Tuesday, November 18, 2014

ชั่วโมงเรียนที่ 2


หลังจากหมดเลคเชอร์ในช่วงเช้าซึ่งกินเวลาสั้นมาก (กว่าที่คิด)
ผมก็เริ่มการสอนในช่วงบ่าย ซึ่งผมได้แบ่งวิธีการสอนไว้ว่าจะเลคเชอร์ตอนเช้า
แล้วทำเดโม่ในช่วงบ่าย วิธีนี้ผมจำมาจากสมัยเรียนปริญญาโทที่อเมริกา
เพราะในสายงานที่เรียนนั้น จัดอยุ่ในหมวดสกิล ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการฝึกฝนเป็นหลัก
การให้ทำงานไปพร้อมกันช่วงแรก เป็นการอธิบายและแนะนำเทคนิกและขั้นตอนการทำงานบางอย่าง
ต่อมาในครึ่งหลังผมจะปล่อยให้นักศึกษาทำชิ้นงานของตัวเอง โดยผมจะคอยเดินวนเวียนอยู่ในห้อง
หากใครมีปัญหาหรือสงสัยอะไร ผมก็จะเดินไปดูทีละโต๊ะ ซึ่งทำให้พบว่านักศึกษาหลายคน
ก็มีอาการอยากรู้แต่ไม่อยากถาม และถ้าไม่เดินไปใกล้ๆก็จะเก็บไอ้ความสงสัยนั้นไว้เงียบๆ

ในวันนั้นผมให้ทุกคนทำโมเดลกล่องด้วย simple cube แล้วเพนท์ลายบนกล่องให้เป็นกล่องไม้
งานชิ้นนี้เป้าหมายคือผมอยากดูฝีมือการเพนท์ของนักศึกษาก่อน เพราะวิชาที่สอนนี้เราจะใช้การเพนท์เป็นส่วนหลักส่วนนึง
หลังจากผมแนะนำและสาธิตการเพนท์กล่องให้ดูส่วนหนึ่ง ผมก็ปล่อยให้ทุกคนทำกล่องเองตามใจชอบ
แต่มีข้อแม้ว่า จะเพนท์อะไรก็ได้ กล่องเหล็ก กล่องไม้ แต่ต้องเพนท์ให้ผมเชื่อว่ามันเป็นสิ่งนั้น
นักศึกษาหลายคนอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ บางส่วนอยู่ขั้นกลางๆ และบางส่วนอยุ่ในขั้นเริ่มต้น
ซึ่งฝีมือไม่ใช่ประเด็นหลักที่ผมจะมองในงานชิ้นนี้ ผมอยากดูความเข้าใจโดยรวมมากกว่า

หลายคนเพนท์ตามแบบที่ผมทำ และหลายคนเพนท์ในอย่างที่เขาอยากทำซึ่งเป็นเรื่องดีที่ลองทำแบบที่ไม่ได้บอกดูบ้างก็ได้
ผมเดินไปดูงานนักศึกษาคนหนึ่ง ซึ่งเป็นกล่องที่ดูแตกต่างจากงานคนอื่น
ที่สำคัญคือนักศึกษาคนนั้นดูจะภูมิใจกับงานของตนเองมาก ผมจึงลองให้นักศึกษาคนนั้นเล่างานให้ผมฟัง
"คืองี้ครับอาจารย์ กล่องนี้เป็นกล่องเหล็กซึ่งใช้หินอ่อนและไม้ผสมและ..."
ผมยืนฟังนักศึกษาคนนั้นพูดจนจบ แต่ผมเองไม่สามารถเห็นในสิ่งที่เขาอยากให้ผมเห็นได้
ผมจึงแย้งนักศึกษาคนนั้นว่า ไอ้นี่น่ะมันใช่หรอ เหล็กบ้านคุณมันมีลักษณะแบบนี้หรอ
แล้วไม้นี่มันดูไม่มีความหนาเลยนะ แล้วคุณเพนท์แบบนี้เนี่ยถ้ามีไม้มาพาดเกยๆกัน
กล่องมันจะเอียงนะ แต่เหนือสิ่งอื่นใดนะ ผมไม่เชื่อไอ้ที่คุณบอกมาเลยสักนิดเดียว
มันดูไม่เป็นเหล็ก เป็นไม้ หรือเป็นอะไรก็ตามที่คุณบอกผมเลยสักอย่าง

นักศึกษาคนนั้นตอบผมว่า 
"จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ครับอาจารย์"

นั่นสิ จินตนาการมันสำคัญกว่าความรู้สินะ และนั่นทำให้ผมนึกถึงเรื่องสมัยเรียนเรื่องหนึ่ง

สมัยที่ผมยังเป็นนิสิตอยู่นั้นมีอาจารย์ท่านหนึ่งเป็นที่กล่าวขวัญกันในหมู่นิสิตเสมอ
ด้วยวิธีการสอนที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้เหล่าวัยฮอโมนส์พลุ่งพล่านในคราบนิสิต
มักจะเกิดการต่อต้านภายในจิตใจกันลึกๆอยู่เสมอ ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
แต่น่าประหลาดที่ว่า จวบจนเรียนจบจนถึงชั่วขณะนี้ ผมยังไม่ลืมคำพูดคำนึงของอาจารย์
คำที่ต่อมาภายหลังกว่าผมจะเข้าใจก็เข้าสู่วัยทำงานเสียแล้ว เรื่องมันมีอยู่ว่า

