Sunday, September 7, 2014

ศูนย์อาหารที่ท่าเรือหมายเลข 21



ผมเพิ่งค้นพบสถานที่สุดวิเศษแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพฯเมื่อไม่นานมานี้เอง สถานที่ที่ว่านี้อยู่ที่ศูนย์การค้าแห่งหนึ่งที่อยู่ตรงจุดตัดระหว่างถนนสุขุมวิทกับถนนอโศกมนตรี และเป็นจุดเปลี่ยนสถานีระหว่างรถไฟฟ้าและรถไฟฟ้าใต้ดินอีกด้วย

โดยเพียงไม่กี่ก้าวจากสถานีรถไฟฟ้าคุณก็จะเข้าสู่ศูนย์การค้าจากจุดเชื่อมของสถานีรถไฟฟ้า จากนั้นคุณเพียงแค่มุ่งหน้าไปทางตรงในระยะประมาณ 10 ก้าว คุณจะเห็นบันไดเลื่อนขนาดยาวอันหนึ่ง บันไดเลื่อนที่ว่ามีขนาดและหน้าตาเหมือนบันไดเลื่อนปกติ เพียงแต่บันไดเลื่อนอันนี้จะนำคุณสู่ชั้น 3 โดยทันที

จากนั้นเมื่อคุณถึงชั้น 3 ให้เลี้ยวขวาไปจะเจอบันไดเลื่อนอันหนึ่งอยู่อย่างโดดเดี่ยว กล่าวคือมีเพียงบันไดเลื่อนขึ้นแต่ไม่มีลง ซึ่งห่างไปไม่ไกลก็มีบันไดเลื่อนทั้งขึ้นและลงอยู่ในชั้นเดียวกันอยู่แล้ว หน้าที่ของบันไดเลื่อนตัวนี้จึงเป็นแค่การขึ้นอย่างเดียว จากนั้นเมื่อคุณขึ้นไปถึงชั้น 4 ให้เดินตรงต่อไปคุณจะเห็นบันไดเลื่อนคู่ ให้ขึ้นไปบนนั้นและคุณจะถึงชั้น 5

เมื่อถึงชั้น 5 แล้วให้คุณกลับหลังหันทั้งตัวแล้วเดินตามโค้งขวาไปตามทาง ถ้าคุณเดินมาถูกทาง ทางด้านซ้ายมือของคุณจะเป็นที่นั่งยาวเหยียดคั่นด้วยน้ำเป็นทางยาวและมีแมวน้ำประดับประดาเป็นบางจุด ส่วนทางด้านขวามือคุณจะเป็นบรรดาร้านอาหารต่างๆ ขอให้คุณอดใจรออีกนิด และคุณก็จะถึงที่หมายนั่นคือ ศูนย์อาหารชั้น 5 นั่นเอง

คุณอาจจะคิดว่าศูนย์อาหารที่ไหนๆก็เหมือนกัน แต่ศูนย์อาหารที่นี่มีความแปลกเฉพาะตัวไม่เหมือนศูนย์อาหารที่อื่น ผมมักจะหาจังหวะเพื่อมานั่งทำงานที่บริเวณนี้เสมอ โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมคือ ช่วงเวลาระหว่าง 3 -5 โมงเย็น ด้วยว่าเป็นเวลาที่ผู้คนพากันกินอาหารเที่ยงเสร็จหมดเรียบร้อยแล้ว และส่วนใหญ่จะกลับเข้าไปทำงานตามเดิม ที่หลงเหลืออยู่อาจจะเป็นกลุ่มนักศึกษาหรือกลุ่มนักติวที่มาจับกลุ่มกันอ่านหนังสือเท่านั้น

