ซานฟรานซิสโกเป็นเมืองที่แปลก ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกต้องคือ ซานฟรานซิสโกเป็นเมืองที่รวมคนแปลกไว้มากที่สุดเท่าที่เมืองเล็กๆเมืองหนึ่งจะทำได้ คนแปลกที่ผมหมายถึงไม่ใช่คนบ้า แต่เป็นคนที่มีสติสตังครบถ้วน สามารถถามได้ตอบได้ และประกอบอาชีพดำรงชีวิตในสังคมตามปกติได้ คนแปลกเหล่านี้อาศัยอยู่ในซานฟรานซิสโก ผมไม่รุ้ว่าอะไรมาก่อนกัน เมืองซึ่งดึงดูดคนแปลกทำให้เมืองแปลก หรือคนที่อาศัยอยู่ในเมืองแปลกทำให้กลายเป็นคนแปลก
ยังไงก็แล้วแต่ เรื่องแปลกแบบนี้ทำให้การนั่งเฉยๆดูผู้คนที่ผ่านไปมาก็เป็นเรื่องน่าสนุกสำหรับผม
คุณสามารถพบเห็นคนแปลกได้ตามสถานที่ทั่วไป อย่างร้านสะดวกซื้อ ผมต่อคิวจ่ายเงินที่วอลกรีน ระหว่างที่ยืนรออยู่ตรงแคชเชียร์ ผมหันไปเห็นคนที่ยืนจ่ายเงินอยู่ข้างๆซึ่งเป็นป้าฝรั่งแล้วก็ต้องแปลกใจ ผมไม่ได้แปลกใจกับทรงผมของป้าแก่ที่แกมัดผมของแกเป็นจุกเล็กๆเต็มหัว เพราะเป็นทรงปกติของที่นี่ แต่ผมแปลกใจสิ่งที่แกซื้อ บนโต๊ะแคชเชียร์ข้างหน้าป้าแกมีแม่กุญแจอยู่ 5 แพค แม่กุญแจที่ว่าก็เป็นแม่กุญแจปกติที่ไว้ใช้ล็อคกระเป๋าเดินทางที่สนามบินกัน ขนาดไม่เล็กเกินไปนัก ใน 1 แพคก็มีแม่กุญแจ 2 ตัวและลูกกุญแจอีก 4 ดอก รวมแล้วป้าแกซื้อแม่กุญแจไปทั้งหมด 10 ตัว ซึ่งคนทั่วไปหากเดินทางอาจใช้กระเป๋าใบนึง แม่กุญแจ 2 ตัวหรือแพคเดียวก็น่าจะพอแล้ว หรืออย่างมากกระเป๋า 2 ใบก็น่าจะใช้แค่ 4 ตัว
เออ แปลกดี จะซื้อแม่กุญแจไปทำอะไรเยอะแยะขนาดนั้น ผมคิดในใจ
และผมก็ต้องถึงบางอ้อเมื่อมองไปที่กระเป๋าสะพายของป้าแก กระเป๋าสะพายของป้าแกมีลักษณะเหมือนกระเป๋าเดินป่าใบเล็กๆ คือมีช่องซิปอยู่เต็มไปหมด และทุกตัวซิปของแกมีแม่กุญแจล็อคอยู่ นอกจากนี้แกยังห้อยแม่กุญแจไว้ตรงสายสะพายอีกต่างหาก และตรงห่วงที่ไว้ใช้ห้อยของของกระเป่าแกก็มีพวงกุญแจที่ประกอบไปด้วยแม่กุญแจมาห้อยติดๆกัน รวมทั้งกระเป๋าและที่แกกำลังซื้อเพิ่มนี่ผมกะคร่าวๆว่าน่าจะมีแม่กุญแจสักเกือบร้อยตัวเลย ผมเห็นแล้วนึกถึงองคุลีมาลขึ้นมาทันที
ป้าแกจะกลัวอะไรหายขนาดนั้นนะ และที่สำคัญแกจะจำได้หรอว่าแม่กุญแจอันนี้ใช้กับลูกกุญแจตัวไหน
หรือแม้แต่ตามท้องถนนทั่วไป ยกตัวอย่างเช่น วันนั้นขณะที่ผมเดินไปทำงานตามปกติ และเห็นคุณยายคนหนึ่งเดินไปพร้อมกับหุ่นชักของแกอยู่
