ซึ่งผมลองเอาไปให้รุ่นพี่ที่เรียนอยู่ดูว่า แต่ละวิชาเป็นยังไง ตัวไหนน่าสนใจบ้างและตัวไหนไม่น่าสนใจ
หลังจากปรึกษาเสร็จเรียบร้อย รุ่นพี่แนะนำให้ผมไปขอข้ามบางวิชาเพราะมันเป็นวิชาพื้นฐานเกินไป เกรงว่าจะเสียทั้งเงินและเวลาไปเปล่าๆ
ผมเลยเดินเข้าไปคุยกับไดเรกเตอร์ของภาควิชาที่ผมเรียนอยู่ ซึ่งขั้นตอนไม่มีอะไรมาก
แค่คุณพิสูจน์ตัวเองให้ไดเรกเตอร์เห็นว่าคุณไม่จำเป็นต้องเรียนเจ้าวิชาพื้นฐานเหล่านี้แล้วก็พอ
ยกตัวอย่างเช่น มีวิชา "ก้าวแรกสู่โลกสามมิติขั้นแรก" พูดง่ายๆคือสอนการใช้ซอฟแวร์เบื้องต้นนั่นเอง
ตัวผมเองผ่านการทำงานมาราว 2 ปีแล้ว ทำให้ชินกับเจ้าซอฟแวร์ตัวนี้อยู่พอควร ถ้าไปเรียนอีกก็น่าจะเสียเวลาเปล่า สู้ไปเรียนตัวถัดไปเลยไม่ดีกว่ารึ
ผมเลยเอาพอร์ทโฟลิโอให้ไดเรกเตอร์ดู และได้รับอนุญาตให้ข้ามวิชานั้นไปเรียนตัวถัดไปได้เลย
ต้องบอกก่อนว่าภาควิชาที่ผมไปศึกษาต่อนั้น แม้จะเป็นหลักสูตรปริญญาโท แต่คนที่มาเรียนไม่จำเป็นต้องจบด้านนี้มาก่อน
หลายคนจบด้านบริหาร หรือด้านอาร์ทในสายอื่นมาก่อน ก่อนที่จะมาที่ด้านอนิเมชั่นนี้
ทำให้เทอมแรกเมื่อผมเข้าไปเรียนในวิชา "ก้าวที่สองสู่โลกสามมิติ" เพื่อนบางคนสงสัยว่าทำไมผมไม่ต้องเรียนตัวแรก
เมื่อเริ่มเรียน อาจารย์สอนทีละขั้นตอนไล่ตั้งแต่การสร้างโมเดลคาแรกเตอร์ การจัดการกับ UVs และขั้นตอนการริกกิ้งเบื้องต้น
วิธีการเรียนจะเป็น อาจารย์เลกเชอร์ครึ่งนึง อีกครึ่งนึงให้นักเรียนนั่งทำงานกันไปเองและอาจารย์คอยเดินตรวจทีละคน
ใครสงสัยอะไรก็จะได้อาศัยจังหวะนี้สอบถามอาจารย์ได้ ก่อนจะจบคาบอาจารย์ก็จะสั่งงานให้เอาไปกลับไปเป็นการบ้าน และพอต้นชั่วโมงในสัปดาห์ต่อมาก็จะเปิดงานของแต่ละคนและคอมเมนท์งานไล่ไปทีละคน
บอกตามตรงวิชานี้แม่งง่ายมากสำหรับผม สมัยทำงานจริงที่ไทยยังเหนื่อยกว่า
ผมนั่งดูเพื่อนร่วมชั้นบางคนสับสนกับเจ้าซอฟแวร์ตัวนี้ บ้างก็ทำงานออกมาไม่ค่อยดีในสายตาผม
เวลาที่อาจารย์เปิดงานของแต่ละคนดูและคอมเมนท์จึงเป็นเวลาที่ผมแอบภูมิใจลึกๆเมื่อได้รับคำชมจากอาจารย์และสายตาจากเพื่อนร่วมชั้นว่า ไอ้นี่มันทำได้ยังไง
ความมั่นใจในงานทำให้อีโก้ของผมสูงขึ้นแม้ผมจะเพิ่งมาเรียนเทอมแรกก็เถอะ
จนเมื่อวันหนึ่งเพื่อนร่วมชั้นเรียนชาวเกาหลีชวนผมไปทำหนังสั้นด้วยกันกับเขา
