Sunday, May 31, 2015

ริโก้





น้องริโก้ สอยมือสองจากแดนไกล
สภาพปานกลางค่อนไปทางพอไหว
ราคาพอประมาณ พอเหมาะกับการใช้อย่างไม่ต้องระวัง
ก็หวังว่าจะถ่ายรูปได้สักวันละรูปนะ

Saturday, May 30, 2015

รถเมล์






สำหรับผมแล้ว การนั่งรถเมล์ก็เป็นการทำสมาธิอย่างหนึ่ง
เวลาขึ้นรถเมล์ คุณไม่ต้องคิดอะไรมากมาย
แค่รู้ว่าสายไหนไปถึงไหนบ้างแค่นั้นก็พอ
เมื่อกำหนดจุดหมายปลายทางได้แล้ว
คุณก็แค่ก้าวเท้าขึ้นรถ ชำระค่าโดยสารให้เรียบร้อย
จากนั้นก็แค่นั่งรอ...

ไม่ต้องคิดว่ารถจะติด ไม่ต้องคิดว่าจะไปทางไหนถึงจะเร็วที่สุด
สิ่งเหล่านี้กลายเป็นสิ่งที่คุณไม่สามารถควบคุมได้
เหมือนตกอยู่ในสภาวะช่วยตัวเองไม่ได้ชั่วขณะ
ปล่อยภาระเหล่านั้นให้กับคนขับรถเขาจะสรรหาวิธีแก้เองเถอะ
สิ่งเดียวที่คุณทำได้ก็แค่นั่งรอ จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง
เท่านั้นก็พอแล้ว

Thursday, May 7, 2015

เซเว่น

เมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมามีร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น มาเปิดใหม่ตรงหน้าปากซอย
โดยหน้าร้านอยู่ติดกับบันไดขึ้นรถไฟฟ้ากันเลยทีเดียว เรียกว่าถ้าฝนตกก็ลงมาแล้วเข้าไปหลบฝนในเซเว่นได้ทันที
การที่จะมีร้านเซเว่นอยู่ในย่านชุมชนก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะปากซอยไหนๆก็มีร้านเซเว่นอยู่แล้ว
แต่ร้านเซเว่นที่เปิดใหม่นี้อยุ่ห่างจากร้านเซเว่นเดิมแค่ไม่กี่สิบก้าว
ซึ่งนับเป็นเซเว่นร้านที่ 5 และเป็นร้านสะดวกซื้อร้านที่ 8 ในรัศมี 500 เมตรนี้เช่นกัน

เซเว่นร้านที่ว่านี้ เป็นร้านที่ได้รับการออกแบบมาใหม่ มองเผินๆจะไม่เหมือนร้านเซเว่นที่เราคุ้นเคย
ไล่ตั้งแต่ป้ายหน้าร้านและการตกแต่ง มีซุ้มทำกาแฟสด และขนาดของร้านที่โอ่โถ่งและสว่างจ้า
ข้างในดูสะอาดแต่อาจจะเป็นเพราะเพิ่งเปิดได้ไม่นาน นอกนั้นสินค้าข้างในก็คล้ายๆกับเซเว่นทั่วไป

ร้านเซเว่นร้านเก่านั้น มีตู้เอทีเอ็มอยู๋หน้าร้านซึ่งมักจะมีเจ้าหมาอ้วนมานอนตรงขั้นบันไดเสมอ
ทำให้เวลาคนจะมากดเงิน ต้องเอี้ยวตัวไปด้วยความเกรงใจหมาอ้วนตัวนั้น
หน้าร้านมีป้ายรถเมล์ กับม้านั่งเหล็กสีเขียวอยู่ 2 ตัว ทำให้มีคนมารอตรงหน้าร้านเป็นประจำ
ยิ่งในช่วงเวลามืดค่ำ แสงไฟจากหน้าเซเว่นก็เป็นที่พึ่งทางใจของคนที่มารอรถเมล์อยู่เสมอ
ผมเองยังเคยอาศัยแสงไฟจากเซเว่นนั่งคุยกับเพื่อนที่ม้านั่งริมถนนกันตอนดึกดื่นเที่ยงคืน

