Tuesday, October 28, 2014

Angkor #5: ตาพรหมและบายน



เราแวะพักรับประทานอาหารมื้อเที่ยงที่ร้านยอดนิยมซึ่งชานนท์พาเรามาปล่อยไว้ ผมสังเกตได้จากการที่ภายในร้านมีแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งนั้น ราคาอาหารอยู่ในเกณฑ์ราคาปกติสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาจากอเมริกา แต่อาจจะเรียกได้ว่าแพงหน่อยถ้าคิดเป็นราคาไทย ซึ่งจะตกอยุ่ที่ราวๆ 250 บาทต่อจาน รสชาติอาหารที่นี่เรียกได้ว่ารสไม่จัด ซึ่งผิดกับที่ผมคิดไว้ตอนแรกคือ ผมคิดว่าคนที่นี่เขากินเผ็ดกัน จนได้รับการยืนยันจากชานนท์ว่า คนที่นี่ไม่กินอาหารรสจัดกันเท่าไหร่นัก อาหารที่ร้านรสชาติไม่คุ้นลิ้นสำหรับผมแต่ก็จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดี แต่สิ่งที่ผมประทับใจกลับไม่ใช่อาหาร หากแต่เป็นการบริการของนักงานในร้าน พนักงานในร้านตั้งแต่กัปตันยันเด็กเสิร์ฟ ทุกคนต้อนรับลูกค้าด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม ไม่มีชักสีหน้าหรือมึนตึง ทำให้ผมหวนกลับไปคิดถึงพนักงานที่โรงแรมที่ไปพัก พนักงานที่นั่นก็ยิ้มแย้มและเต็มใจให้บริการกันทุกคน หรือแม้แต่หนุ่มเขมรที่ขายรูปสลักไม้และเด็กตัวน้อยที่มาตื๊อขายของให้ผมเอง ทุกคนแม้จะอยากได้เงินให้ผมอุดหนุนเขา แต่ก็ไม่มีท่าทีคุกคาม ตื๊อไม่ลดละแต่ไม่คุกคาม นี่เป็นสิ่งที่ผมประทับใจมากอย่างหนึ่งในทริปครั้งนี้

หลังจากอาหารมื้อเที่ยง เราจึงเริ่มทริปช่วงบ่ายที่ปราสาทตาพรหม ถึงแม้ปราสาทตาพรหม จะเป็นที่จดจำของผู้คนจำนวนมากที่เคยดูหนังเรื่อง Tomb Raider มาก่อน แต่สำหรับตัวผมแล้ว ตั้งแต่ย่างเข้าสู่นครวัดเอง ผมกลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ความคุ้นเคยนี้ส่งมาจาก Tomb Raider เช่นกัน แต่ไม่ใช่เวอชั่นหนัง หากเป็นเวอชั่นเกมซึ่งเรียกได้ว่าเป็นต้นฉบับของหนัง ภาพโบราณสถานที่สร้างจากหิน บางส่วนปกคลุมด้วยต้นไม้และมอส ทำให้ผมอยากจะปีนป่ายไปตามกำแพงและกระโจนไปตามหน้าปราสาทเสียจริง หากแต่ยั้งใจไว้ได้ว่าเราไม่ได้ทำประกันอุบัติเหตุก่อนมาและสังขารไม่เที่ยง จึงเกรงว่าจะไม่คุ้มกับการเล่นท่าแอกชั่นผาดโผน

