Tuesday, October 21, 2014

Angkor #1 เอกมัย - ปอยเปต



นครวัด ชื่อที่ผมเคยได้ยินและคุ้นหูมาตั้งแต่เด็ก ทั้งได้เห็นรูปภาพจากหนังสือมากมาย ไปจนถึงวลีคลาสสิกอย่าง "See Angkor and Die" ของนักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ ทำให้ผมซึ่งอยุ่ในช่วงต้องการแรงบันดาลใจ คิดว่าไหนๆก็ไหนแล้ว เราน่าจะลองไปดูสักทีแล้วจะอะไรต่อก็ค่อยว่ากันไป

ผมเริ่มวางแผนทริปนี่คร่าวๆหลังจากหาข้อมูลทางอินเตอร์เนตได้พอสมควร ผมจึงอยากจะลองเดินทางด้วยวิธีที่เขาใช้กันมาดูคือ นั่งรถบัสไปที่ชายแดนแล้วหารถข้ามต่อไปยังเสียมเรียบ ซึ่งรถบัสไปชายแดนหรือตลาดโรงเกลือนั้นเราสามารถเดินทางได้หลายแบบ ทั้งรถบัสที่สถานีขนส่งหรือรถบัสที่ขนคนไปเล่นการพนันที่บ่อนชายแดน แต่ด้วยความที่บ้านผมไม่ไกลจากเอกมัยนัก ผมจึงตัดสินใจที่จะไปที่สถานีขนส่งเอกมัยเพื่อสอบถามข้อมูลการเดินทางล่วงหน้า 1 วันก่อนออกเดินทาง

ที่ช่องหมายเลข 25 ของสถานีขนส่งเอกมัย
ผมเงยหน้ามองตู้กระจกที่แปะป้ายไว้ว่า จำหน่ายตั๋วรถไปอรัญประเทศและโรงเกลือ เมื่อแน่ใจว่านี่คือตู้จำหน่ายตั๋วที่ผมต้องการ ผมจึงเดินเข้าไปพบกับตู้จำหน่ายตั๋วที่ว่างเปล่า ไม่มีคนขาย แต่มีคุณป้าคนหนึ่งยืนอยู่แถวนั้นแล้วถามผมว่า จะไปไหน

"ไปตลาดโรงเกลือเท่าไหร่หรอครับ" ผมถาม
"220 จ๊ะ"
"หรอครับ เอ ผมได้ยินมาว่าที่นี่มีรถไปถึงเสียมเรียบด้วยใช่ไหมครับ"
ป้าขยับตัวมองหน้าผมแล้วตอบว่า
"ใช่แล้วล่ะ ที่นี่มีรถวิ่งไปเสียมเรียบเลย พอลงรถที่ตลาดโรงเกลือจะมีไกด์พาข้ามฝั่งไปต่อรถที่ปอยเปตอีกเที่ยวนึงถึงเสียมเรียบเลยล่ะ"

เมื่อซักถามรายละเอียดปลีกย่อยและรับทราบราคาค่าตั๋ว 600 บาทที่จะนำคุณจากเอกมัยไปเสียมเรียบแล้ว ผมเกิดเอะใจขึ้นมาจึงถามคุณป้าว่า
"รถจากเสียมเรียบที่ว่านี่ไม่ใช่รถบัสใช่ไหมครับ"
"อ๋อ เป็นรถใหญ่กว่ารถตู้หน่อยนึง ไม่ใช่รถบัสหรอก"
"แล้วรถมีออกทุกชั่วโมง ไม่ใช่ออกวันละรอบใช่ไหมครับ" ผมได้ข้อมูลมาว่าที่เสียมเรียบจะมีรถบัสออกวันละรอบราว 4 โมงเย็น
"ไม่ใช่นะ ที่นี่คนครบก็ออกเลย ไม่ใช่รถบัสที่ออกวันละรอบน่ะ"

