผมจึงเริ่มลองอ่านงานของนักเขียนคนนี้ดู
ผมเริ่มจากนิยายไตรภาคของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ "ดูเหมือน" คนปกติ
แต่กลับไปพัวพันกับเรื่องราวสุดพิศดาร จนเกือบจะเพี้ยน
หลังจากผมจบไตรภาคนั้น ผมก็หางานของนักเขียนคนนี้เล่มอื่นมาอ่านต่อ
ผมอ่านงานของเขาไปหลายต่อหลายเล่มเท่าที่ผมจะหาฉบับแปลไทยได้ในตอนนั้น
ผมอ่านไปพลางมองหาความสนุกที่เพื่อนผมบอกไม่เจอ
ยิ่งหาไม่เจอก็ยิ่งทำให้ผมอ่านไปเรื่อยๆ ด้วยความอยากรู้
แต่ยิ่งอ่านก็ยิ่งมีแต่คำถามขึ้นมาในหัวเรื่อยๆ ว่าทำไม ทำไม และทำไม

ทำไมคนอื่นถึงบอกว่าสนุก ในขณะที่ผมมีแต่ความสับสน
และในตอนที่ผมจะยอมแพ้และไปหาหนังสือเล่มอื่นอ่านต่อนั้น
ผมก็พบกับงานของเขาชิ้นนึง ที่ทำให้ความรู้สึกของผมเปลี่ยนไป

หนังสือเล่มนั้นคือ Sputnik Sweetheart (รักเร้นในโลกคู่ขนาน) โดย ฮารูกิ มุราคามิ

เรื่องธรรมดาๆ เล่าโดยตัวละครที่ไม่ค่อยจะธรรมดาเท่าไหร่
ทำให้เรื่องทุกอย่างกลายเป็นเรื่องไม่ธรรมดา
ผมอ่านหนังสือเล่มนี้จบด้วยความรู้สึกประหลาด นั่นคือผมรู้สึกสนุกไปกับมัน
ผมเลยย้อนกลับไปอ่านงานของเขาใหม่หมดตั้งแต่เล่มแรกที่ผมมี
การอ่านในครั้งหลังนี้ทำให้ผมรู้สึกสนุกและเป็นแฟนคลับของนักเขียนคนนี้ไปโดยปริยาย

บางครั้งการที่เราจะเข้าใจอะไรบางอย่าง เราจำเป็นที่จะต้องเริ่มจากการไม่เข้าใจเสียก่อน

Jojo the clown


ผมมักจะเจอป้าโจโจ้ทุกครั้งที่วง มูน อลิซ มาเล่นในซานฟรานซิสโก
มูน อลิซ เป็นวงท้องถิ่นย่านเบย์ แอเรีย และเพลงที่เล่นส่วนมากจะเป็นเพลงเก่าๆ
ทำให้มีแฟนเพลงรุ่นเดอะตามกันงอมแงม ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
อากาศเย็นๆ กับเพลงเบาๆ ทำให้หลายต่อหลายคนที่ผ่านไปมาก็จะหยุดยืนฟัง
และถ้าคุณมองไปรอบๆ คุณก็จะเห็นป้าโจโจ้อยู่ท่ามกลางวงล้อมของเด็กๆ
ป้าแกมาในชุดสีฉูดฉาดประจำตัว พร้อมกับลูกโป่งเต็มรถเข็น
แล้วถ้าคุณเดินไปหาป้าแกนะ คุณก็จะได้หมาลูกโป่งกลับไปเล่นที่บ้านตัวนึงล่ะ






ที่จะขาดไม่ได้อีกคนคือลุงหนวดเคราเฟิ้มคนนี้
บอกตามตรง ตอนแรกที่ผมเห็นเขานั่งฟังเพลงอยู่
ผมคิดว่าเขาเป็นแก๊งค์มอเตอร์ไซค์ขาใหญ่ซะอีก
ดูจากการแต่งตัวใส่เสื้อกั๊กหนังและเคราเฟิ้ม
จนกระทั่งลุงแกลุกขึ้นมาแล้ววิ่งไปรอบๆ พร้อมกับปืนฉีดฟองสบู่ในมือ
ลุงแกวิ่งวนอยู่รอบๆเวที ฉีดฟองสบู่ แล้วก็วิ่งไปหัวเราะไป
จนผมอดไม่ได้ที่จะขอลุงแกถ่ายรูป ซึ่งแกก็ยังไม่ยอมหยุดฉีด