ผมจึงเดินชมปราสาทหินแห่งนี้ด้วยอาการสงบเสงี่ยม โดยปราสาทตาพรหมนี้น่าจะเป็นที่นิยมหรือเป็นจุดพีคจุดหนึ่งของทัวร์ปราสาทหินที่เสียมเรียบเลยก้ว่าได้ สังเกตได้จากขบวนนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ทั้งทัวรืจีน ทัวร์เกาหลี และทัวร์ไทยที่แวะเวียนกันมาไม่ขาด แน่นอนว่ามากคนยิ่งมากความ ผมและไกด์จึงพากันเลือกเส้นทางเดินที่เลี่ยงกลุ่มทัวร์ไปก่อน ชานนท์เล่าประวัติของปราสาทหินนี้ให้ผมฟังเป็นชุด ซึ่งข้อมูลในแต่ละส่วนนั้นเยอะมาก ผมเล่าสลับกับมองรากไม้ของต้นสบง ที่แผ่ขยายไปทั่วอาณาเขตปราสาท
"ถ้าเอาต้นไม้นี้ออกไป ปราสาทหลังนี้พังลงมาแน่นอน" ชานนท์บอกผม
"แปลกดีนะ แล้วทำไมต้นไม้มันขึ้นแต่ที่ปราสาทนี้หลังเดียวล่ะ" ผมถาม
"ที่จริงแล้วตุ้นไม้มันขึ้นที่ปราสาททุกหลังครับ แต่มีที่ที่เดียวที่เราไม่ถอนต้นไม้ออกไปเพื่อการบูรณะ" ชานนท์ตอบ
"เอ แล้วทำไมถึงไม่ถอนไปละ ทั้งที่ปราสาทหลังอื่นก็ถอนออกไปหมดแล้วนี่" ผมถาม
"ก็ถ้าถอนออกไป แล้วเวลานักท่องเที่ยวมาดูก็จะไม่เห็นปราสาทที่เหมือนในหนังน่ะสิ" ชานนท์ตอบ

เออ จริงของชานนท์ ผมคิดในใจ ถ้านักท่องเที่ยวที่อยากมาดูปราสาทตาพรหมหรือนครวัดมาเพราะประทับใจจากหนังเรื่อง Tomb Raider แล้วไม่เห็นรากไม้ที่ชอนไชไปทั่วปราสาทแบบในหนัง ผมเชื่อว่าพวกเขาคงผิดหวังและอาจจะไม่มาดูอีกก็ได้



เราเดินกันไปต่อจนถึงลานกว้าง ซึ่งผมรู้สึกว่าปราสาทตาพรหมนี่ดูร่มรื่นและสงบกว่านครวัดเสียอีก อาจจะด้วยช่วงเวลาบ่าย ประกอบกับปราสาทหลังนี้มีต้นไม้ขึ้นเต็มไปหมดทำให้มีร่มเงาและร่มรื่น ผมจึงนั่งพักอยุ่ในบริเวณนี้พักใหญ่ บริเวณไม่ไกลนักมีเครนตัวหนึ่งตั้งอยู่ ผมคิดว่าคงเอาไว้ใช้ในการบูรณะ
"เขาเริ่มจากการจดตำแหน่งของหินแต่ละก้อนว่ามันเคยอยู่ที่ไหนมาก่อน จากนั้นจึงทำการเคลื่อนหินนั้นออกไปซ่อมแซม จากนั้นจึงนำกลับเข้ามาใหม่ พวกรูปสลักส่วนมากทำจากหินทราย ในส่วนที่สึกหรอหรือถูกทำลาย เราใช้ซีเมนท์ในการซ่อมแซมครับ" ชานนท์อธิบาย
"แต่การบูรณะเองก็ยังมีข้อจำกัดอยุ่คือ การขนหินออกไปนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เครนที่เรามีสามารถเข้าถึงได้แค่บางพื้นที่เท่านั้น" ชานนท์เล่า
"ทำไมล่ะ ก็น่าจะถอดย้ายเครนได้นี่นา" ผมแย้ง
ชานนท์ชี้ให้ผมดูไปรอบๆ แล้วผมจึงถึงบางอ้อ ก็มันติดต้นไม้นี่เอง
"นอกจากนี้การบูรณะเองยังต้องการพื้นที่โล่งเพื่อไว้วางกองหินอีกด้วย ถ้าคุณดูมุมนี้คุณจะเห็นว่าพื้นที่ทางด้านซ้ายได้รับการบูรณะเรียบร้อยแล้ว แต่ในพื้นที่ด้านขวายังไม่ได้รับการบูรณะ เพราะการซ่อมแซมในส่วนนั้นจะเป็นไปด้วยความยากลำบาก ทั้งเครื่องมือและสถานที่ที่ไม่กว้างพอจะวางหินทั้งหมด"