ตอนนั้นเป็นวิชาออกแบบลายผ้า ซึ่งแน่นอนว่าโปรเจคที่ต้องส่งคงไม่พ้นการออกแบบลายผ้านั่นเอง
ในตอนนั้นผมเลือกทำปลอกหมอนด้วยวิธีการเขียนเทียน ซึ่งวิธีการเขียนเทียนที่ว่าเราจะใช้ปากกาเขียนเทียน
โดยมีลักษณะเป็นแท่งไม้ขนาดประมาณหนากว่าดินสอนิดหน่อย แล้วตรงปลายจะเป็นกระเปาะทองแดง
สำหรับไว้เทเทียนร้อนๆ แล้วเทียนจะไหลออกมาที่ปลายกระเปาะซึ่งมีรูขนาดเล็ก เวลาเขียนก็เขียนเหมือนการวาดรูปทั่วไป
เทียนที่แห้งจะแข็งตัว แล้วเราก็เอาไปชุบสีย้อม ถ้าให้เทียบกับ Photoshop ก็คือการ Mask layer นั่นล่ะ

ผมเลือกวิธีที่ว่านี้ไม่ใช่เพราะชื่นชอบการเขียนลาย แต่เลือกเพราะดูเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดด้วยความขี้เกียจ
และลวดลายที่ผมจะออกแบบนั้นคือลายสำหรับปลอกหมอน ที่เลือกทำปลอกหมอนเพราะมันมีขนาดเล็ก
และผมก็มีหมอนอยู่ ก็เลยคิดว่าทำมาใช้เองก็คงจะดีเอาสะดวกเข้าว่า
แล้วผมก็เริ่มออกแบบลาย ลวดลายที่ว่าออกมาจากจินตนาการล้วนๆ ตามที่ความสามารถในขณะนั้นจะมีอยู่
ผมวาดด้วยความอิสระ ในหัวไม่คิดอะไร ปล่อยให้เทียนไหลไป
ผลที่ออกมาสำหรับผมในตอนนั้น คิดว่าพึงพอใจพอสมควร

แล้วก็ถึงวันส่งงาน
ผมและเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกหลายคนยืนรายล้อมกันอยู่ในห้อง
อาจารย์เดินดูงานด้วยความรวดเร็ว และให้คำแนะนำงานของแต่ละคนเบาๆ
เมื่อถึงคราวผม อาจารย์ก็เหลือบมองก่อนจะพูดว่า

"ฉันจะบอกแกให้นะ ถ้าแกมัวแต่ใช้ของที่อยู่ข้างในของแก สักวันนึงมันจะหมดไป"

ผมในตอนนั้นแม้จะรับคำ แต่ก็เกิดอาการต่อต้านในใจ
หมด อะไรจะหมด มันจะหมดได้ยังไง จินตนาการเป็นสิ่งที่ไม่มีวันหมด(โว้ย)
พลังวัยรุ่นในตอนนั้นบวกกับอคติที่เจือปน ทำให้ผมไม่เข้าใจในความหมายนั้น

จนกระทั่งเข้าสู่วัยทำงาน ผมจึงเริ่มที่จะเข้าใจความหมายของคำพูดในตอนนั้น
วันที่ผมคิดอะไรไม่ออก ไอเดียตีบตัน
จินตนการที่เคยใช้อย่างฟุ่มเฟือยก็ดูซ้ำซากกันไปหมด
ผมจึงเริ่มดูหนังสือ Artbook ตำราต่างๆ หรือแม้แต่หาข้อมูลจากเวบทั่วไป
ความคิด ความรู้ ก็เหมือนของใช้ที่มีวันหมด หากเราหยุดเสาะหาเพิ่มเติมเมื่อไหร่
สิ่งที่เราใช้คิด หรือรู้ ก็จะมีอยู่จำกัดแค่นั้น การหาความรู้ใหม่ๆทำให้จินตนการของเราแข็งแรงขึ้น
จินตนาการที่ไม่มีความรู้ ก็เหมือนเรือที่ไม่มีใบ ที่จะพาลอยตามคลื่นไปเรื่อยๆจนออกทะเล
ในทางกลับกัน ความรู้จะช่วยเสริมให้จินตนาการของเรามีทิศทาง และจูงใจคนภายนอก
ให้เข้าสู่จินตนาการของเราได้ชัดเจนขึ้น

กลับมาที่ตัวผมในตอนนั้น วัยที่คิดว่าตัวเองนี่ล่ะเจ๋งสุด
ผมซึ่งแม้จะไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำพูดที่อาจารย์บอกเท่าไหร่ ก็ยังลองทำตามที่อาจารย์บอก
ในเมื่อบอกบอกว่า ถ้าผมใช้แต่ของข้างในมันจะหมด ผมก็จะใช้ของข้างนอกละกันคราวนี้
ผมเลยไปนั่งหมกตัวอยุ่ที่ห้องสมุด และหาหนังสืองานออกแบบที่เกี่ยวข้องทั้งหลายมาดู
ผมใช้เวลากับงานชิ้นนี้อยู่พักหนึ่ง จัดการหาแบบอ้างอิงและลงมือทำ

เมื่อถึงกำหนดส่งงาน ผมยื่นงานชิ้นนั้นให้อาจารย์ดูด้วยความมั่นใจ
มั่นใจว่าคราวนี้ ไม่น่าจะโดนตีกลับเพราะผมไม่ได้ใช้ไอ้ของข้างในที่อาจารย์ว่ามันจะหมด
แต่คราวนี้ผมใช้ไอ้ของข้างนอกนี่ล่ะ ดังนั้นถ้าจะว่าก็ไม่น่าจะว่าผมได้
อาจารย์เหลือบมองงานของผมอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันมาบอกผมว่า

"ฉันจะบอกแกให้นะ การลอกลายไม่ใช่งานออกแบบ"

เรานี่มันช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยสินะ ใช่มั้ยใช่...

No comments:

Post a Comment