Tuesday, October 28, 2014

Angkor #7: กลับบ้าน


พอ 9 โมงครึ่ง รถแท๊กซี่ที่ผมจองไว้ตั้งแต่เมื่อวานก็มารอรับที่หน้าโรงแรม หลังจากเช็กเอาท์เรียบร้อยแล้ว คนขับก็พาผมไปที่รถแท๊กซี่ รถแท๊กซี่ที่นี่ไม่มีมิเตอร์และไม่มีแม้แต่ป้ายแท๊กซี่ แต่ที่นี่รถแท๊กซี่ทุกคันจะเป็นรถยนตร์โตโยต้ารุ่นแคมรี่ แต่รถแคมรี่ทุกคันจะเป็นแท๊กซี่หรือเปล่าอันนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน

เราใช้เวลาในการเดินทางจากเสียมเรียบมาถึงปอยเปตประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง หลังจากร่ำลากับคนขับรถเรียบร้อยแล้วผมก็ถูกจู่โจมจากหนุ่มร่างใหญ่ทันทีที่ก้าวขาลงจากรถ
"ไปกรุงเทพไหมน้อง นั่งรถตู้กลับเลยนะ" เขาถาม
"เท่าไหร่หรอครับ" ผมตอบ
"คนละ 250 ไปลงที่อนุสาวรีย์ฯเลยนะ" ชายคนนั้นตอบ

แต่ผมยังไม่ได้คิดจะกลับกรุงเทพทันที ด้วยว่าอยากเดินเล่นที่ตลาดโรงเกลือและแวะเข้าไปดูว่าบ่อนที่ปอยเปตเป็นยังไง จึงบอกปฎิเสธเขาไป หนุ่มร่างใหญ่ให้นามบัตรผมไปพร้อมกับบอกว่าถ้าเปลี่ยนใจจะกลับก็ให้โทรหาเขาเบอร์นี้เลย

ผมกล่าวขอบคุณแล้วเดินจากมา อันดับแรกก็ต้องออกจากฝั่งเขมรก่อนสินะ ผมเดินไปที่ ตม.ขาเข้าของเขมร และยังไม่ทันที่จะเดินเข้าไปต่อคิวใต้อาคาร พนักงานในชุดสีน้ำตาลก็เดินเข้ามาหาผมทันที
"คนไทยรึเปล่าน้อง"
"ครับ คนไทยครับ" ผมตอบด้วยความงงว่านี่มันอะไร
"เข้าฝั่งไทยใช่มั้ย ต่อคิว ตม.ตรงนั้นนานนะ" เขาบอกผมและชี้ไปที่แถวที่มีคนอยุ่พอควร
"อืม นั่นสิ" ผมย้อนคิดไปถึงตอนขามาว่ามันใช้เวลานานขนาดไหน แต่บางทีขากลับอาจจะเร้วกว่าก้ได้
"ให้ผมจัดการให้ไหม คิด 2 คนรวม 300 เท่านั้นเอง" เขาเสนอ

หลังจากลังเลกันอยุ่สักพัก ผมก็หลวมตัวติดความสบายไปด้วยการตกลงให้เขาจัดการ พนักงานในชุดสีน้ำตาลรับพาสปอร์ทของเราพร้อมกับเงิน 300 บาทแล้วเดินหายไป และชั่วเวลาไม่นานผมก็ได้ใบประทับตราตม. มาเรียบร้อยและเราก็เดินออกจากฝั่งเขมรได้ในเวลาไม่นาน เมื่อเข้ามาเขตแดนร่วมได้ผมก็ลองมองหาบ่อนคาสิโนซึ่งก็ไม่ยากเลย เพราะคุณต้องเดินผ่านบ่อนคาสิโนที่ขนาบอยู่ทั้ง 2 ฝั่งก่อนจึงจะกลับเข้าสู่ฝั่งไทยได้

หลังจากฝากกระเป๋าไว้ที่แผนกต้อนรับ เราก็เดินเข้าบ่อนคาสิโนแห่งหนึ่งที่ติดกับโรงแรม ภายในบ่อนคาสิโนนั้นมีสภาพเป็นโถงกว้างๆ มีตู้เกมแบบคอมพิวเตอร์เรียงรายกันอยุ่เป้นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีโต๊ะพนันแบบที่มีคนเป้นเจ้ามือจริงๆอยู่ด้วย ผมลองนั่งที่ตู้เกมแบบคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งดู และในเวลาไม่นานก้มีพนักงานสาวเดินมาแนะนำวิธีเล่นให้ โดยผมเริ่มจากเล่นตาละ 1 บาท และชั่วเวลาไม่นานเงิน 100 บาทแรกก็หายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงมีใบที่ 2 และ 3 ตามลำดับ