เออ แม่งแปลกดีแฮะ ผมคิดว่ามันน่าสนใจดีและอยากรู้ว่าทำไมคุณยายคนนี้ถึงมาเดินเชิดหุ่นชัก
หุ่นชักที่ว่ามี 2 ขา มีตัวกลมๆ ที่เต็มไปด้วยขนสีส้มจัด และมีคอที่ยาว ดูรวมๆแล้วหุ่นชักตัวนี้ดูคล้ายๆกับนกกระจอกเทศ คุณยายกำลังพาเจ้าหุ่นชักของแกเดินอยู่ ที่ว่าเดินเนี่ยคือเดินจริงๆ คุณสามารถเห็นขาเล็กๆของเจ้าหุ่นชักที่ว่าเนี่ยขยับทีละก้าวๆตามสเตปการเดินปกติไม่มีผิด
ผมเดินช้าๆ จับตามองคุณยายอยู่ในระยะห่างๆ แล้วคุณยายก็หยุดอยู่ที่หน้าร้านเพชรแห่งหนึ่ง
ผมสงสัยว่าคุณยายกำลังทำอะไร จึงหยุดดูบ้าง แล้วจึงเห็นว่า คุณยายกำลังชักเจ้าหุ่นชักของแกเล่นกับคนในร้าน ซึ่งคนในร้านที่เป็นพนักงานก็เล่นกับแกตอบเสียด้วย หลังจากเล่นสักพักหุ่นชักก็โบกมือ(เท้า) ลาพนักงานในร้านและเดินต่อ
ผมเลยเดินตามคุณยายต่อและสงสัยว่าไอ้หุ่นชักนี่มันคืออะไร แล้วจะเก็บไอ้ความสงสัยนี่ไว้ทำไมเล่า ผมเลยหันไปทักคุณยาย
"สวัสดีครับ"
"โอ้ สวัสดีจ๊ะ" คุณยายยิ้มให้ และเหมือนคุณยายจะเห็นเจ้าตัวสงสัยบนหน้าผม แกจึงพูดต่อว่า
"ฉันพาหมามาเดินเล่นน่ะ" คุณยายบอกพร้อมกับชักเจ้าหุ่นชักมาเดินข้างๆผม
ตกลงว่าไอ้หุ่นชักนี่คือหมาของคุณยายแกสินะ
"เขาชื่อแชมป์น่ะ ฉันตั้งตามทีมไจแอนท์(ทีมเบสบอลประจำเมืองที่เพิ่งได้แชมป์เวิล์ดซีรีย์) เพราะเขามีขนสีส้มกับตาสีดำเหมือนกันไง"
"อ้อ น่ารักดีนี่ครับ" ผมตอบและลูบหัวแชมป์
ตอนนี้เจ้าแชมป์เริ่มดมขากางเกงผมและกระโดดเขยงๆ
"ให้เจ้าแชมป์หอมแก้มหน่อยสิ เขาชอบเธอนะ" คุณยายบอก
"เอ้อ.... เอา(ไงก็เอากัน)สิครับ" ผมตอบแล้วก้มลงให้เจ้าแชมป์หอมแก้ม
หลังจากเจ้าแชมป์หอมแก้มผมเสร็จ ผมก็กล่าวลากับคุณยายแล้วเดินต่อ แต่ก็ยังทันที่จะเห็นว่าคุณยายแกก็ก้าวขึ้นรถของแกที่จอดอยู่แถวนั้น รถของแกเป็นรถเบนซ์สปอร์ตเสียด้วย
บริษัท(ในตอนนั้น)ที่ผมไปทำงานเองก็เป็นบริษัทพัฒนาเกมขนาดเล็ก พนักงานจึงมีจำนวนไม่เยอะ แต่เน้นคุณภาพหมายความว่าพนักงานแต่ละคนจะมีความสามารถเฉพาะทางของแต่ละคน และรับผิดชอบงานเฉพาะด้านต่างกัน ส่งผลให้แต่ละคนในบริษัทมีคาแรกเตอร์ที่เป็นเอกลักษณ์ คือทุกคนมีความแปลกอยู่ในตัว ซึ่งตอนแรกๆผมก็ต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่ระยะหนึ่งก่อนจะเคยชินกับความแปลกเหล่านี้
เรเชล มาเนเจอร์สาวประจำบริษัท ผู้ใช้เวลาว่างไปกับการปีนเขาและเป็นหน่วยอาสาสมัครกู้ภัย
