Wednesday, December 10, 2014

ชั่วโมงเรียนที่ 3






วันที่ผมสอนนั้นเป็นวันอาทิตย์ กำหนดการคือเริ่มสอนตอน 10 โมง
จากนั้นพักเที่ยง 1 ชั่วโมง ก่อนจะเริ่มสอนต่อตอนบ่ายโมง แล้วจบชั่วโมงเรียนตอน 1 ทุ่ม
แน่นอนว่าเวลาที่ใช้จริงย่อมไม่เหมือนเวลาตามตารางในกระดาษ

เริ่ม 10 โมงจะมีนักเรียนในห้องประมาณ 1 ใน 4 ของห้องหรือราวๆ 20 คน
พอใกล้เที่ยงจะมากันเกือบค่อนห้อง และจะมาเกือบครบในช่วงหลังพักเที่ยง
ในตอนแรกๆ ผมคิดว่าอาจจะเป็นเรื่องกระทันหันที่เตรียมตัวไม่ทันเลยมาสาย
แต่พอเริ่มครั้งที่ 2 ผมคิดว่านี่อาจจะเป็นเรื่องปกติ 
ผมถามนักเรียนคนหนึ่งว่า ทำไมเล่นมาซะบ่ายเลยล่ะ
นักเรียนคนนั้นตอบผมว่า

"เรียนเช้าเกิน ตื่นไม่ไหวครับอาจารย์"

ผมนึกย้อนกลับไปสมัยเรียน ที่อาจารย์จะคอยจำ้จี้จำ้ไช สอนจนปากเปียกปากแฉะ
ตามงานที่เราขาดส่ง คอยเตือนเวลาที่เรามาสาย
ผมเองก็เป็นนักเรียนมาก่อน และแน่นอนว่าต้องเคยมาสาย
บางคนอาจมองว่าอาจารย์จะมาอะไรกับนักเรียนมากมาย
ทั้งๆที่ ที่อาจารย์ทำมาทั้งหมดก็เพื่อตัวนักเรียนเอง
วิถีแบบไทยๆที่อาจารย์มองนักเรียนเหมือนลูก เหมือนผุ้ใหญ่ดูแลเด็ก
และคอยตักเตือนให้นักเรียนประพฤติตนทั้งในและนอกเวลาเรียน
จะให้บอกว่าแบบไหนดีกว่ากันคงเป็นเรื่องยาก เนื่องจากคนเราต่างกัน
บางคนประพฤติตนให้อยู่ตามกฎเมื่อได้รับการตักเตือน
บางคนกลับพยายามแหกคอกเมื่อได้รับการตักเตือน
ถ้าคุณมาสาย อาจารย์เตือนคุณเพื่อโอกาสของคุณเอง
ถ้าคุณขาดเรียน อาจารย์เตือนคุณเพื่อที่คุณจะมีเวลาเรียนพอ
ถ้าคุณขาดส่งงาน อาจารย์เตือนคุณเพื่อย้ำถึงความรับผิดชอบของตัวคุณเอง
ถ้าคุณทำงานใช้ไม่ได้ อาจารย์เตือนคุณเพื่อให้พร้อมกับสังคมการทำงาน

จนเมื่อสมัยไปเรียนที่อเมริกา ผมจึงเห็นความแตกต่างของความเป็นอาจารย์
ที่นี่อาจารย์จะมองนักเรียนว่าเป็นคนๆหนึ่ง ที่ควรจะมีความรับผิดชอบขั้นพื้นฐาน
การดุด่าว่ากล่าว หรือตักเตือนจะพบเห็นได้น้อยมาก ยิ่งในสายงานที่การแข่งขันสูงยิ่งแล้วใหญ่

ถ้าคุณมาสาย นั่นก็เรื่องของคุณที่จะพลาดโอกาสในตอนเช้า
ถ้าคุณขาดเรียน นั่นก็เรื่องของคุณที่ปลายเทอมเวลาเรียนคุณจะไม่พอ
ถ้าคุณขาดส่งงาน นั่นก็เรื่องของคุณที่จะไม่มีคะแนนเก็บ
ถ้าคุณทำงานใช้ไม่ได้ นั่นก็เรื่องของคุณที่จะจบ (ถ้าจบนะ) แล้วหางานทำไม่ได้
คุณจะใช้ชีวิตแบบไหน นั่นขึ้นกับสิ่งที่คุณเลือกเอง
คนที่ไม่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำ ย่อมมีโอกาสน้อยกว่าคนที่เตรียมพร้อมเสมอ

ผมมาคิดดูแล้ว บางทีผมอาจจะไม่ใช่อาจารย์ใจดีอย่างที่นักเรียนคิด
เด็กหลายคนอาจคิดว่าผมใจดี ไม่เหมือนอาจารย์ที่เขาเคยเรียนมาด้วยที่คอยจู้จี้จุกจิก
แต่จริงๆแล้ว ผมแค่ไม่สนใจ

อาจจะด้วยความที่เป็นอาจารย์พิเศษ ทำให้ใช้เวลากับนักเรียนแค่ช่วงเวลาในห้องเรียนเท่านั้น
ผมจึงไม่สนใจว่านักเรียนที่ผมสอนจะใช้ชีวิตอย่างไร มีปัญหาอะไรไหม
ผมสนใจว่า ในชั่วโมงเขามีความกระตือรือล้นในการเรียนไหม
ถ้าเขาพร้อม ผมก็ยินดีที่จะให้ และถ้าเขาเปิดรับ ผมก็จะชี้ทางให้เขาเห็นว่าข้างหน้ามันมีอะไร
ผมเชื่อว่าแต่ละคนมีวิธีการคิดที่ต่างกัน วิธีที่ผมแนะนำเป็นเพียงวิธีหนึ่งเท่านั้น
เขาไม่จำเป็นที่จะต้องเชื่อที่ผมสอนทั้งหมดก็ได้ ถ้าเขาคิดว่ามีวิธีไหนที่ดีกว่าผมก็พร้อมรับฟัง
หรือจะไม่เชื่อเลยก็ได้ ถ้างานที่เขาทำออกมาทำได้เหมือนหรือดีกว่าวิธีที่ผมสอน

กลับมาที่หลังจากนักเรียนคนนั้นตอบผมว่า มันเช้าเกินทำให้มาเรียนไม่ไหว
ผมตอบกลับไปแค่ว่า "อืม ก็จริงนะ วันอาทิตย์ใครๆก็อยากตื่นสายกัน"
เพราะผมเองก็ไม่อยากตื่นตั้งแต่ตี 5 ของเช้าวันอาทิตย์
เพื่อขึ้นเครื่องบินมาสอนเหมือนกัน




No comments:

Post a Comment