หลังจากชั่งใจระหว่างจะลงรถที่ตลาดโรงเกลือแล้วต่อแท๊กซี่เข้าเสียมเรียบซึ่งราคาน่าจะราวๆ 35$ หรือซื้อตั๋วรถรวดเดียวถึงเลยดี ผมก็ตัดสินใจที่จะลองวิธีที่ประหยัดค่าใช้จ่ายและอุ่นใจกว่าว่ามีรถต่อแน่นอนด้วยการซื้อตั๋ว 600 บาท รวดเดียวเอกมัยถึงเสียมเรียบดู ดีไม่ดียังไงก็จะได้รู้ไว้เป็นประสบการณ์เผื่อคราวหน้า

วันรุ่งขึ้นผมไปถึงที่สถานีขนส่งเอกมัยประมาณ 8 โมงเช้า เนื่องจากรถที่จะไปถึงเสียมเรียบนั้นมีวันละรอบ คือรอบ 8.30 เท่านั้น ผมจึงไปก่อนเวลาเล็กน้อยและนั่งรอรถอยุ่แถวๆนั้น บริเวณนั้นคนไม่เยอะนัก มีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติปะปนกันอยู่ และมีครอบครัวชาวเขมรกลุ่มหนึ่งที่มีเด็กเล็กวิ่งเล่นไปมาอยุ่รอบสถานี ผมลองมองไปที่ท่ารถเห็นคนขับรถเดินลงมาจากรถเพื่อสูบบุหรี่
คนขับเป็นพี่หนวดหน้าดุพูดน้อย ดูพี่แกพูดน้อยจริงๆ แม้จะมีผู้โดยสารมาถามแก แกก็ยังคงความพูดน้อยไว้ให้ผู้โดยสารต้องจับกลุ่มปรึกษากันเอง โดยผมกับผู้โดยสารชาวอินเดียเห็นพ้องต้องกันว่า รถที่เราจะนั่งไปตลาดโรงเกลือมันน่าจะเป็นคันนี้ล่ะนะ

การเดินทางช่วงแรกนี้เป็นไปอย่างปกติ มีการหวาดเสียวเวลาแซงบ้างเล็กน้อยแต่โดยรวมพี่หนวดก็ขับรถได้เรื่อยๆดี เรามีการจอดแวะเก็บผู้คนตามรายทางเป็นระยะ ผู้โดยสารบางคนอาศัยติดรถต่อเป็นระยะทางไม่ไกล นอกจากผู้โดยสารปกติที่ซื้อตั๋วแล้วผมคิดว่านี่อาจเป็นบริการเสริมแบบรถตู้ในเมืองก็เป็นได้
รถวิ่งสลับกับรับคนเป็นระยะจนช่วงเกือบเที่ยง รถจึงเลี้ยวเข้ามาจอดที่สถานีขนส่งสระแก้ว แล้วพี่หนวดก็เดินลงจากรถไปสูบบุหรี่อยู่ข้างล่าง ผมเองซึ่งไม่แน่ใจว่านี่คือการพักรถหรืออะไรแต่อยากเข้าห้องน้ำ จึงลงจากรถและเดินสวนกับพี่หนวดที่สูบบุหรี่ไปได้ครึ่งมวน
"ไปเข้าห้องน้ำแปบเดียว ช่วยรอด้วยนะครับ" ผมบอกกับพี่หนวดก่อนรีบเดินเข้าห้องน้ำ
สักพักเดียวเมื่อเสร็จธุระผมจึงเดินออกมา แล้วก็เห็นว่าตอนนี้พี่หนวดขึ้นไปอยู่บนรถพร้อมสตาร์ทเครื่องแล้ว เอาล่ะสิ พี่แกจะเร่งไปไหนละเนี่ย ผมจึงรีบขึ้นรถอย่างรวดเร็ว เมื่อผมขึ้นรถแล้วพี่หนวดแทบจะปิดประตูในทันที