ดุ๊ก ที่ไปยิมเพื่อเล่นโยคะวันละ 3 เวลา และผมไม่เคยเห็นเขากินอะไรเลยนอกจากโปรตีนเชก
โจ ที่ไม่ว่าผมจะมาเร็วมาช้า กลับเลทขนาดไหนผมก็มักจะเห็นโจที่บริษัทเสมอ บางครั้งผมเข้ามาเอาของที่ลืมไว้ในวันสุดสัปดาห์ก็ยังเจอโจ
จอห์น ผู้เป็นผู้จัดการโรงแรมมากว่า 15 ปี มีวันหนึ่งเขาลาออกจากเงินเพื่อไปเรียนอนิเมชั่นและเข้าทำงานพร้อมกับผม
เดฟและแคม ผมเข้ากับสองคนนี้ได้ดีมาก อาจจะด้วยวัยที่ไล่เลี่ยกันและความชอบคล้ายกัน คือทั้งแคมและเดฟต่างก็ชอบเล่นเกมและอนิเมะญี่ปุ่นเหมือนกัน
แอนดี้ เป็นแฟนสตาร์เทรคตัวยง และแฟนสาวของเขาก็ด้วย งานแต่งงานของเขาจึงจัดขึ้นในตีมสตาร์เท รคที่ลาสเวกัส นอกจากนี้แอนดี้ยังเป็นแชมป์อาเขตเกม Mortal Kombat อีกด้วย ทำให้ที่บริษัทมีตู้เกมอาเขตที่แอนดี้ได้มาเป็นรางวัลตั้งอยู่
จิม พี่ชายของแอนดี้ผู้คลั่งไคล้บอร์ดเกมและ Game of Thrones วันที่หนังสือเล่มล่าสุดออกตอนนั้น จิมได้ส่งอีเมลเวียนในบริษัทว่าเขาขอลาป่วยสัก 2-3 วัน แต่ทุกคนรู้ว่าจิมลาไปอ่านหนังสือ
โอเรน หนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัท อดีตนายทหารจากอิสราเอลผู้ผันตัวมาเป็นโปรแกรมเมอร์ ช่วงที่ทำเกม FPS จอห์นก็ไปขอความเห็นเรื่องการอนิเมทท่าทางการขว้างระเบิดมือที่ถูกต้องจากโอเรนอยู่เสมอ
โครี่ ผู้หน้าเหมือนเครโทสจาก God of Wars ตอนสมัยที่โครี่ยังมีผมที่ยาวสลวยนั้น เขาเคยเล่น MV Metal Rock มาก่อน ภาพโครี่ผมยาวโยกหัวจนแทบจะหลุดช่างต่างกับภาพในตอนนี้มาก
แต่คนที่แปลกสุดในบริษัทผมน่าจะเป็นเซอร์เก้
เซอร์เก้เป็นคนรัสเซีย และสเตริโอไทป์ของคนรัสเซียคือ หน้านิ่ง เดาอารมณ์ไม่ออก และดูพัวพันกับองค์กรลับใต้ดินเสมอ ในช่วงแรกๆที่ผมเข้าทำงาน ผมตกใจกับเซอร์เก้มาก เพราะเวลาทำงานบางครั้งเขาก็จะโวยวายขึ้นมาว่า
"แม่งเอ้ย"
"อะไรของมันวะ"
"ยัดห่า โค้ดตัวนี้นี่"
"เขียนแบบนี้ เอามีดมาแทงกูเลยเหอะ"
"กูแม่งทนไม่ไหวแล้ว พอกันที"
(จริงๆเขาพูดว่า เอฟนาย เอฟฉัน เอฟโน่นเอฟนี่นะครับ แต่ผมแปลไทยให้เข้ากับบริบทของความรู้สึกของเซอร์เก้ในตอนนั้น)
ผมและจอห์นซึ่งตอนนั้นทำงานกันไม่นาน พากันตกใจคิดว่าเซอร์เก้จะต้องสติแตกและลาออกแน่ๆ แต่หลังจากเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเกิน 10 ครั้ง ผมกับจอห์นก็เลิกคิดเรื่องเซอร์เก้จะลาออก และหันมาสนุกกับปฏิกริยาของพนักงานใหม่ที่เพิ่งได้ยินเซอร์เก้โวยวายครั้งแรกแทน