ก่อนอื่นเลย เมื่อคุณเดินมาถึงศูนย์อาหารแล้ว ถ้าคุณเห็นซุ้มขายตั๋วอาหารที่คนต่อแถวยาวเหยียด ผมแนะนำให้คุณอย่าเพิ่งต่อแถวนั้น แต่เดินเลยเข้าไปในโซนขายอาหารเสียก่อน คุณอาจจะลองแวะเวียนเลือกอาหารที่อยากสั่ง ก็ลองเล็งไว้ก่อนจนเมื่อคุณเดินจนสุดบริเวณที่ขายอาหาร คุณจะเห็นซุ้มที่แปะป้ายไว้ว่า "ท่าเรือหมายเลขที่ 21" และซุ้มที่ว่านั้นก็ขายตั๋วอาหารเช่นกัน และผู้คนที่มาต่อแถวก็มีจำนวนไม่มากเท่าซุ้มข้างหน้าด้วยว่าหลายคนอาจจะไม่รุ้ว่าที่ตรงนี้มีซุ้มอยู่ แต่ตอนนี้คุณรู้แล้วนี่ ถ้าอย่างนั้นจะรีรออะไร รีบแลกตั๋วแล้วไปเลือกอาหารที่เล็งไว้ก่อนเถอะ

สิ่งที่ขึ้นชื่อสำหรับศูนย์อาหารที่นี่คือ ราคาเมื่อเทียบกับปริมาณและรสชาติแล้ว ถือว่าคุ้มค่า จึงไม่น่าแปลกที่ช่วงเวลาเที่ยงวัน สถานที่แห่งนี้จะคราคร่ำไปด้วยผู้คนมากมาย ด้วยบริเวณอโศกแล้ว อาหารเที่ยงติดแอร์ที่ราคาเหมาะสมนั้นมีทางเลือกให้ไม่มากนัก และที่แห่งนี้ดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดอยู่ สำหรับผมซึ่งมีเป้าหมายหลักคือการนั่งทำงานเรื่อยเปื่อยเล็กๆ อาหารจานหลักจึงไม่ใช่ตัวเลือกของผมเท่าไหร่นัก ผมมักจะเลี่ยงไปทางของกินเล่นเสียมากกว่า และของกินเล่นที่ผมมักจะสั่งประจำคือ ติ่มซำ

ขนมจีบหมูลูกละ 7 บาท ซึ่งใน 1 จานจะมีขนมจีบ 6 ลูก สนนราคาขนมจีบต่อจานก็จะอยู่ราวๆ 42 บาท ยังไม่นับซาลาเปาหมูแดงลูกละ 7 บาท ซึ่งก็แล้วแต่ว่าคุณมีความอยากอาหารขนาดไหน ดังนั้นโดยรวมแล้วชุดติ่มซำก็จะอยู่ที่ราคา 49 บาท ส่วนเครื่องดื่มไม่โอเลี้ยงก็น้ำผลไม้ปั่น ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 20 บาท ดังนั้นเพียงแค่ 69 บาทคุณก็สามารถใช้เวลาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ได้เต็มที่แล้ว แม้ว่าโดยมารยาทในการใช้ศุนย์อาหารแล้ว เราไม่ควรจะนั่งแช่ที่โต๊ะจนนานเกินไป แต่ในช่วงเวลาที่ว่า ผมพบว่าการนั่ง 1-2 ชั่วโมงก็ไม่เป็นการเดือดร้อนใครเท่าไหร่นัก ด้วยเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนบางเบาและไม่เร่งด่วน