ผมไปเข้าประชุมกับเพื่อนเกาหลีราวๆ 10 กว่าคนและชาวต่างชาติทั้ง อเมริกัน ญี่ปุ่นและไทยอีกคละกันไปรวมทั้งหมดน่าจะประมาณ 20 คน
จากการไปประชุมบ่อยๆ ทำให้ผมเริ่มสนิทกับเพื่อนเกาหลีมากขึ้น
จนเทอมถัดมาเพื่อนเกาหลีก็ชวนผมไปลงวิชานึง ซึ่งวิชานี้คนทั่วไปจะไม่ค่อยรู้จักหรอก
เพราะสอนโดยอาจารย์เกาหลี ดังนั้นคนที่รู้จักจึงเป็นนักเรียนเกาหลีซะเกือบหมด
ผมลงเรียนวิชานี้ทันที เนื่องจากเคยได้ยินชื่อเสียงของอาจารย์คนนี้จากรุ่นพี่มาก่อน
อาจารย์คนนี้เก่งขนาดไหน ก็เก่งขนาดตอนแกเรียนจบแกสมัครงานด้วยโมเดล 3D แค่ชิ้นเดียวแล้วเขารับเลยล่ะ
ผมจำได้ว่าวิชานี้เราเรียนกันทุกวันพฤหัสบดี เวลา 1ทุ่มตรง ถึง 4 ทุ่ม ที่เป็นเวลาเช่นนี้ก็เพราะอาจารย์จะมาสอนหลังจากเลิกงาน คลาสที่เรียนกันดึกๆจึงมักจะเป็นอาจารย์ที่ยังทำงานในอุตสหกรรมนี้อยู่
ที่ผมจำวิชานี้ได้แม่นจนถึงทุกวันนี้ก็เพราะ มันทำให้ผมรู้ว่าไอ้การอายแบบแทบแทรกแผ่นดินนี่เป็นยังไง
ชั่วโมงแรกของการเรียน อาจารย์ได้บอกล่วงหน้าให้นักเรียนทุกคนนำงานของตัวเองที่คิดว่าดีที่สุดมาดูกัน
จุดประสงค์คือต้องการดูความสามารถของแต่ละคนว่ามีขนาดไหน ผมเองก็ไม่ลืมที่จะนำงานชิ้นที่ผมคิดว่าดีที่สุดของผมไปโชว์ด้วย
หลังจากอาจารย์แนะนำตัวเสร็จก็เริ่มดูงานของแต่ละคน โดยคราวนี้อาจารย์จะเดินไปที่โต๊ะของนักเรียนทีละคนและให้นักเรียนทั้งห้องที่เหลือล้อมวงอยู่ข้างหลังขณะที่อาจารย์นั่งดูและคอมเมนท์งานไป
อาจารย์เปิดงานนักเรียนคนแรกขึ้นมาดูสักพัก แล้วก็เริ่มคอมเมนท์งานว่าจุดไหนควรปรับปรุง จุดไหนน่าจะแก้ใหม่
จากนั้นจึงไล่ไปที่คนถัดไป ดูงานและเริ่มคอมเมนท์ ลูปนี้วนไปเรื่อยๆจนถึงผมเป็นคิวถัดไป
ถึงจุดนี้ผมแทบอยากจะปิดคอมแล้วออกจากห้องเรียนนี้แล้วไม่กลับมาเลย
ทำไมน่ะรึ
เพราะงานของคนข้างหน้าที่ผ่านมา แม่งโปรมากๆ โปรชนิดที่ว่าคุณไม่ต้องเรียนแล้วล่ะ ไปทำงานเหอะ
เมื่อเทียบกับงานของผมชิ้นที่คิดว่าดีที่สุดแล้วเนี่ย ยิ่งเห็นได้ชัดเจนถึงความห่างชั้น
แต่เอาเถอะ ไหนๆก็ไหนๆ อุตส่าห์ถ่อมาถึงซานฟรานซิสโกแล้ว ลองดูหน่อยจะเป็นอะไรไป
แล้วอาจารย์ก็มานั่งที่หน้าคอมพิวเตอร์ของผม ผมกลั้นหายใจขณะที่อาจารย์หมุนโมเดลของผมไปมา