เงิน 300 บาทหายไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าน้ำหก พนักงานที่คาสิโนเดินเข้ามาแนะนำว่าผมควรเล่นยังไงต่อ แต่ผมตัดสินใจว่าพอแล้ว ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเป็นยังไง ยิ่งนึกก็ยิ่งรู้สึกเสียดายเงิน 300 บาทที่ใช้เล่นไปมาก ถ้าเอาไปซื้อของฝากจากเด็กน้อยเมื่อวานนี้ยังรู้สึกดีกว่าเลย แต่แล้วก็แล้วไป ผมเดินออกจากคาสิโนที่ผีพนันยังไม่ทันจะสิง

เราเดินข้ามฝากเข้าฝั่งไทย และผมเริ่มมองรถทัวร์ที่เราจะกลับ ตามข้อมูลที่ผมได้มานั้นบรรดารถบ่อนจะจอดอยู่ที่จอดรถหัลงธนาคาร SCB ผมจึงเิร่มมองหาธนาคาร SCB เป็นหลัก แต่ยิ่งเดินยิ่งหาไม่เจอ จึงหยุดแวะซื้อน้ำและถามแม่ค้าว่า
"โทษนะครับ แถวนี้มีธนาคาร SCB ไหมครับ" ผมถามแม่ค้าหลังจากซื้อน้ำไปขวดนึง
"ธนาคารหรอ นั่นไง" แม่ค้าชี้ไปที่ธนาคารกสิกรข้างหลังผม
"นั่นกสิกรนี่ ไม่ใช่ SCB " ผมแย้ง
"SCB ไม่รู้จัก รู้แค่ธนาคารนี้อันเดียวเอง" แม่ค้าตอบ
และก่อนที่ผมจะหมดหวังกับแม่ค้า พี่ผุ้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่แถวนั้นก็หันมาบอกผมว่า
"ธนาคาร SCB ใช่มั้ยน้อง เดินข้ามถนนตรงไป แล้วเลี้ยวขวาไปจนสุดเลยก็จะเจอเองล่ะ"
ผมกล่าวขอบคุณเขาพลางจะถามข้อมุลเรื่องรถบ่อน แต่พี่เขาเดินทางมาด้วยรถยนต์ส่วนตัว ผมจึงไม่ได้ถามอะไรต่ออีก และเดินไปตามทางที่ได้รับคำชี้แนะมา ผมก็เจอกับธนาคาร SCB และที่จอดรถที่ว่า

ลานจอดรถเป็นลานกว้าง มีรถทัวร์จอดอยุ่กระจายเป็นหย่อมๆ แล้วทีนี้จะรู้ได้ยังไงล่ะว่าเราต้องขึ้นคันไหน หรือจะสอบถามใครได้ และอาการเก้ๆกังๆของผมคงเตะตาคุณป้าท่านนึง
"กลับกรุงเทพรึเปล่าหนุ่ม" ป้าถาม
"กลับครับ" ผมตอบพลางเดินเข้าไปหาป้า
"ผ่านตรงไหนบ้างหรอครับ" ผมถามเพราะเท่าที่หาข้อมุลมา รถบ่อนบางสายจะผ่านสวนลุม ซึ่งไม่ไกลจากบ้านผมเท่าไหร่นัก
"หนุ่มลงตรงไหนล่ะ" ป้าย้อนกลับมา
"ผ่านสวนลุมไหมครับ" ผมถาม
"ผ่านนะ ไปเลยมั้ย เนี่ยรถจะออกละ" ป้าตอบ
ผมหันไปปรึกษาผู้ร่วมขบวน และลังเลว่าเราจะกลับเลยหรืออยากจะเดินตลาดโรงเกลือดูสักพักนึง ป้าแกเห็นดังนั้นจึงบอกกับผมว่า
"โน่น รถคนนั้นก็ผ่านสวนลุม อีกสักชั่วโมงจะออก ถ้าไม่รีบค่อยกลับคันนั้นก็ได้" ป้าสรุปให้ผม

ผมกล่าวขอบคุณด้วยความโล่งใจแล้วเดินจากมา อย่างน้อยตอนนี้ก้ไม่มีปัญหาเรื่องไม่มีรถกลับบ้านล่ะนะ เราจึงเดินเล่นที่ตลาดโรงเกลือเพื่อรอเวลา และในชั่วเวลาไม่นานรองเท้า 3 คู่จากตลาดโรงเกลือก็เข้ามาอยู่ในมือผม เมื่อได้เวลาเราจึงเดินไปที่รถทัวร์คันนี้คุณป้าบอกก่อนจะได้รับคำตอบว่า