เมื่อคุณได้อาหารครบถ้วน พร้อมที่จะนั่งลงแล้วจัดการของว่างขณะทำงานหรืออ่านหนังสือไปด้วย ลำดับถัดมาคือการหาที่นั่ง จริงอยู่ที่ว่าจะนั่งตรงไหนก็เหมือนๆกัน ถ้าจุดประสงค์ของคุณคือการหาที่นั่งเพื่อที่จะกิน แล้วลุกออกไปเมื่อกินเสร็จ แต่ถ้าคุณอยากจะหาที่นั่งเพื่อทำงานเล็กๆ เงียบๆเพียงชั่วสักครู่ ที่นั่งที่คุณเลือกอาจจะเป็นปัจจัยสำคัญเช่นกัน ผมแนะนำให้คุณเดินลึกเข้าไปจนสุดพื้นที่ของบริเวณที่นั่ง แล้วมองหาป้ายไฟนีออนรูปลูกศรที่มีตัวหนังสือเขียนไว้ว่า "Bistro" และที่ข้างใต้ป้ายนั้น คุณจะเห็นพื้นยกระดับที่จำลองให้เป็นเหมือนชานไม้ทางเดินรอบๆบริเวณท่าเรือ และตรงนั้นล่ะคือทำเลที่ผมคิดว่าดีที่สุด ในบริเวณนั้นจะประกอบด้วยที่นั่งอยู่ 3 แถว คือแถวริมทางเดิน แถวกลาง และแถวริมหน้าต่าง แถวที่ดีที่สุดคือแถวริมหน้าต่าง เหตุผลง่ายๆคือ คุณได้กำจัดด้านที่จะรบกวนคุณออกไปแล้ว 1 ด้าน ที่นั่งริมหน้าต่างที่ไม่มีใครสามารถเดินเข้ามาในสายตาคุณได้ ทำให้คุณมีพื้นที่ปลอดภัยขึ้นแล้ว 1 ด้าน ทีนี้จะให้พื้นที่นั้นอยู่ฝั่งไหนของคุณก็สุดแล้วแต่คุณจะถนัดซ้ายหรือขวาก็เลือกเอาตามใจชอบเถอะ และครั้นพอคุณนั่งทำงานจนล้า แล้วอยากจะพักสายตาก็เพียงแค่มองออกไปนอกหน้าต่าง ถ้าคุณมองไกลคุณก็จะมองเห็นถนนอโศกมนตรี และอาคารทรงสูงต่างๆ ถ้าคุณมองใกล้ คุณก็จะเห็นหลังคาของบ้านเรือนในบริเวณนั้นซึ่งแต่ละหลังมีรูปแบบที่แตกต่างกัน หลังที่เตะตาผมมากที่สุดคือหลังที่บนดาดฟ้าเขาทำลูกกรงทาสีเหลืองจัดคร่อมไว้ เรียกได้ว่าแค่เปิดประตูดาดฟ้าออกมาก็เหมือนถูกขังอยู่ในกรงเลย

เวลาที่ผมนั่งทำงาน ถ้าผมต้องการสมาธิบางครั้งผมเลือกที่จะไม่ฟังเพลงจาก iPod แต่จัดการเก็บเจ้า iPod ที่ว่าลงกระเป๋าและปิดให้สนิทเสีย คุณอาจจะแย้งว่า ถ้าไม่ได้ฟังเพลงจากหูฟัง เสียงรอบข้างน่าจะกวนสมาธิจนทำงานไม่รู้เรื่อง แต่ในทางตรงกันข้ามบางครั้งการทำงานท่ามกลางเสียงอึกทึกที่ฟังไม่ได้สรรพก็ทำให้เรามีสมาธิเช่นกัน ด้วยความที่เราฟังไม่รู้เรื่อง ความหมายของเสียงจึงไม่สามารถแทรกผ่านเข้ามาในความคิดของเราได้ นอกเหนือไปจากนั้น การนั่งฟังคนคุยกันหรือสังเกตผู้คนรอบข้างก็เป็นการฆ่าเวลาที่น่าสนใจอย่างหนึ่งเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น ผู้ชายคนที่นั่งอยู่โต๊ะตรงข้ามผมตอนนี้

ชายหนุ่มผิวขาว ไว้ผมทรงสั้นปัดเอียงไปข้างหนึ่ง สวมแว่นตาพลาสติกกรอบเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า สวมเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนกับเสื้อนอกลำลอง ลักษณะโดยรวมทำให้ผมคิดว่าเขาน่าจะเป็นพนักงานออฟฟิศทั่วไป บนโต๊ะของเขาไม่ได้มีจานข้าวหรือร่องรอยการกินอาหารจานหลักเลย มีเพียงกาแฟแก้วหนึ่ง และมีสมาร์ทโฟนขนาดเขื่องอยู่หนึ่งเครื่องวางอยู่ นอกนั้นก็มีเพียงหนังสือในมือของเขา

หนังสือ หนังสืออะไร

นิสัยอย่างหนึ่งของผมเวลาเห็นคนอ่านหนังสือคือ จะอยากรู้ว่าคนๆนั้นอ่านหนังสืออะไร และทำไมถึงเลือกอ่านหนังสือเล่มนี้ จากนั้นอาจจะคาดเดาลักษณะนิสัยของคนจากการอ่านหนังสือดูเล่นๆ จริงบ้างเท็จบ้างผมก็ไม่รู้หรอก ด้วยว่าผมไม่ได้ไปถามหาคำตอบจากคนเหล่านั้นเลย