ผมมองไปทางที่ชานนท์บอก กองหินมหึมาตั้งตระหง่านเรียงกันอย่างระเกะระกะอยู่ น้ำหนักของหินนี้แต่ละก้อนคงหนักอยู่พอควร หากเคลื่อนย้ายด้วยแรงคนคงใช้เวลานานแน่ๆ

หลังจากนั่งให้หายเหนื่อยกันแล้ว เราจึงออกเดินทางสู่นครธมหรือชื่อภาษาอังกฤษว่า Angkor Thom โดย Angkor แปลว่า นคร ส่วน Thom แปลว่า ใหญ่ นครธมจึงแปลตรงตัวตามความหมายของชื่อคือนครที่มีขนาดใหญ่นั่นเอง ชานนท์ขับลอดผ่านประตูซุ้มที่ขนาบด้วยขบวนยักษ์ทั้ง 2 ฝั่งที่อยู่ในท่าชักกะเย่อกับนาคอยู่ ตรงซุ้มประตูเป็นรูปหน้ายิ้มคอยต้อนรับ



เรามุ่งตรงทางไปเรื่อยๆ ชานนท์เล่าว่านครธมนี้เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เราแล่นมาถึง Terrace of the Elephants ผมดูแล้วโบราณสถานนี้คล้ายๆกับวัดช้างล้อมที่สุโขทัย คือประดับฐานรอบด้วยรูปปั้นช้างจำนวนมาก ตัวโบราณสถานนี้อยู่ตรงทาง 3 แพร่งพอดี คือทางสายหลักวิ่งมาตรงๆจะเจอกับตัวโบราณสถานแล้วมีถนนแยกซ้ายขวา โดยทั้ง 2 ฝั่งเป็นพื้นที่โล่งขนาดใหญ่ ชานนท์เล่าว่าที่แห่งนี้เป็นสถานที่เมื่อนักรบกลับจากสงคราม ทั้งกองทัพจะเดินผ่านตรงนี้และเจ้านครก็จะออกมายืนต้อนรับและกล่าวขอบคุณเหล่านักรบ และทำการเลี้ยงฉลองกันในค่ำคืนนั้น ผมนึกภาพตามที่ชานนท์ว่า ภาพเจ้าเมืองยืนจังก้า กางแขนทั้ง 2 ข้างต้อนรับเหล่านักรบผุ้กล้าหาญกลับจากศึก ทั้งขบวนช้างม้าแล้วขนลุกขึ้นมาให้กับความยิ่งใหญ่นั้น

เราเดินทางต่อผ่านปราสาทบางส่วนซึ่งปิดซ่อมไว้ด้วยป้ายภาษาจีนเต็มไปหมด ชานนท์บอกว่าคนที่ออกเงินค่าบูรณะให้คือทางการจีนนั่นเอง และที่จริงแล้วปราสาทหลังนั้นซ่อมเสร็จแล้ว สังเกตได้จากเครื่องมือต่างๆไม่มี มีเพียงแค่ม้านั่งเหล็กล้อมรอบไปด้วยผ้าที่ติดป้ายภาษาจีนไว้เท่านั้น
"ตอนนี้เขารอทางจีนมาเปิดอย่างเป็นทางการน่ะ" ชานนท์บอกผม
"นี่เขามาซ่อมให้ฟรีๆเลยหรอ แล้วทางการจีนได้ผลตอบแทนอะไรหรือเปล่าครับ" ผมถาม
"ได้สิ ได้เยอะด้วย นอกจากเขาการบูรณะร่วมแล้ว จีนยังได้สัมปทานเหมืองอีกด้วย" ชานนท์ตอบ
นั่นสินะ ในโลกนี้จะมีอะไรได้มาฟรีๆมีที่ไหน แต่อย่างน้อยได้ผลประโยชน์ร่วมกันก็น่าจะดีสำหรับทางเขมรเอง