Monday, December 8, 2014

ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย



คุณเคยเดินเล่นคนเดียวในเมืองแล้วจมอยู่กับเสียงเพลงจากไอพอดของคุณไหม
หรือคุณเคยรู้สึกเหงาแม้จะมีผู้คนอยู่รอบกายไหม
ผมเคย.. เป็นบางครั้งนะ และถ้าบางครั้งคุณรู้สึกเช่นนี้เหมือนผม
หนังสือเล่มนี้อาจจะช่วยคุณได้

Norwegian wood โดย ฮารูกิ มุราคาม

ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ
คุณอาจจะถามผมว่าหนังสือเล่มนี้จะช่วยให้คุณหลุดพ้นจากความเหงา
หรือช่วยให้กำลังใจกับคุณอย่างนั้นหรือเปล่า ใช่ไหม
คำตอบคือ ไม่ และ ไม่

หนังสือเล่มนี้จะไม่ดึงคุณให้ออกมาจากความเหงา กลับกัน หนังสือเล่มนี้จะผลักคุณลงไปสู่ก้นบิ้งของความเหงา
ก้นบึ้งของความเหงา เหมือนบ่อน้ำร้างที่แห้งเหือด
เมื่อบ่อน้ำไม่มีน้ำจึงไม่มีเหตุให้ใครจะมาตักตวงอีกต่อไป
และที่ก้นบิ้งของความเหงานั้น ไม่มีอะไรรอคุณอยู่ นอกจากความเหงาเท่านั้น
และคุณก็ถูกขังไว้กับตัวความเหงาของคุณ...

พอเวลาผ่านไปสักพัก คุณก็จะเริ่มเบื่อเพราะที่นี่ไม่มีอะไรให้ทำ
ไม่มีอะไรให้ดู ไม่มีอะไรให้ฟัง ไม่มีใครที่จะมาคอยรับฟังคุณนอกจากความเหงา
คุณเลยเริ่มที่จะเป็นเพื่อนกับเจ้าความเหงานั้น
พอคุ้นเคยกันสักพัก คุณก็เริ่มรู้สึกว่าจริงๆแล้วเจ้าความเหงานี่มันก็ไม่เลวนะ
เมื่อคุณใช้เวลาทำความรู้จักกับความเหงา คุณก็จะเข้าใจความเหงา
และในตอนที่คุณรู้จักกับเจ้าความเหงาของคุณดีแล้ว คุณก็จะอ่านหนังสือเล่มนี้จบพอดี

แต่ความเหงาจะยังคงไม่ไปไหน เขาจะอยู่ติดกับคุณเสมอ
เมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกเหงา ความเหงาจะรอคุณอยู่ตรงนั้น
ไม่ว่าจะอยู่คนเดียว หรืออยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย
ถ้าคุณรู้สึกเหงา ความเหงาจะมาหาคุณ
เขาจะนั่งอยู่ข้างๆคุณ และเข้าใจโดยที่คุณไม่จำเป็นต้องพูดอะไร
ไม่มีบ่น ไม่มีวีน ไม่จำเป็นต้องโทรเรียก และไม่ต้องเสียเงินสักบาท
ความเหงาของคุณจะเป็นของคุณคนเดียวไปจนวันสุดท้าย
ก็ไม่เลวใช่ไหมล่ะ


เรื่องของอุซาโกะกับมายพอด

ในชีวิตนี้คุณมีเจ้าอุปกรณ์พกพามาแล้วกี่ชิ้น
คุณยังจำเจ้าอุปกรณ์ชิ้นที่มีความหลังกับคุณเยอะที่สุดได้หรือไม่
ซาวอเบาท์เครื่องแรกของคุณสีอะไร
เทปม้วนไหนที่คุณฟังจนยืด
ในไอพอดคุณมีเพลงอยุ่กี่ร้อยพันเพลง
และครั้งสุดท้ายที่คุณแบคอัพไอพอดของคุณคือเมื่อไหร่

แอบบอกวันนี้ของเสนอเรื่องราวดราม่าเคล้าน้ำตาของทวิตเตอร์ชาวญี่ปุ่น @kameco3
ที่บันทึกเรื่องราวของเธอและมายพอด อุปกรณ์พกพาที่ไปกับเธอแทบทุกที่

admin: TK

credit http://en.rocketnews24.com/2014/12/08/tear-jerking-illustrations-of-a-twitter-users-deteriorating-ipod-goes-viral-in-japan/

 วันหนึ่งพ่อของอุซาโกะ ได้แนะนำเธอให้รู้จักกับมายพอด
และก็เหมือนจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ทั่วไป ที่คนแปลกหน้าสองคนมาเจอกันครั้งแรก
อุซาโกะกับมายพอดต่างไม่รู้จักกัน ในช่วงแรกของทั้งสองจึงเหมือนการแนะนำตัวตนให้อีกฝ่ายรับรู้

มายพอด: เอาล่ะ ฉันน่ะร้องลำตัดเก่งนะ เพลงคลาสสิคก็ได้ เปียโนก็ยังไหว เอ หรือเธออยากจะลองฟังเพลงมาร์ชตุรกีดูไหม

อุซาโกะ : .....