แต่อย่างไรก็แล้วแต่ ตอนนี้ความสนใจของผมอยู่ที่หนังสือในมือของชายหนุ่มคนนั้น

หนังสือที่อยู่ในมือเขามีขนาดพกพาใส่กระเป๋าได้สบายๆ ความหนากำลังดีไม่มากเกินไปจนคร้านที่จะอ่านจนจบและไม่น้อยจนเกินไปที่จะไม่มีสาระบรรจุไว้เพียงพอ หน้าปกหนังสือเป็นกระดาษอาบมันหุ้มด้วยปกพลาสติกใสที่ตรงมุมมีรอยงอเล็กน้อย หน้าปกหนังสือมีสีขาวและมีตัวหนังสือเขียนไว้ขนาดเตะตาคนอ่านว่า

"วิธีการพูดโน้มน้าวใจคน"

วิธีการพูดโน้มน้าวใจคน ชายหนุ่มคนนี้เป็นใคร แล้วทำไมถึงต้องอยากโน้มน้าวใจคนอื่น ในหัวผมคิดถึงความเป็นไปได้ร้อยแปดที่ชายหนุ่มคนนี้อยากจะโน้มน้าวใจคน บางทีเขาอาจจะเตรียมตัวไปพรีเซนท์งาน บางทีเขาอาจจะต้องไปขายงานกับหัวหน้า หรือบางทีเขาอาจจะอยากพูดโน้มน้าวหัวหน้าให้ขึ้นเงินเดือนตามที่เขาขอ ยิ่งคิดความเป็นไปได้ยิ่งออกมาเรื่อยๆและแต่ละอันดูจะไม่ใกล้เคียงกันเลย

คิดได้แบบนั้น ผมจึงหยุดคิดและเริ่มสังเกตชายหนุ่มคนนั้นดูใหม่อีกรอบ

ชายหนุ่มคนนั้นใส่เสื้อเชิ้ตแและสวมเสื้อนอกแบบลำลอง บางทีเขาอาจจะไม่ใช่พนักงานออฟฟิศทั่วไป อาจจะเป็นระดับหัวหน้า แต่ดูจากอายุแล้วไม่น่าจะถึงขั้นเป็นผู้บริหาร

เสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนที่ใส่ ทำให้รู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้มีความมั่นใจในตัวเอง กล้าเลือกสีที่ตนชอบ

นาฬิกาข้อมือสีเงินที่ผมเพิ่งเห็นโผล่ออกมาตอนเขาพลิกหน้าหนังสือ แม้จะไม่สามารถบอกได้ว่าเป็น
ยี่ห้ออะไรเนื่องจากความรู้ในเรื่องนาฬิกาข้อมือของผมแทบไม่มี แต่ดูจากลักษณะความมันวาวและขนาดที่ดูน่าจะหนักข้อมือคนสวมพอดู ทำให้รู้สึกว่านาฬิกาเรือนนี้ราคาไม่น่าจะน้อย

สมาร์ทโฟนบนโต๊ะเองก็เป็นรุ่นยอดนิยม และไม่ใช่ยี่ห้อตลาดทั่วไป ทำให้ผมคิดว่าเขาคนนี้น่าจะมีความรู้เรื่องเทคโนโลยีอยู่บ้าง อาจจะติดตามข่าวสารด้านนี้ตลอดเวลา

แก้วกาแฟบนโต๊ะ บอกให้ผมรู้ว่าเขาอาจจะตั้งใจมานั่งอ่านหนังสือที่นี่ อาจจะรอใครสักคนหรือบางทีอาจแค่ต้องการฆ่าเวลา บางทีเขาอาจจะมีนัดทานอาหารเย็นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าก็ได้

หนังสือเล่มที่เขาถือยังคงสภาพที่ดีอยู่อาจจะด้วยปกพลาสติกใสที่หุ้มไว้ และการคั่นหนังสือไว้เป็นช่วงๆ ทำให้ผมคิดว่าเขาน่าจะเคยอ่านมาหลายรอบแล้ว

และที่สำคัญคือจังหวะในการอ่านหนังสือของเขา สายตาที่ไล่ตัวหนังสือจากซ้ายไปขวาเป็นจังหวะเหมือนเครื่องพิมพ์ดีดที่คอยขึ้นบรรทัดใหม่ ผมคิดว่าเขากำลังวิเคราะห์ความหมายในแต่ละบรรทัดอย่างละเอียดเผื่อเก็บสิ่งที่ตกหล่นไปจากการอ่านครั้งก่อน เขาน่าจะเป็นคนรอบคอบ