ร้านเซเว่นใหม่นั้น อยู่ติดกับทางเข้าของหอพักชาวต่างชาติ
เป้าหมายหลักของร้านนี้จึงอาจจะเป็นกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ที่ออกมาซื้อของยามดึกดื่น
เรียกได้ว่าแค่ออกจากตึกแล้วเลี้ยวปุ๊บก็ถึงเลย ไม่ต้องเดินต่อไปถึงเซเว่นร้านเก่า
นักท่องเที่ยวที่แวะมาก็มักจะมาจบเป้าหมายที่เซเว่นร้านใหม่นี้กันหมด
เป็นการปิดโอกาสเซเว่นร้านเก่าไปอย่างเนียนๆ แต่ก็ใช่ว่าเซเว่นร้านเก่าจะเงียบเหงา
เพราะเซเว่นทั้งสองแห่งนี้ก็มีลูกค้าแวะเวียนเข้าไปอยุ่เสมอ
ลูกค้าประจำอาจจะชินกับเซเว่นร้านเก่ามากกว่า ส่วนลูกค้าขาจรอาจจะเข้าอันที่ใหม่และดูสะอาดกว่า
ส่วนตัวผมเองก็แวะเข้าทั้งสองเซเว่น โดยคิดไปเองว่าเซเว่นทั้งสองนี้ต้องมีอะไรที่อีกเซเว่นนึงไม่มี
แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ยังหาความต่างของสินค้าในร้านไม่เจอ ตำแหน่งชั้นวางอาจจะต่างกัน
แต่สินค้าโดยรวมแล้วก็เหมือนกันแทบทุกประการ

มีเพียงสิ่งเดียวที่เซเว่นใหม่ ยังไม่มีเหมือนเซเว่นร้านเก่าคือ
เซเว่นร้านใหม่ยังไม่มีหมาประจำร้าน อาจจะเพราะหมาเป็นสัตว์หวงถิ่น
หากมีหมาประจำเซเว่นใหม่มาอยู่ หมาเจ้าถิ่นที่อยู่ตรงเซเว่นเก่าอาจจะออกอาการโวยวายได้
ว่าแล้วก็น่าคิดไปว่า ทางเซเว่นน่าจะเอามาตราการนี้มาวัดระยะห่างในการเปิดเซเว่นแห่งใหม่
โดยในชุมชนไหนที่มีเซเว่นอยู่แล้ว เซเว่นแห่งถัดไปก็น่าจะอยู่ห่างชั่วระยะถิ่นหมา
หมาจรจัดก็จะได้มีที่พักพิงเป็นหลักแหล่ง เซเว่นสองแห่งก็จะได้ไม่อยู่ใกล้กันมากนัก
หมามีความสุข คนก็มีความสุข


งานเขียน

หลังจากส่งต้นฉบับเรื่องเล่าจากซานฟรานซิสโกไปประมาณ 3 สำนักพิมพ์
โดยส่งทีละสำนักพิมพ์ แต่ล่ะที่ใช้เวลาพิจารณาราวๆ 3-4 เดือน
รวมแล้วกินเวลาทั้งหมดไปเกือบๆปี มาวันนี้ก็ได้รับเมลตอบกลับจาก อะบุ๊คว่า...
หนังสือไม่ตรงกับแนวของสำนักพิมพ์
ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็เป็นที่เดียวที่ตอบกลับมา

การเขียนหนังสือนี่มันเป็นงานที่ใช้ความอดทนจริงๆ ทั้งอดทนเขียนจนจบ
และอดทนจนกว่าจะมีสำนักพิมพ์ที่ถูกใจทั้งเราและเขา และอดทนต่อความผิดหวังซ้ำซาก
ในวันที่ความผิดหวังถาโถมเข้าใส่ เราก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากฝึกให้มากกว่านี้
หรือไม่ก็ยอมแพ้ซะ แค่นั้น

* เฟลติดๆกันอีกเรื่องในวันเดียว คือสมัครโครงการเขียนบทไป แต่ไม่ผ่านแม้แต่รอบแรก
หรือว่านี่เป็นสัญญาณบอกอะไรบอกอย่างกันนะ