ผมคิดว่านี่ถ้าไม่ได้บอกพี่แกสักหน่อยว่าขอไปเข้าห้องน้ำ พี่แกคงทิ้งผม(หรือใครก็ตาม)ไว้แน่ๆ
และก็จริงอย่างที่คิดเมื่อครอบครัวชาวเขมรด้านหลังเริ่มส่งเสียงโวยวายกัน บางส่วนผุดลุกผุดนั่งและบางส่วนรีบวิ่งไปหาคนขับ
"จอดก่อนๆ คนยังไม่ครบๆ" ชายวัยกลางคนในกลุ่มนั้นรีบเข้าไปบอกพี่หนวด
"อะไรนะ" พี่หนวดถอยรถออกจากซอง
"คนยังไม่ครบ ลงไปข้างล่างอีกคนนึง" ชายคนนั้นย้ำต่อ
"ไหน อยู่ไหน" พี่หนวดขับรถวนรอบอาคาร
"โน่น อยู่โน่น" ชายคนนั้นมองออกไปนอกรถอย่างกระวนกระวายพลางสอดสายตาหาเพื่อน
"ไม่เห็นเลย ไหนๆ" พี่หนวดพูดพลางขับรถเลี้ยวโค้งไปพลาง และในที่สุดพี่หนวดก็จอดรถแล้วเปิดประตูให้ชายคนนั้นลงไป
ชายคนนั้นวิ่งไปที่ท่ารถพลางกระตุกเพื่อนที่นั่งคุยโทรศัพท์อย่างสบายอารมณ์ แล้วทั้งคู่ก็รีบวิ่งมาขึ้นรถอย่างรวดเร็ว
"คุยอะไร ทำไมลงไปคุยข้างล่าง" พี่หนวดพูดยิ้มๆแบบเหี้ยมนิดๆ แล้วก็ออกรถ

ราวบ่ายโมง เราก็เดินทางมาถึงตลาดโรงเกลือ ผมหยิบป้ายแขวนคอซึ่งป้าที่ขายตั๋วให้มาพร้อมกับตั๋วรถแล้วบอกว่า เมื่อลงจากรถจะมีคนพาข้ามฝั่งไปที่รถอีกคัน ผมเดินลงจากรถไปพบกับไกด์ชาวเขมรผู้ซึ่งพูดไทยได้ ไกด์พาผมไปนั่งในห้องจากนั้นจึงเอาใบเข้าเมืองให้ผมเซ็นแล้วจึงชี้ทางให้ผมไปที่ ตม.ของไทย ซึ่งเป็นอาคารห้องแอร์ มีทางแยกสำหรับพาสปอร์ทไทยและต่างชาติ ซึ่งถ้าคุณถือพาสปอร์ทไทยนั้นคุณสามารถเข้าเมืองเขมรได้โดยไม่ต้องทำวีซ่าเป็นระยะเวลาไม่เกิน 14 วัน ผมผ่านด่าน ตม.ไทยมาได้อย่างราบลื่นไม่มีปัญหาอะไร และไปพบกับไกด์ที่รออยู่ข้างนอก จากนั้นเราเดินผ่านพื้นที่ร่วมส่วนกลางของไทยและเขมรซึ่งมีบ่อนคาสิโนตั้งอยุ่ 2 ข้างทาง เราเดินผ่านกันไปอย่างรวดเร็วเพื่อมาเข้าคิว ตม. ทางฝั่งเขมรซึ่งเป็นอาคารเล็กและแคบ ไม่มีแอร์มีเพียงช่องลมและพัดลมตัวใหญ่อยุ่ 1 ตัว อากาศภายในร้อนระอุมากยิ่งผสมกับกลิ่นตัวและกลิ่นเหงื่อของเหล่านักท่องเที่ยวทั้งหลายแล้ว บรรยากาศยิ่งรัญจวนขึ้นอีก