ขณะที่ผมยังประมวลผลไม่เสร็จอยู่นั้น โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น
ชายหนุ่มปิดหนังสือลงแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก่อนจะกดรับ และจากการฟังบทสนทนาโดยไม่ได้ตั้งใจทำให้ผมจับใจความได้ว่า เขาได้นัดใครคนหนึ่งไว้ที่นี่ อาจจะเป็นเพื่อนหรือลูกค้า และตอนนั้นใครคนนั้นก็ได้โทรแจ้งเขาว่าตอนนี้ได้ถึงที่นัดแล้ว หลังจากชายหนุ่มจัดแจงบอกตำแหน่งที่เขานั่งอยู่เรียบร้อยแล้ว เขาก็กดวางโทรศัพท์และวางมันไว้บนโต๊ะเหมือนเดิม จากนั้นจึงหยิบหนังสือลงไปเก็บไว้ที่กระเป๋าสะพายที่วางไว้ข้างเก้าอี้

และเพียงไม่กี่อึดใจ แขกของชายหนุ่มก็ปรากฎตัว

สาวออฟฟิศผมยาวในชุดเสื้อและกระโปรงทำงานสีเลือดหมูเดินเข้ามาข้างโต๊ะที่ชายหนุ่มนั่ง ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มให้สาวออฟฟิศคนนั้น จากนั้นจึงผายมือ เชื้อเชิญให้สาวออฟฟิศคนนั้นนั่งลง จากนั้นจึงกล่าวทักทายต่อกัน ทั้งคู่ยังดูประหม่าเขินอายกันเล็กน้อย เหมือนยังไม่คุ้นกันเท่าไหร่

บางทีสาวออฟฟิศคนนี้อาจจะเป็นคนรักของชายหนุ่มก็ได้

และบางทีหนังสือที่ชายหนุ่มคนนั้นนั่งอ่าน อาจจะเป็นตำรารักเพื่อพิชิตใจสาวออฟฟิศคนนี้นี่เอง

ผมคิดว่าทฤษฎีนี้ดูจะเป็นไปได้ที่สุดแล้ว ความสนุกของผมจึงเพิ่มขึ้นด้วยความที่อยากรู้ว่าสมมติฐานที่ผมวางไว้จะถูกหรือไม่ และบัดนี้เจ้าสมมติฐานที่ว่านี้กำลังได้รับการพิสูจน์ จากตำแหน่งที่ผมนั่งผมไม่สามารถเห็นสีหน้าของสาวออฟฟิศคนนั้นได้เนื่องจากเธอนั่งข้างหน้าผม ผมจึงสังเกตได้แต่สีหน้าของชายหนุ่ม ชายหนุ่มซึ่งเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้นั่งอ่านหนังสือเงียบๆโดยไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร แต่ในตอนนี้เขากลับมีรอยยิ้มระบายอยู่ทั่วหน้า

ผมเห็นแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวังดี ความรุ้สึกของชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดีให้กับคนรักของเขา แผ่ซ่านกระจายออกมาจนผมสามารถรับรู้ได้ ความอยากให้คนรักของเขาได้รับแต่ในสิ่งดีๆได้รับการยืนยันออกมาจากปากของชายหนุ่มเอง และสาวเจ้าคนนั้นก็ดูขัดขืนแต่เขินอายอยู่เล็กน้อย

ผมลอบชื่นชมทั้งคู่อยู่เงียบๆ ความพยายามของชายหนุ่มที่ตั้งใจพิชิตใจสาวเจ้าให้ได้ ถึงขนาดทำการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากตำราที่ว่า และความมุมานะของชายหนุ่มทำให้ผมนับถือเขาอยู่ในใจ จนกระทั่งชายหนุ่มคนนั้นเริ่มแนะนำการขายตรงให้สาวเจ้า

อ้าว...

สรุปว่าที่อ่านหนังสือเมื่อกี้คือติวก่อนเข้าห้องสอบหรอกเรอะ

No comments:

Post a Comment