" นี่ ไม่เรียบร้อย " อาจารย์ชี้ให้ดูขอบใต้กางเกงที่ยึกยือบนโมเดลลิ้งค์จากเซลด้า (ไอ้เอลฟ์ชุดเขียวน่ะชื่อลิ้งค์ เซลด้าคือตัวเจ้าหญิงที่ลิ้งค์ต้องไปช่วยนะ อย่าสับสน)ที่ผมทำ
" ทำไมทำแบบนี้ " อาจารย์ถามต่อ
ผมนั่งอ้าปากค้างก่อนจะตอบเบาๆว่า " จริงด้วย ผมเพิ่งเห็นเนี่ยล่ะ"
" แล้วนี่ ตรงนี้ ทำไมถึงทำแบบนี้ " อาจารย์ชี้ไอ้จุดที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
ยังไม่ทันจะตอบอะไร อาจารย์ก็ตัดบทว่า " มันใช้ไม่ได้นะ "
แล้วอาจารย์ก็ลุกไปตรวจนักเรียนคนถัดไป ทิ้งให้ผมกับอีโก้ของผมนั่งหูแดงร้อนผ่าวด้วยความอายอยู่เงียบๆ
หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ผมก็ทิ้งอีโก้ทั้งหมดที่มีอยู่ซะ (ซึ่งไม่ต้องห่วงว่าจะหายเดี๋ยวอีโก้มันก็กลับมาเอง)
และจริงจังกับการฝึกขั้นพื้นฐานใหม่ โดยผมกะว่าไอ้โปรเจคหนังสั้นที่ทำกับเพื่อนนี่ล่ะจะเป็นตัวฝึกฝีมือและฝึกความสามารถในการรับฟังความเห็นผู้อื่น
ทีมหนังสั้นของเราเริ่มประชุมกันบ่อยขึ้นโดยอยู่ในช่วง Pre-production การเตรียมงานในส่วนนี้จึงมีแต่ Concept Artist เท่านั้นที่ทำ โดยตอนแรกมีทั้งชาวเกาหลี และ อเมริกันที่ทำงานร่วมกันในส่วนนี้
แต่ด้วยความเห็นไม่ตรงกันจนแทบยุบโปรเจค สุดท้ายชาวอเมริกันก็จากไป เหลือเพียงแต่ทีมเกาหลึล้วนกับไทยอีก 1 หน่อ
จากนั้นก็เข้าช่วง Production ซึ่งเป็นส่วนที่ผมเริ่มมามีส่วนร่วมละ
ผมกับยูมิน หนุ่มเกาหลีรับผิดชอบในส่วนของโมเดลฉากและสภาพแวดล้อม โดยยูมินเองเคยทำงานที่เกาหลีรวมถึงรับฟรีแลนซ์พวกหนังต่างๆอยู่
ผมจึงคิดว่าการทำงานกับยูมินน่าจะทำให้ผมเรียนรู้อะไรได้มากขึ้น
เรารับบรีฟจากไดเรกเตอร์ของโปรเจคซึ่งก็เป็นนักเรียนด้วยกันนี่แหละ แต่เราแบ่งตำแหน่งตามแต่ละคนถนัดให้เหมือนกับการทำหนังจริงๆ นอกจากนี้ยังมีโปรดิวเซอร์คอยให้คำปรึกษา ซึ่งก็คือนักเรียนที่เพิ่งได้รางวัลหนังสั้นจากการประกวดภายในโรงเรียนไปเมื่อปีที่แล้วนั่นเอง
พวกเรานัดกันว่าในอาทิตย์นึง เราจะมาทำงานรวมกันที่โรงเรียน 1 ครั้ง นอกนั้นก็แล้วแต่ละคนจะถนัดว่าทำที่ไหน ที่บ้านหรือโรงเรียนก็ได้
ทุกอาทิตย์พวกเรากว่า 20 ชีวิต จึงนั่งรวมกันในห้องเรียนและทำงานต่อเนื่องกัน 3 ชั่วโมงก่อนจะแยกย้ายไป