และในที่สุดเราก็มาถึงปราสาทบายน ช่วงเวลานั้นเริ่มเย็นแล้ว เราเดินผ่านโถงเต้นรำ ที่มีหลายโถงจนเข้าไปถึงปราสาทชั้นใน ซึ่งข้างในตอนนี้นั้นมืดมาก ผมเห็นเด็กชาวบ้านวิ่งเล่นกันอยู่ข้างใน แต่ละคนถือไฟฉายอยู่ในมือ บางทีสถานที่แห่งนี้ก็คงเป็นเหมือนสนามเด็กเล่นของเด็กพวกนี้ละมั้ง ชานนท์ไม่ได้พกไฟฉายมา เราจึงค่อยๆเดินตามแสงที่ส่องลงมาตามรอยแยกของซากโบราณสถานแห่งนี้ ภายในตัวปราสาทนั้นมีซอกหลืบมากมาย บางส่วนมีเชือกกั้นไว้ ผมจึงเดินไปตามทางที่เปิดให้เดิน และพอเลี้ยวเข้ามุมปราสาทผมจึงเห็นเด็กอีกกลุ่มซึ่งก็ถือไฟฉายในมือไว้ เหมือนกัน โดย 1 ในเด็กกลุ่มนั้นกำลังเล่าประวัติความเป็นมาของปราสาทหลังนี้ให้นักท่อง เที่ยวต่างชาติที่ยืนฟังอย่างตั้งใจอยู่ ผมเข้าใจว่าที่เด็กพวกนั้นมาวิ่งเล่นในปราสาทแห่งนี้ก็เพื่อทำหน้าที่เป็น ไกด์นำทางนั่นเอง อาจจะได้บ้างไม่ได้บ้างก็แล้วแต่จังหวะว่านักท่องเที่ยวที่มานั้นจ้างไกด์มา ด้วยหรือไม่ ซึ่งเท่าที่ผมสังเกตดูก็มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่มาเที่ยวกันเอง ดูกันเองโดยไม่ต้องมีไกด์

เท่าที่ผ่านมาทั้งวันนี้ ผมและแฟนลงความเห็นว่าเราชอบปราสาทบายนที่สุด อาจจะด้วยอากาศที่เย็นสบายและตัวปราสาทที่ยังมีหลังคาอยุ่ทำให้เราไม่เหนื่อยมากนัก และเมื่อถามชานนท์ถึงปราสาทที่เขาชอบที่สุด เขาก็บอกว่าชอบปราสาทบายนนี้มากที่สุดเหมือนกัน
"อาจจะเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมชอบละมั้ง" ชานนท์ตอบ

ผมมองไปตามหน้ารูปปั้นต่างๆ ที่อยู่บนยอดปรางค์ โดยปรางค์แต่ละอันจะมีหน้ายิ้มนี้อยู่ 4 ด้าน และมีทั้งหมด 54 ปรางค์ นั่นหมายถึงในปราสาทแห่งนี้จะมีหน้ายิ้มบายนนี้อยู่ 216 หน้า ด้วยความที่หน้านั้นยิ้มแบบบายน ซึ่งเป็นยิ้มที่อบอุ่นทำให้รู้สึกปลอดภัย ผมเคยอ่านเจอในหนังสือประวัติศาสตร์เล่มไหนสักเล่มกล่าวไว้ว่า หน้าบายนนี้จำลองมาจากเจ้าครองนครนี่เอง ซึ่งทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าปราสาทแห่งนี้มีเจ้าครองนครคอยดูแลปกป้องอันตรายอยู่ และในทางกลับกันก็สามารถแปลได้ว่า "ข้ากำลังจับตามองเจ้าอยู่"