Tuesday, May 5, 2015

เรื่องขี้ๆ 1

เย็นวันหนึ่งขณะที่กลุ่มเพื่อนๆกำลังนั่งเล่นกันอยู่ที่บันไดหน้าคณะสถาปัตย์ กิ๊บกับปิติก็เดินเข้ามาจากประตูหน้าคณะฯ
กิ๊บซึ่งยิ้มระรื่นก็รีบเดินเข้ามาหากลุ่มเพื่อนพร้อมเอ่ยปากว่า "เอ้ย กูมึเรื่องตลกจะเล่าให้ฟัง"
ปิติซึ่งเดินมาพร้อมกับไอ้กิ๊บจึงหันหน้าไปหาไอ้กิ๊บแล้วด่าว่า "มึงนี่โคตรเหี้ยเลย" แล้วก็เดินหลบไป
ซึ่งสร้างความงุนงงให้กับเพื่อนๆที่นั่งกันอยู่หน้าคณะฯ ว่าเรื่องมันเป็นยังไงมายังไง ทำไมจู่ๆปิติถึงไปด่าไอ้กิ๊บเข้า
กิ๊บซึ่งหน้าตาไม่ได้รู้สึกรู้สากับคำท้วงของปิติก็เริ่มตั้งหน้าตั้งตาเล่าเรื่องตลกที่เพิ่งไปเจอมา
"คืองี้เว้ย เมื่อกี้กูไปดูหนังมากับปิติแล้วก็ไอ้เม้งมา" กิ๊บเปิดฉากเล่าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
"อ้าว แล้วไอ้เม้งไปไหน" เพื่อนสักคนถาม
"มึงฟังให้จบก่อนดิ่ อย่าเพิ่งขัด" กิ๊บโวย
"คือพอดูหนังเสร็จ พวกกูก็เดินกลับมาคณะฯกัน ก็เดินไปคุยไปเรื่องหนังกันตามปกติหลังดูจบนี่ล่ะ"
"แล้วทีนี้ ไอ้เม้งแม่งคุยๆอยู่ดีๆ แม่งรีบเดินอย่างไวทิ้งพวกกูเฉยเลย" กิ๊บเล่าต่อ
"แล้วมันไปไหนแล้ววะ" เพื่อนคนเดิมถามอีก
"มึงนี่ก็อย่าขัด ฟังกูก่อนสิ" กิ๊บบ่นแล้วเล่าต่อ
"เม้งมันรีบเดินจ้ำเอาๆ สีหน้าแม่งเครียดมาก พวกกูก็วิ่งตามมันนึกว่ามันไปโกรธอะไรใครขึ้นมา"
"กูก็วิ่งตามมันถามมันเป็นเชี่ยไรๆ มันก็หันมาถามกูว่าที่ตึกไอดีมีห้องน้ำป่าววะ อยู่ตรงไหน"
"อ๋อ คือแม่งอยากจะเข้าห้องน้ำ"
"เออ พอกูบอกว่ามีแล้วบอกมันว่าอยู่ข้างในตึก แม่งรีบเดินหนีบลิ่วเข้าไปเลย แล้วไล่ให้พวกกูเดินกลับคณะไปก่อน"
"อ้าว แล้วมึงทำไงวะ"
"กูก็รีบตามมันเข้าไปในตึกไอดีสิ นึกว่าแม่งเป็นอะไร" กิ๊บตอบ
"พอเข้าไปในตึกไอดีเสร็จ ไอ้เม้งแม่งหายไปเลย พวกกูตามมันไม่ทัน"
"เออ แม่งหลงแน่เลย ตึกนี้มันซับซ้อนคนนอกเข้าไปงงกันหมด" เพื่อนไอดีผสมโรง
"กูกับปิติก็เดินตามหามัน ตะโกนเรียกมัน จนได้ยินเสียงแม่งตอบมาจากห้องน้ำ" กิ๊บเล่าต่อ
"แล้วมึงทำไงวะ"
"กูกับปิติก็เลยไปที่ห้องน้ำเว้ย แล้วก็เลยปีนดูมัน"
"เชี่ย อะไรของพวกมึงเนี่ย แล้วมันทำไงวะ"
"เม้งมันก็เอาทิชชู่ที่เปื้อนจะมาป้ายพวกกูเว้ย กูเลยหลบลงมา" กิ๊บทำท่าชะโงกหลบ
"แล้วกูกับปิติจะออกไปรอข้างนอก เม้งแม่งก็พูดเสียงอ่อยๆออกมาว่า หาถุงให้หน่อย"
"หาถุงให้หน่อย" เพื่อนๆถามด้วยความสงสัย
"เออ หาถุงให้หน่อย พวกกูก็ถามว่ามันจะเอาถุงไปทำอะไรแม่งก็ไม่ตอบ จนเค้นอยู่นานกว่าแม่งจะตอบ"
"แล้วมันว่าไงวะ"
"เม้งแม่งตอบเสียงอ่อยๆออกมาว่า เอาไปใส่กางเกงนายยยย" กิ๊บเล่าให้ฟังด้วยสีหน้าภูมิใจ
"พอขำเสร็จกูก็เลยเดินออกไปหา ทีนี้แม่งหาไม่มีเลยวันนั้น ก็ไปรื้อๆร้านข้าวใต้ตึกดู เจอกล่องโฟม กูก็เลยหยิบไปให้มัน"
"กล่องโฟมใส่ข้าวอ่ะนะ"
"เออ กล่องโฟมใส่ข้าวนั่นล่ะ"
"แล้วไงต่อวะ"
"พอกูยื่นกล่องโฟมให้มันเสร็จ สักพักแม่งก็ค่อยๆเปิดประตูห้องน้ำออกมา มือหนึ่งพยุงเป้ส่วนอีกมือก็ประคองกล่องข้าวไว้" กิ๊บทำท่าประกอบการเปิดประตูห้องน้ำของเม้ง
"อืม แล้วมึงเอากล่องโฟมไปทำไรต่อวะ"
"ก็เอาไปทิ้งดิ่ ทิ้งในถังขยะนี่ล่ะ" กิ๊บเล่าไปขำไป
"แล้วเม้งมันไปไหนแล้ววะ"
"พอทิ้งกล่องโฟมเสร็จ ไอ้เม้งแม่งเดินออกจากไอดี เรียกแท๊กซี่กลับบ้านเลยเว้ย" กิ๊บตอบ
"เชี่ย แล้วไอ้เม้งมันไม่พูดอะไรเลยหรอวะ"
"เอ้ยๆ มันมีพูดก่อนขึ้นแท๊กซี่นะ" กิ๊บนึกขึ้นได้
"พูดว่าไรวะ"
"เม้งมันบอกกูว่า อย่าไปเล่าให้ใครฟังนะ"
กิ๊บนี่โคตรเหี้ยเลย