แถวของ ตม.ทางฝั่งเขมรนั้นใช้เวลามากกว่าของ ตม.ไทยเยอะ อาจจะเพราะทาง ตม.เขมรนั้นคนที่จะผ่านด่านทุกคนจะใช้ช่องเดียวกันหมด นั่นหมายถึงแถว 4 แถวที่กั้นไว้ด้วยกระจกโดยมีช่องว่างให้สอดพาสปอร์ทลอดเข้าไปได้ นักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องแสกนนิ้วมือทั้ง 2 ข้าง โดยเริ่มจากแสกนนิ้ว 4 นิ้วก่อน ตามด้วยนิ้วโป้งทั้งมือซ้ายและมือขวา ผมใช้เวลาในการรอขั้นตอนนี้ราวครึ่งชั่วโมงกว่าจึงเสร็จเรื่องและออกมาจาก ตม.เขมรได้ราวๆบ่ายสองโมงครึ่ง จากนั้นจึงเดินไปหาไกด์ที่รออยู่ในฝั่งเขมร ซึ่งระหว่างทางจะมีคนขับแท๊กซี่ (ที่นี่รถแคมรี่ทุกคันคือแท๊กซี่โดยที่ไม่ต้องมีป้ายเขียนไว้ว่าแท๊กซี่) หรือรถตู้พยายามเชื้อเชิญให้เหล่านักท่องเที่ยวไปใช้บริการกับเขา ซึ่งผมและนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มต่างก็ปฏิเสธและเราก็เดินขึ้นรถชัตเติ้ลบัสเพื่อไปยังสถานีขนส่งปอยเปต

ชั่วเวลา 10 นาที รถชัตเติ้ลบัสก้แล่นมาจอดที่สถานีขนส่งปอยเปต นักท่องเที่ยวบางคนที่ยังไม่มีตั๋วรถก็จัดแจงซื้อตั๋วซึ่งมีทั้งรถบัส รถแท๊กซี่ และรถตู้ สนนราคาก็ขึ้นกับความรวมเร็วในการเดินทางโดยรถแท๊กซี่จะแพงสุดอยู่ที่ประมาณ 40$ และรถบัสจะถูกสุดอยุ่ที่ราคาประมาณไม่เกิน 10$ แต่รถบัสจะออกเพียงวันละรอบเท่านั้น ผมลองถามไกด์จึงได้ความว่า ไอ้รถที่ผมจะเดินทางต่อก็คือเจ้ารถบัสที่ว่านี่เอง ผมย้อนกลับไปนึกถึงคุณป้าที่ท่ารถแล้วก็แค้นใจว่าทั้งที่อุตส่าห์จะเลี่ยงรถบัสที่ว่านี้แล้วก้ยังต้องมาโดนจนได้ และก็ทำได้แค่ก้มหน้ารับชะตากรรมด้วยการรอไปเรื่อยๆ ซึ่งในระหว่างนั้นจะมีคนขับแท๊กซี่เข้ามาพูดจาหว่านล้อมให้เราไปใช้บริการกับเขาเถอะ เพราะถ้านั่งรถบัสนะ กว่าจะไปถึงก็มืดแล้ว และจะหารถต่อไปที่พักลำบาก ถ้านั่งรถแท๊กซี่นี่ทีเดียวถึงเลย ผมได้แต่รับฟังและเข้าใจ แต่ในเมื่อผมจ่ายค่ารถไปเรียบร้อยแล้วจึงไม่อยากที่จะต้องมาจ่ายอะไรซ้ำซ้อนอีก จึงอดทนนั่งรอต่อไป