 ต่อมาเมื่ออุซาโกะและมายพอดใช้เวลาด้วยกันเรื่อยๆ มายพอดจึงเริ่มจดจำว่าอุซาโกะชอบอะไร

มายพอด: อืม เธอชอบฟังเพลงแบบนี้หรอ
อุซาโกะ: ใช่แล้วล่ะ เธอช่วยจำมันไว้ด้วยนะ

 วันและคืนที่ทั้งสองได้ใช้เวลาร่วมกัน แบ่งปันช่วงเวลาดีๆนับไม่ถ้วน
แต่อย่างไรก็ตามวันที่อุซาโกะไม่คิดฝันก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

อุซาโกะ: ฉันยืมซีดีมาจากเพื่อนหลายแผ่นเลยล่ะ
มายพอด: ได้เลย เดี๋ยวฉันจะจำให้หมดเลยนะ

มายพอดเก็บเพลงใหม่ๆลงในความจำเหมือนที่เขาทำเป็นประจำ แต่แล้วในไม่กี่วันต่อมา

มายพอด: โทษทีนะ ฉันไม่รู้จักเพลงนี้ล่ะ เดี๋ยวฉันข้ามไปเล่นเพลงอื่นแทนละกันนะ
อุซาโกะ: เอ๋ แต่เธอเคยจำเพลงนี้ได้นี่


มายพอดเริ่มแสดงอาการผิดปกติ และอาเจียนสิ่งเขาเอาเข้าไปออกมา

มายพอด: ไม่มีเพลงไหนที่ฉันรู้จักเล
 
อุซาโกะ: เธอ เธอเป็นอะไรหรือเปล่า
มายพอด: ฉันไม่เป็นไร ก็แค่ ก็แค่ต้องจำเพลงพวกนี้ใหม่เท่านั้นเอง

มายพอดเริ่มสูญเสียความทรงจำไปทีละนิด และสุดท้ายมายพอดก็ลืมอุซาโกะ
อุซาโกะต้องแนะนำตัวเธอเองใหม่ทุกครั้งที่เขาเจอกัน
ตอนนี้ทั้งสองยังอยู่ด้วยกัน และใช้เวลาที่เหลืออยู่กับความทรงจำเท่าที่มี

"อย่าลืมฉันนะ"


Sunday, December 7, 2014

ออสการ์ พิคโตเรียส

หลายครั้งที่เวลานึกถึงคนที่สร้างแรงบันดาลใจ เรื่องที่ผมมักจะนึกถึงมักจะมีเรื่องของ ออสการ์ พิคโตเรียส รวมอยู่ด้วย

ออสการ์ (ขอย่อสั้นๆว่าแบบนี้ละกัน) เป็นชาวแอฟริกาใต้แต่กำเนิด
ออสการ์ใช้ชีวิตในวัยเด็กเล่นกีฬามาหลากลายชนิด ทั้งโปโลน้ำ เทนนิส มวยปล้ำและรักบี้
จวบจนเมื่อออสการ์ได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าจากการเล่นรักบี้ เขาจึงหันมาวิ่งแทน
ออสการ์เริ่มสะสมชื่อเสียงจากการวิ่งมาด้วยการกวาดรางวัลต่างๆมากมาย
จนกระทั่งออสการ์ได้ไปแข่งโอลิมปิกในนามทีมชาติแอฟริกาใต้
เรื่องของออสการ์ก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องของนักกีฬาทั่วไป
ที่อาศัยความพยายามฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อที่จะไปถึงเป้าหมาย
สิ่งที่ออสการ์แตกต่างจากนักวิ่งโอลิมปิกคนอื่นคือ