พ้ง #1

ที่คณะสถาปัตย์ฯ เราใช้เวลาเรียนตามปกติทั้งหมด 5 ปี ในขณะที่คณะอื่นๆนั้น (ยกเว้น หมอ เภสัช) จะใช้เวลา 4 ปี ในการจบการศึกษาแบบปกติ
วิชาที่เรียนส่วนมากจึงเป็นวิชาในคณะ นอกจากเวลาเรียนแล้วที่เหลือจึงเป็นเวลาทำงาน
ช่วงชีวิตวัยเรียนส่วนมากชาวถาปัตย์จึงมักจะหมกตัวอยู่แต่ในคณะกันเป็นส่วนใหญ่
การพบปะเพื่อนต่างคณะจึงเป็นเรื่องที่ต้องตั้งใจนิดหนึ่ง ทั้งในเรื่องของเวลาและโอกาสที่จะได้เจอเพื่อนใหม่ต่างคณะ
ดังนั้นแล้วการเดินอ้อยอิ่งชมนกชมไม้ระหว่างเดินทางไปกินข้าวต่างคณะจึงเป็นกิจกรรมยอดนิยมยามว่างเสมอ
แต่มีกุศโลบายอย่างหนึ่งที่ทำให้ชาวคณะได้มีโอกาสไปเปิดหูเปิดตานอกคณะโดยความจำเป็น
กุศโลบายที่ว่าคือ การไปเรียนวิชาเลือกนอกคณะ