แม้เซอร์เก้จะตั้งใจทำงานทุกวันเต็มที่ แต่เวลาบริษัทมีงานสังสรรค์ คุณจะไม่เห็นเงาของเซอร์เก้เลย อาจจะเป็นเพราะไม่ชอบปาร์ตี้หรือสุงสิงกับคนในขณะที่คนอื่นอยากสุงสิงกับเซอร์เก้
เรเชล มาเนเจอร์สาวประจำบริษัทเคยบอกเซอร์เก้ว่า
"นี่เซอร์เก้ ถ้านายยังชิ่งงานปาร์ตี้ที่บริษัทอีก ระวังคนจะเกลียดนายนะ"
เซอร์เก้ตอบโดยไม่ละสายตาจากจอคอมว่า "ฉันรู้น่ะเรเชล ฉันรู้ แม่ฉันบอกฉันตอนเด็กเสมอว่า โอ เซอร์เก้ ลูกต้องรักตัวลูกเองนะ เพราะไม่มีใครรักลูกเลย"
แต่ถึงจะแปลกขนาดไหน เซอร์เก้ก็เป็นคนเก่งมาก และตรงต่อเวลามากอีกด้วย ทุกๆ 10 โมงเช้า
เซอร์เก้จะมาถึงที่ทำงาน แล้วพอ 6 โมงเย็นตรงเผง เซอร์เก้จะปิดจอคอม สวมแจ๊คเกต และกล่าวสายัณสวัสดิ์กับทุกคนก่อนจะเดินออกจากบริษัท ถ้าวันไหนมาสาย
เซอร์เก้จะส่งอีเมลเวียนในบริษัทว่า วันนี้เขามาสาย xx นาที
ดังนั้นตอนเย็นเขาจะอยู่ต่ออีก xx นาที หรือถ้าวันไหนเขาจะออกก่อนเวลาเขาก็จะส่งอีเมลเวียนบอกทุกคนว่า วันนี้เขาจะกลับเร็วดังนั้นวันนี้เขาจะกินข้าวเที่ยงที่โต๊ะ
ผมหลงคิดว่าตัวผมเองเป็นคนปกติท่ามกลางผู้คนแปลกประหลาดในบริษัทอยู่นาน จนวันหนึ่งขณะที่ผมไปกินอาหารเที่ยงกับเพื่อนร่วมงานตามปกติ
"นายนี่แปลกนะ" โจพูดขึ้นมา
"นายว่าไงนะ" ผมถามขณะที่กำลังพยายามบีบซอสมะเขือเทศที่เหลืออยู่ก้นขวด
"ก็มีใครกินสลัดกับซอสมะเขือเทศบ้างล่ะ" โจบอก
ผมก้มลงไปมองดูจานสลัดตรงหน้าที่ตอนนี้มีสีแดงจากซอสเขือเทศไปค่อนจาน
"แปลกตรงไหน เขาก็กินกันอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ" ผมบอกพลางหยิบขวดมัสตาร์ดขึ้นมา
"ไม่จริง" โจแย้ง
"ทำไมนายยังมีมะเขือเทศในสลัดนายเลยล่ะงั้น" ผมบุ้ยไปที่จานสลัดของโจซึ่งมีมะเขือเทศฝานบางๆอยู่
"นั่นมันมะเขือเทศ แต่นายใส่ซอสมะเขือเทศ" โจตอบ
"ใช่ ไม่มีใครใส่ซอสมะเขือเทศลงในสลัดหรอก นายน่ะแปลก" เดฟพูด
"ใช่ แปลกจริงๆ" โจสำทับ
"ชั้นก็ว่าคุณน่ะแปลก" พนักงานเสิร์ฟสาวที่เดินมาเสิร์ฟน้ำช่วยสำทับอีกรอบ
ผมหันไปหาจอห์นที่กำลังเคี้ยวเนื้อเบอร์เกอร์อยู่เต็มปากเพื่อขอตัวช่วย จอห์นยักไหล่เหมือนบอกผมว่า ฉันน่ะก็ว่านายแปลกมาตั้งนานแล้ว
ผมมองที่สลัดชุ่มซอสมะเขือเทศในจานแล้วมองทุกคนไปรอบๆก่อนจะใช้ส้อมตักสลัดแล้วจิ้มมัสตาร์ดบางๆขึ้นมาเคี้ยวช้าๆ
นั่นสิ เมืองนี้นี่มันแปลกจริงๆ
No comments:
Post a Comment