ซึ่งแน่นอนว่าไอ้ 3 ชั่วโมงนี่มันไม่พอหรอก ผมก็ทำที่บ้านบ้าง ที่โรงเรียนบ้าง หรือบางครั้งก็ไปทำที่บ้านของยูมินกันข้ามคืนเลยทีเดียว
การทำงานกับเพื่อนนี่ ข้อดีคือทำให้เราเรียนรู้เทกนิคใหม่ๆได้เพิ่มขึ้น เพราะวิธีการทำงานของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกันอยู่แล้ว
ดังนั้นการได้เรียนรุ้เทกนิคใหม่ๆนี่ทำให้วิธีทำงานของเรามีประสิทธิภาพมากขึ้น
ยูมินให้คำแนะนำผมหลายอย่างในการทำงาน รวมถึงความเป็นมืออาชีพด้วย
มีครั้งนึงหลังจากฟังบรีฟเสร็จ ยูมินหันมาถามผมว่าทำได้มั้ย
ผมตอบทันทีว่า แน่นอน ทำได้อยู่แล้ว สบายมาก
ยูมินจึงหันไปตอบไดเรกเตอร์และให้ผมรับผิดชอบงานส่วนนั้นเพิ่มขึ้น
ปัญหามันอยุ่ตรงที่ พอผมเริ่มทำไปแล้วนั่นละ ถึงรู้ว่าทำไม่ได้
ผมบอกยูมินเรื่องนี้ ด้วยความคิดที่ว่าไม่น่าจะเป็นอะไรให้เขาช่วยทำหน่อยเดี๋ยวก็เสร็จ
ยูมินบอกผมว่า "ถ้านายทำไม่ได้ก็น่าจะบอกตั้งแต่แรก ทำแบบนี้ทำให้ฉันมีงานเพิ่มขึ้นรู้ไหม"
คำตอบของยูมินตบหน้าผมไปฉาดใหญ่
ใช่สิ ยูมินพูดถูกต้อง ผมเองเป็นคนไปรับปากว่าทำได้ แต่พอถึงเวลากลับจะผลักภาระส่วนนี้ไปให้คนอื่นซะงั้น
ผมไม่มีคำพูดอะไรมากไปกว่าขอโทษ ยูมิน ซึ่งยูมินก็หัวเสียนิดหน่อยแล้วก็อธิบายว่างานชิ้นนี้ผมควรจะทำยังไง
เป็นอันว่าผมได้เรียนรู้วิธีการทำงานทั้งเกี่ยวกับตัวงานโดยตรงและทางอ้อม ซึ่งถ้าผมไม่ได้ลองทำโปรเจคหนังสั้นคงไม่รู้วิธีรับมือ
พวกเราใช้เวลาเกือบ 2 ปีงานในส่วนที่ผมทำจึงเสร็จ หลังจากนั้นจึงเป็นหน้าที่ของทีม Post production
ทั้งในเรื่องการเรนเดอร์ ตัดต่อ และใส่เสียง กว่าจะเสร็จออกมาเป็นตัวหนังสั้นได้นี่ผมก็ลืมไปแล้ว
จวบจนยูมินเอาแผ่นหนังมาให้ผมเนี่ยล่ะ ถึงได้ดูเป็นครั้งแรก การทำงานเป็นทีมนี่ปัญหามันมีมากมายร้อยแปดจริงๆ
ยิ่งการทำงานกับคนเกาหลีที่ระดับความจริงจังในการทำงานเต็ม 100 เนี่ย บรรยากาศกดดันพอควรเลย
เวลาใครทำอะไรไม่ตรงตามตารางงานที่รับผิดชอบ หรือทำงานไม่ถึงมาตรฐาน พี่แกด่าเช็ดเลย ด่ากันจนคนโดนด่าแทบแทรกแผ่นดินหนี แต่ที่ว่ามาทั้งหมดคือเรื่องงานล้วนๆ หมดเรื่องงานก็คุยกันเป็นเพื่อนเหมือนเดิม
เวลาโดนคนด่าที่ตัวนี่มันไม่เจ็บเท่าเวลาคนด่างานที่เราทำนะ
ปล. แถมท้ายด้วยหนังสั้นที่ว่า
No comments:
Post a Comment