"ไม่นะ รถคันนี้ไม่ผ่านสวนลุม" ป้า(อีกคน)ประจำรถบอกผม

นี่มันอะไรกัน ก็ไหนว่าป้า(คนโน้น) บอกว่ารถคันนี้ผ่านไง แต่แม้จะถามเท่าไหร่รถคันนี้จะไปจอดใกล้สุดก็แถว วัดดอน ตรงถนนสาธร ซึ่งผมดูแล้วน่าจะไม่ค่อยสะดวกในการเดินทางต่อเท่าไหร่นัก ผมจึงต้องหาหนทางใหม่ในการกลับบ้าน และด้วยความที่ไม่รู้ว่ารถทัวร์คันไหนไปที่ไหนบ้าง ผมจึงเดินไล่ถามตามรถทัวร์ที่จอดอยู่ทีละคัน และใช้เวลาไม่นานผมก็เจอรถทัวร์ที่จะกลับกรุงเทพ แต่ผ่านที่บ่อนไก่แทนสวนลุม ซึ่งก็ไม่ได้ต่างอะไรมากนัก ผมจึงจัดการจองที่นั่งไว้ก่อน กำหนดการที่รถจะออกคือบ่าย 3 โมง แต่อาเจ๊แว่นที่น่าจะเป็นเจ้าของรถบอกให้ผมมาตอน บ่าย 2 โมง 15 นาที

และเพื่อไม่ให้พลาด เมื่อถึงเวลานัดผมก็ไปรอที่รถทันที อาเจ๊แว่นรับเงินค่าโดยสารของผมไป (คนละ200) แล้วก็ให้เราขึ้นไปนั่งรอบนรถได้เลย ระหว่างนั้นก็มีผู้โดยสารทยอยขึ้นรถมาเรื่อยๆ แล้วก็เกิดความวุ่นวายส่วนหนึ่ง ที่ผมเข้าใจคือในบรรดารถบ่อนจะมีทั้งคนที่ไปและกลับในวันเดียว และคนที่ไปค้างคืน ซึ่งขามาที่นั่งอาจจะเต็มแต่ขากลับอาจจะมีที่นั่งเหลืออยู่ก็ได้ แต่จำนวนที่นั่งนั้นก็ไม่แน่นอน ผมนึกขอบคุณในใจที่ผมไปบอกอาเจ๊แกตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะไม่งั้นแล้วผมอาจจะไม่มีที่นั่งสำหรับเดินทางกลับก็ได้

หลังจากอาเจ๊แว่นจัดการที่นั่งและให้อาม่า อาแปะและอาซิ้มทั้งหลายนั่งประจำที่ของตัวเองแล้ว เราก็เริ่มออกเดินทางกลับสู่กรุงเทพ

ผมคิดว่าผู้โดยสารหลายคนรู้จักกัน สังเกตได้จากการทักทายกัน และอาเจ๊แว่นก็เดินทักทายเหล่าผู้โดยสารทั้งหลาย ที่ผมคิดว่ากว่าครึ่งเป็นขาประจำของบ่อน บทสนทนาก็เป็นเรื่องทั่วๆไป ได้มาเยอะมั้ยงวดนี้ มาตั้งแต่เมื่อไหร่ คราวหน้าไปวันไหนดี ผมฟังสลับกับการข่มตานอนให้เวลาผ่านไปเร็วๆ และผมก็ได้ยินอาเจ๊ถามป้าคนนึงอย่างไม่ได้ตั้งใจว่า

"เป็นไง งวดนี้ได้มาเท่าไหร่ล่ะ" อาเจ๊แว่นถาม
"ไม่ได้เลย งวดนี้ เหลือแค่ค่ารถพอกลับบ้านมาเนี่ยล่ะ" ป้าตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย
อาเจ๊แว่นไม่ได้พูดอะไรอีก แล้วแกก็หยิบกระเป๋าเงินออกมาก่อนจะยื่นเงิน 20 บาทนั้นให้ป้า
"เอ้า ฉันลดให้ 20 บาท เผื่อไว้เป็นค่ารถต่อกลับบ้านนะ" อาเจ๊แว่นบอก

บางทีการมีน้ำใจก็ไม่ได้กำหนดว่าเราต้องมีเท่าไหร่ แค่แบ่งในส่วนที่เราให้ได้แค่นั้นก็พอแล้ว

หลังจากการเดินทางผ่านการจราจรที่หนาแน่นมุ่งสู่กรุงเทพร่วม 5 ชั่วโมง ในที่สุดเราก็มาถึงบ่อนไก่เสียที ผมลงจากรถท่ามกลางฝนที่ตกปรอยๆก่อนจะเรียกแท๊กซี่กลับบ้าน และเป็นอันสิ้นสุดการเดินทางครั้งนี้

No comments:

Post a Comment