ออสการ์ไม่มีขา

ออสการ์เกิดขึ้นพร้อมกับโรคที่ติดตัวมาคือโรค Fibular Hemimelia ที่ขาทั้ง 2 ข้าง
นั่นคือออสการ์ไม่มีหน้าแข้ง เมื่อเขาอายุ 11 เดือนจึงได้รับการผ่าตัดส่วนที่เกินออก
ทำให้ออสการ์มีส่วนขาแค่ถึงใต้หัวเข่าเท่านั้น
ขาเทียมที่ออสการ์ใช้ในการวิ่งนั้นนั้นมีลักษณะเป็นเหมือนแผ่นเหล็กบางๆ มากกว่าขาเทียมที่เราเห็นกันทั่วไป
และด้วยความเร็วของออสการ์ ทำให้เขามีฉายาว่า Blade Runner

https://www.youtube.com/watch?v=DAzK1GQUtC8
ออสการ์เป็นพรีเซนเตอร์ให้กับ Nike ในโฆษณาหลายๆชุด
หนึ่งในโฆษณาที่ผมดูแล้วรู้สึกได้รับแรงบันดาลใจมากที่สุดคือ
โฆษณาชุด "Bad listener" ของ Nike

หลังจากออสการ์ลงแข่งพาราลิมปิกเกมส์ (การแข่งขันกีฬาสำหรับคนพิการ) และได้รับเหรียญทองในการแข่งขันหลายครั้ง
เขาจึงขยับเข้าหาเป้าหมายที่ใกล้ขึ้นอย่าง โอลิมปิกเกมส์
ตอนที่ออสการ์ตัดสินใจจะลงโอลิมปิกเกมนั้น มีเสียงคัดค้านมาจากหลายทาง
บ้างก็ว่าออสการ์น่าจะจัดอยู่ในประเภทกีฬาคนพิการ บ้างว่าไม่เหมาะสม
และบ้างว่า ออสการ์ได้เปรียบเหนือผู้แข่งขันคนอื่นเพราะขาเทียม
สุดท้ายแล้วออสการ์ก็ได้ไปแข่งกีฬาโอลิมปิกที่ลอนดอนเมื่อปี 2012
แม้ผลงานจะไม่เข้าเป้าตามที่หมายไว้ ทีมชาติแอฟริกาใต้ทำผลงานไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
แต่ออสการ์ก็ได้รับการจารึกในฐานะนักกีฬาวิ่งคนแรกที่เข้าแข่งโอลิมปิกโดยไม่มีขา

เรื่องที่เล่ามาทั้งหมดน่าจะจบลงที่ตรงนี้
หลังจากออสการ์กลับจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก
เขาก็มุ่งมั่นกับการฝึกซ้อมต่อ และกลับมาได้รับชัยชนะในโอลิมปิกครั้งถัดไป
แต่เรื่องจริงคือ หลังจากจบการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกไม่นาน
ออสการ์ก็ก่อเหตุฆาตกรรมขึ้น

ออสการ์ให้การว่าเขาตื่นขึ้นมากลางดึก ได้ยินเสียงผิดปกติ
ทำให้คิดว่ามีคนบุกเข้ามาในบ้านของเขา เขาจึงเดินไปดู
และตัดสินใจชักปืนยิงผู้ต้องสงสัย ซึ่งต่อมาจึงเห็นว่าเป็นแฟนสาวของเขาเอง
คดีของออสการ์ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนทั้งหลาย
เนื่องด้วยออสการ์เองเป็นคนดัง และแฟนสาวของเขาก็เป็นนางแบบ
เรื่องราวส่วนตัวของออสการ์จึงถูกขุดคุ้ยขึ้นมา ทั้งความเป็นคนเจ้าอารมณ์และรุนแรง
หรือประวัติการใช้กำลังทำร้ายร่างกาย และการพกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต
ท้ายที่สุด ออสการ์ได้รับคำพิพากษามีความผิดฐานฆาตกรรมและต้องโทษจำคุก 5 ปี

เรื่องราวของออสการ์จึงเป็นเรื่องหนึ่งที่ผมนึกถึงเสมอเวลาหาแรงบันดาลใจว่า
ที่สุดแล้วจะดีเลิศแค่ไหน ทั้งเขาและเราก็ยังเป็นคนธรรมดาที่ไม่สมบูรณ์แบบอยู่เหมือนกัน





Tuesday, December 2, 2014

อย่าเพิ่งบ่น

สมัยเรียน ป.ตรีที่ไทย ผมเรียนที่คณะสถาปัตย์ จุฬาฯ
ช่วงนั้นผมเรียนๆเล่นๆด้วยความที่มีกิจกรรมในมหาลัยมากมาย
ทำให้หลายครั้งไปโฟกัสกับสิ่งอื่นมากกว่าการเรียน
หลายครั้งทำงานแบบพอส่ง ทำให้เสร็จตามกำหนดการ
และด้วยตารางเรียนที่แน่นเอี๊ยดทุกวัน (จ-ศ)
ทำให้หลายครั้งงานที่ทำออกมาลวกๆ
ในตอนนั้นผมคิดว่าไม่เป็นไร งานสไตล์ใครสไตล์มัน