ตอนนั้นเป็นช่วงภาคเรียนฤดูร้อน ผมและเพื่อนๆในกลุ่มซึ่งมีพ้งอยู่ด้วย
ได้พากันไปเรียนวิชาเลือกตัวนึงด้วยกัน นัยว่ามาเป็นกลุ่มอย่างน้อยก็น่าจะช่วยกันดันกันขึ้นไปได้ล่ะนะ
วิชานั้นคือ Our body เป็นวิชาในหมวดวิชาเลือกนอกคณะ
ผมจำไม่ได้ว่าทำไมเราถึงเลือกเรียนวิชานี้กัน อาจจะมีรุ่นพี่แนะนำ หรืออาจจะลงตามๆกันมา
แต่เอาเป็นว่าทุกคนเห็นพ้องตรงกัน เราจึงยกโขยงกันไปเรียนที่ตึกของคณะเภสัชฯ
การเปลี่ยนบรรยากาศการเรียนย่อมดีเสมอ ยิ่งอยู่ในช่วงฤดูร้อนเสียด้วย ทำให้คลายความเบื่อของการเรียนไปได้เยอะ
ยิ่งเจอบรรดาเพื่อนนิสิตหน้าใหม่ๆ สดใสๆ ยิ่งทำให้ฤดูร้อนของเหล่าวัยรุ่นยิ่งโหมกระพือขึ้น
ถ่านไฟยิ่งถูกลมตีก็ยิ่งร้อน #พ้งเองก็เช่นกัน
จิตใจวัยรุ่นหนุ่มแรกแย้มที่มาจากโรงเรียนชายล้วนก็ถูกความร้อนแรงของชีวิตหนุ่มสาวกระพือขึ้น

และในฤดูร้อน ปี 2543 ที่คาบแรกของชั้นเรียนวิชา Our body ที่คณะเภสัชฯ
หัวใจของพ้งที่เปื้อนเหงื่อไคลและกล้ามเนื้อชายหนุ่มมา 18 ปี ก็ถูกสั่นคลอนด้วยสาวคนหนึ่ง
เธอคนนั้นเป็นนิสิตสาวต่างคณะ ไม่ปรากฏชื่อเสียงเรียงนาม มีแค่นิยามจากพ้งสั้นๆว่า น่ารัก ขาว ผมยาว
เพียงแค่นั้นก็สามารถกระชากหัวใจชายหนุ่มไปได้ในพริบตาแรก และหลังจากนั้นพ้งก็มีเป้าหมายในการมาเรียนเพิ่มขึ้น
ทุกๆครั้งในคาบวิชานั้น พ้งจะนั่งที่เก้าอี้ริมทางเดินตัวเดิม ในชุดเสื้อเชิ้ตขาวพับแขน กับกางเกงสแลคบ้าง ยีนส์บ้างอย่างเรียบร้อย
ผมเผ้าที่ไม่เคยหวียังไงก็ยังไม่เคยหวีอย่างนั้น แต่ดูมีความสะอาดเพิ่มขึ้น
และเมื่อคาบเรียนนั้นเริ่มขึ้น นอกจากการฟังเสียงอาจารย์ผู้สอนแล้ว
พ้งก็มักจะชำเลืองมองไปทางสาวคนนั้นอยู่บ่อยครั้ง

เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้จนถึงการสอบปลายภาค
เมื่อภาคฤดูร้อนนี้หมดไป เทอมใหม่ก็จะเริ่มต้นขึ้น
นั่นแปลว่าหลังจากการสอบนี้เสร็จสิ้น เราจะแยกจากบรรดานิสิตต่างคณะเหล่านี้
โอกาสที่จะได้เจอกันคงไม่มากถ้าไม่ได้รู้จักกัน ช่วงเวลานี้จึงเป็นโอกาสสุดท้ายของพ้งที่จะได้เจอสาวคนนั้น
ขณะที่เพื่อนๆจับกลุ่มคุยกันอยุ่นั้น สาวคนนั้นก็เดินผ่านมากับเพื่อนของเธอ
เธอเดินออกจากประตูคณะเภสัชไปทางสยาม และทันทีที่เธอข้ามถนนไปยังอีกฝั่ง
พ้งก็ลุกขึ้นยืนโดยไม่พูดอะไร แล้วออกเดินดุ่มๆไปทางสาวคนนั้น
พวกเรามองพ้งก้าวเท้าอย่างเร่งรีบ พลางลุ้นว่าพ้งจะตามเธอทันก่อนที่เธอจะหายไปกับฝูงคนในสยามสแควร์ได้หรือไม่
บรรยากาศในตอนนั้นเหมือนผู้คนรอบตัวพ้งหยุดนิ่ง มีเพียงพ้งเท่านั้นที่เคลื่อนไหวฝ่ากาลเวลา
ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของนีล อามสตรองที่ว่า "ก้าวเล็กๆของคนๆหนึ่ง แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ"
และตอนนี้พ้งกำลังก้าวข้ามก้าวที่ว่านั้นอยู่ด้วยฝีเท้าที่ซอยยิกๆ เพราะสาวคนนั้นเริ่มเดินไปไกลแล้ว

พวกเรามองพ้งวิ่งลับประตูคณะเภสัชฯไป พลางส่งสายตาเพื่อเป็นกำลังใจให้กับพ้ง
เพื่อนหลายคนนับถือในความกล้าของพ้งที่ไม่รู้วันนั้นมันไปกินอะไรมา และเริ่มจับกลุ่มพูดคุยกันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
คนที่ไม่รู้เรื่องราวมาก่อนก็ซักไซร้ไล่เรียงให้คนที่รู้ขยายความมา
แต่ยังไม่ทันที่ไอ้คนที่รู้ตั้งแต่ต้นจะเล่าเรื่องราวให้คนที่เพิ่งรู้เข้าใจเหตุการณ์จนจบ พ้งก็เดินกลับมา
"อ้าว ทำไมกลับมาเร็วจังวะ" เพื่อนในกลุ่มทักพ้ง
"เออ กลับมาแล้ว" พ้งตอบพร้อมฉีกยิ้มกว้าง
"แล้วยังไง คือมึงวิ่งตามเขาไป"
"ใช่ คือกูอยากรู้จักเขาไง" พ้งตอบพร้อมยิ้มกว้างเกือบถึงรูหู
"เชี่ย แล้วยังไง มึงได้รู้จักเขาไหมวะ" เพื่อนๆพากันระดมซัก
"รู้สิ เขาชื่อเปิ้ลนะ" พ้งตอบพลางบิดตัวเกือบครบรอบ
"เหยดดดดดดดดด พ้งแม่งแน่เว้ย" เพื่อนๆพากันเฮให้กับความสำเร็จของพ้ง
"แล้วไงต่อๆ" ความอยากรู้ผลักให้ใครสักคนถาม
"เขาชื่อเปิ้ล อยู่ปีสอง มาเรียนวิชานี้เป็นวิชาเลือกเหมือนกัน" พ้งตอบแล้วบิดตัวไปทางซ้าย
"เออ แล้วไงต่อ" เพื่อนๆพากันลุ้นว่าพ้งจะกล้าขอเบอร์โทรศัพท์หรือเปล่า
"อ๋อ พอเขาบอกว่าอยู่ปีสองเสร็จ กูก็เลย" พ้งพูดพลางบิดตัวกลับมาอีกด้าน
"เออ มึงก็เลยขอเบอร์อ่ะ"
"กูก็เลยยกมือไหว้เขา แล้วเดินออกมา" พ้งตอบพร้อมยิ้มตาหยี
ขณะที่เพื่อนๆกำลังอึ้งและทึ่งว่าพ้งสามารถเปลี่ยนสถานะจากเพื่อนมาเป็นพี่ได้อย่างรวดเร็ว พ้งก็กล่าวสรุปสั้นๆว่า
"แต่ยังดีนะ พอกูถามว่าผมจะได้เจอพี่อีกไหม เขาก็ตอบว่าถ้ามีบุญก็คงได้เจอ" แล้วพ้งก็ยิ้มตาหยีและขำให้กับตัวเอง
สาธุ...