สักประมาณ 4 โมง รถบัสจึงเข้ามาจอดเทียบด้านข้างสถานี และนักท่องเที่ยวทั้งหลายก็ค่อยๆทยอยกันขึ้นไปนั่งบนรถ เมื่อนักท่องเที่ยวขึ้นไปนั่งจนครบแล้ว ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นซึ่งไม่ต่างกับให้นั่งรออยู่ข้างล่างเลย เรานั่งรอกันอยู่ราวครึ่งชั่วโมง พนักงานที่ท่ารถจึงขึ้นมาบอกว่า เราจำเป็นต้องรอนักท่องเที่ยวกลุ่มสุดท้ายก่อน ซึ่งตอนนี้ติดอยู่ที่ ตม. นี่เอง คนบนรถต่างครางด้วยความเซ็ง เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าไอ้ขั้นตอนที่ว่านี่มันใช้เวลานานขนาดไหน แต่ในเมื่อไม่มีทางเลือกนักเท่องเที่ยวจึงต้องรอกันต่อไป

ผมหลับๆตื่นๆจนราว 5 โมงเย็น นักท่องเที่ยวกลุ่มสุดท้ายจึงเดินทางมาถึง และเริ่มทยอยขึ้นรถบัสมาเรื่อยๆ จนถึงสาวต่างชาติ 3 คนที่ขึ้นรถมาเป็นกลุ่มสุดท้าย และในที่สุดตอนนี้ที่นั่งบนรถก็เต็มเสียที่ พวกเรา (ผมและนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ) ก็พร้อมที่จะเดินทาง (กันมานานแล้ว) ได้ในที่สุด แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเหตุให้สะดุดจนได้เมื่อหนึ่งในสามสาวต่างชาติร้องออกมาว่า

"Where is my seat?"
นักท่องเที่ยวบนรถหันไปมองสาวต่างชาติคนนั้นกันเป็นตาเดียว
"There're 3 people but only 2 seat" เธอพูดต่อพร้อมกับชี้ไปที่นั่งด้านหลังและที่นั่งด้านหน้าซึ่งเป็นที่นั่งสำรองติดประตูรถ
"Where is my seat?" เธอย้ำ
พนักงานขับรถซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีศัพท์อังกฤษในหัวอยู่จำกัดจำนวน ก็มองหน้าสาวต่างชาติคนนั้นเหรอหรา
"Where is my seat? You have only 2 seat for 3 people!"

ตอนนี้บรรยากาศในรถยิ่งมาคุมากขึ้นระหว่างสาวต่างชาติที่ยังไม่มีที่นั่ง กับคนขับที่ไม่สามารถให้คำตอบกับเธอได้และคนทั้งรถที่อยากให้รถเคลื่อนขบวนเสียที
"Where is my seat?" สาวต่างชาติถามเป็นครั้งที่เท่าไหร่ผมจำไม่ได้แต่ตอนนี้น้ำเสียงของเธอเริ่มมีอารมณ์แล้ว
"ok ok" พนักงานขับรถตอบแล้วหันไปส่งภาษาบอกเพื่อนที่อยู่ข้างล่างกันสักพัก แล้วพนักงานขับรถก็วิ่งลงไปข้างล่าง ขณะที่ทุกคนบนรถกำลังสับสนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆพนักงานขับรถถึงลงไปข้างล่าง แล้วเมื่อไหร่เราจะได้ออกเดินทาง พนักงานขับรถก็วิ่งกลับมาพร้อมกับ...เก้าอี้หวายในมือ
"Here is your seat" พนักงานขับรถบอกพลางพยายามวางเก้าอี้หวายตัวนั้นบนช่องทางเดินตรงกลางในรถ

ผมไม่สามารถบรรยายสีหน้าของสาวต่างชาติคนนั้นได้ชัดเจน แต่สังเกตได้ว่าตาของเธอเบิกโพลง และคิ้วของเธอขยับขึ้นๆลงๆตลอดเวลา เหมือนมีอารมณ์โมโหผสมทึ่งปนกับประหลาดใจเข้าอยู่ด้วยกัน ในขณะที่พนักงานขับรถดูจะภูมิใจในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของเขา

ส่วนคนที่เหลือในรถน่ะรึ
ขำกันลั่นรถเลย

แล้วการเดินทางสู่เสียมเรียบก็เริ่มขึ้น

No comments:

Post a Comment