จวบจนมาเรียนต่อ ป.โท ที่อเมริกา
ครั้งแรกที่ได้เห็นตารางเรียนถึงกับตะลึง
เพราะเทอมนึงเรียนแค่ 3 ตัวเท่านั้น
คืออาทิตย์นึงเข้าเรียนแค่ 3 ครั้ง นอกนั้นว่าง
ในใจตอนนั้นผมคิดว่า อะไรมันจะเรียนน้อยขนาดนี้(วะ)
จนมาภายหลังถึงได้รู้ว่า ที่ว่าเวลาเรียนแค่ 3 ตัวน่ะ
เวลาที่เหลือเขาให้ไว้ใช้ทำงาน

สาขาที่ผมเรียนคือสาขาอนิเมชั่น ซึ่งผมเน้นไปที่การทำโมเดลเป็นหลัก
แม้ตามตารางจะเข้าเรียนแค่ 3 ครั้ง แต่ผมไปโรงเรียนทุกวันรวมถึงวันเสาร์-อาทิตย์
ซึ่งที่ไปก็ไม่ได้ไปเรียนหรอก แต่ไปนั่งทำงานในแลป
ผมจะไปถึงโรงเรียนราวๆ 9 โมง เพื่อที่จะได้นั่งโต๊ะที่มีคอมพิวเตอร์แรงๆ
และลากยาวไปถึง 5 ทุ่มครึ่ง เพื่อที่จะเดินทางกลับบ้านด้วยรถไฟเที่ยวสุดท้าย
ชีวิตตอนเรียน ป.โทของผมเป็นแบบนี้ และเพื่อนของผมก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน
งานสายอนิเมชั่น เป็นสายเน้นสกิล ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการฝึกสกิลของเราให้ดี

หลายครั้งที่งานออกมาไม่ได้ดั่งใจ
ผมจะหันไปมองเพื่อนหรือใครก็ไม่รู้ในแลปที่ทำงานออกมาดี
และคิดกับตัวเองว่า เราจะต้องทำแบบนั้นให้ได้
ผมพยายามจะไม่บ่นให้มาก โดยการตั้งคติในใจว่า

"อย่าเพิ่งบ่น ถ้ายังทำไม่ถึง 100 ครั้ง"

ทำไมถึงต้องอย่าเพิ่งบ่น
ผมคิดว่าถ้าเราเริ่มทำอะไรก็ตามแล้วเริ่มบ่น จะด้วยเหตุอะไรก็ตาม
การบ่นตอนนั้นจะทำให้เราท้อ ยิ่งบ่นเยอะยิ่งเห็นถึงความลำบากในการทำงาน
พอรู้สึกลำบากมากๆเข้าก็จะเริ่มท้อและพาลล้มเลิกความตั้งใจนั้นเสีย

ส่วนที่ว่าทำไมถึงต้อง 100 ครั้ง
ผมคิดว่าถ้าคุณทำอะไรก็ตามซ้ำๆ ไปจนชำนาญ
ทำไปจนรู้ว่าอะไรมันน่าจะเป็นยังไง ปัญหานี้น่าจะแก้ยังไง
ในตอนนั้นคุณอาจทำงานได้คล่องมากขึ้น เก่งมากขึ้น
และปัญหาที่เกิดขึ้นก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงของคุณ
ซึ่งเมื่อคุณทำได้ดีขนาดนั้นแล้ว คุณก็จะเลิกบ่น

ทุกวันนี้ผมยังจำและใช้เจ้าคติที่ว่านี้ในกับทุกๆเรื่อง
แม้ชั่วขณะที่พิมพ์เรื่องนี้อยู่ก็ตาม ผมก็ยังคิดอยู่เสมอว่า

อย่าเพิ่งบ่น ถ้ายังเขียนไม่ถึง 100 เรื่อง
อย่าเพิ่งบ่น ถ้ายังวาดไม่ถึง 100 มุข
อย่าเพิ่งบ่น ถ้ายังส่งไม่ถึง 100 สำนักพิมพ์
และอย่าเพิ่งบ่น ถ้ายังอยากเขียน

ปล. ในภาพเป็นสมัยที่ทำงานที่อเมริกา ช่วงนั้นทำแต่โปรเจคเกมม้านานไปหน่อย