ผมเดินชื่นชมความงามของปราสาทบายนแห่งนี้ไปรอบๆ พลางทึ่งกับความสามารถของคนออกแบบ ที่ไม่ว่าจะเดินไปมุมไหน เหลี่ยมไหน หน้ายิ้มบายนที่ว่าก็จะอยุ่ในรัศมีการมองเห็นเสมอ หน้ายิ้มที่หลับตาพาลให้ผมจินตนาการว่าถ้าเป็นตอนโกรธหน้ายิ้มที่ว่าก็อาจจะลืมตาขึ้นมาก็ได้ เราเดินเยี่ยมชม นั่งพักที่ปราสาทบายนแห่งนี้จนเย็นย่ำ และเห็นเจ้าหน้าที่บางส่วนกำลังปัดกวาดห้องที่มีเชือกกั้นไว้ไม่ให้เข้าอยู่ ผมจึงถามชานนท์ว่าปกติเขาทำความสะอาดกันอย่างนี้ทุกวันหรือ


ชานนท์จึงเล่าเรื่องที่น่าตกใจให้ฟังว่า เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เองมีนักท่องเที่ยวหญิงชาวสวิสคนหนึ่งไปหลบอยู่ในตัวปราสาทบายนตอนกลางคืน ซึ่งปราสาทบายนนี่เป็นปราสาทที่มีขนาดใหญ่มาก สาวสวิสคนนั้นก็แอบอยู่ในซอกหลืบของปราสาท จนกระทั่งเจ้าหน้าที่กลับบ้านไปหมดแล้ว ผมลองนึกภาพตามแล้วจินตนาการถึงบรรยากาศในตอนนั้นว่าเป็นช่วงกลางคืนที่มืดสนิทไม่มีแสงไฟ บนท้องฟ้าเห็นแต่แสงดาว และเงาที่ไหววูบไปตามปราสาท หน้ายิ้มบายนภายใต้แสงจันทร์จะมีลักษณะอย่างไรผมก็ไม่อาจรู้ ผมไม่เข้าใจว่าสาวสวิสคนนั้นจะแอบเข้ามาทำอะไรในปราสาทที่มืดมิดและดูวังเวงคนเดียวแบบนี้
"แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่านักท่องเที่ยวคนนั้นหลบอยู่ที่นี่" ผมถาม
"ตอนเช้าพอเจ้าหน้าที่เริ่มมา เราพบนักท่องเที่ยวคนนั้นกับซากของพระพุทธรูปที่เพิ่งจะถูกทำลาย" ชานนท์ตอบ
"หมายความว่านักท่องเที่ยวคนนั้นแอบอยู่ทั้งคืนในปราสาทที่มืดๆ เพื่อที่จะทำลายรูปปั้นพระอย่างงั้นหรือ" ผมถามย้ำ
"ใช่แล้วล่ะ" ชานนท์ตอบ
"ฟังดูแล้ว ดูท่าจะสติไม่ดีนะแบบนั้น" ผมออกความเห็น
"ผมก็คิดว่างั้น แต่อย่างไรก็แล้วแต่ เราก็ได้ไล่นักท่องเที่ยวคนนั้นออกนอกประเทศในวันนั้นเอง การที่มีคนมาทำลายโบราณสถานนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่และเร่งด่วนมาก" ชานนท์เสริม
"หรอครับ แล้วตอนนี้นักท่องเที่ยวคนนี้โดนเนรเทศไปไหนแล้วล่ะ" ผมถามอย่างไม่คิดอะไร
"ตอนนี้น่าจะอยู่ที่ประเทศไทยนะ" ชานนท์ตอบกลับมา
อ้าว...

No comments:

Post a Comment