Monday, June 2, 2014

การฟังและพูด

สิ่งหนึ่งที่สำคัญในการทำงานนอกเหนือไปจากความสามารถเฉพาะทางในสายงานแล้ว
ความสามารถในการสื่อสารก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก หรืออาจจะสำคัญมากกว่าความสามารถเฉพาะทางอีก
คือถึงแม้คุณจะเก่งแค่ไหน แต่ถ้าไม่สามารถสื่อสารงานออกมาให้คนเข้าใจ ไม่ว่าจะด้วยตัวงานหรือการสื่อสารด้วยตัวคุณเอง
โอกาสที่คนจะสนใจในตัวคุณนี่จะน้อยมาก

ถึงแม้ช่วงที่เรียนจะมีเพื่อนต่างชาติมากมาย ทั้งเกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน หรือ จากตะวันออกกลาง
แต่เพื่อนที่เป็นอเมริกันแท้ๆนั้นน้อยมาก และด้วยวัฒนธรรมที่ต่างกันหรือความไม่คล่องในภาษาเหมือนเจ้าของภาษา
เวลาพูดคุยหรือถามโน่นนี่ บางครั้งผมเองก็ฟังไม่ทันหรือไม่เข้าใจศัพท์แสลงบางอย่าง
ทำให้ผมมักจะจับกลุ่มกับเพื่อนเอเชียซะเป็นส่วนใหญ่่ เวลามีปัญหาหรือปรึกษางานกันส่วนมากจะเป็นกลุ่มเพื่อนเกาหลี หรือไต้หวันที่มีจำนวนมากเกินครึ่งในภาควิชาทีผมเรียนอยู่
ซึ่งแน่นอนว่าภาษาที่เราใช้พูดคุยกันย่อมเป็นภาษาอังกฤษที่เป็นภาษากลางกันอยู่แล้ว
แต่ด้วยสำเนียงเอเชียน  พูดถูกบ้างผิดบ้าง เวลาเจ้าของภาษามาฟังอาจไม่เข้าใจว่าเรากำลังพูดอะไร
น่าแปลกที่เอเชียนด้วยกันกลับฟังออก ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะไอ้ความที่ไม่ใช่เจ้าของภาษาเนี่ยล่ะ
ทำให้เกิดการเดาว่า เออ ไอ้นี่มันน่าจะหมายถึงคำนี้หรือคำนี ้นะ หรือหาคำใกล้เคียงกันมาให้จบประโยค
ประโยคไหนที่ผมฟังไม่ทัน ผมใช้วิธีเดียวกันกับการอ่านคือ ข้ามไปก่อน ไปฟังว่าเขาพูดอะไรในประโยคต่อมา
แล้วจากนั้นเอาไอ้ประโยคนั้นกับประโยคเมื่อกี้มาผสมกันแล้วค่อยดูใจความรวมทั้งหมด
แต่ถ้าฟังแล้วไม่รู้เรื่องจริงๆและเรื่องที่เขาเล่าไม่ได้จะสำคัญอะไรมากนัก
ผมมักจะใช้ท่าไม้ตายคือ พยักหน้าเป็นระยะแล้วตอบสนองแบบกลางๆไป เช่น
ใช่เลย
เยี่ยมมาก
เออ ผมเห็นด้วยนะ
หรอ แล้วยังไงต่อ
ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน เราก็จะจับใจความที่เขาพูดต่อได้เองหรือถ้าจับไม่ได้จริงๆก็ปล่อยผ่านไปไม่ต้องสนใจมัน

ช่วงแรกๆเวลาพูดคุยภาษาอังกฤษ ผมมักจะฟังพร้อมกับรีบแปลประโยคออกมาในหัวเป็นภาษาไทยให้เร็วที่สุด
ซึ่งสมองของมนุษย์เราเนี่ยมีความสามารถในการประมวลผลได้รวดเร็วมาก
แต่นั่นก็ขึ้นกับการฝึกฝนเช่นกัน และด้วยความที่ผมชอบดูหนังเป็นเดิมทุน
ซึ่งนอกจากหนังไทยแล้วหนังต่างประเทศยกเว้นจีนทุกเรื่องจะมีซับไตเติ้ลให้อ่านในโรง
และถ้าคุณดูหนังคุณคงไม่อยากมัวแต่มานั่งอ่านซับไตเติ้ลและพลาดเหตุการณ์สำคัญในเรื่องไปใช่ไหมล่ะ
ด้วยเหตุนี้ผมจึงอ่านทั้งซับไตเติ้ลและหนังสือได้เร็วมาก ผมจึงลองนำไอ้เทกนิคนี้มาใช้ดู
เอาให้เห็นภาพง่ายๆว่าช่วงแรกๆผมมองเห็นมีซับไตเติ่ลขึ้นบนหัวเพื่อนระหว่างที่พูด
ช่วงเวลาที่เขาอ้าปากเริ่มพูดอาจกินเวลาไม่กี่วินาที แต่พอเขาพูดจบประโยคและกำลังจะเริ่มประโยคใหม่
ไอ้ประโยคที่เขาพูดไปเมื่อกี้ ผมก็แปลเสร็จเรียบร้อยแล้วและเตรียมพร้อมสำหรับประโยคต่อไป
ซึ่งการพูดคุยกับเพื่อนบ่อยๆนี่ล่ะ ทำให้เราพัฒนาทักษะในการพูดและฟังมากขึ้น
ผมมีความมั่นใจอยู่พอควร จนถึงวันที่ผมต้องทดสอบความมั่นใจนั้นกับของจริง

ช่วงนั้นผมกำลังหาสถานที่ฝึกงานอยุ่ และหลังจากขัดเกลาเจ้า cover letter อยู่นาน
ผมก็จัดการร่อนอีเมลกระจายๆไปตามบริษัทในสายงานตามที่ต่างๆ
จนมีที่หนึ่งตอบรับและนัดสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์

เอาล่ะสิ

เวลาฟังฝรั่งพูดกันปกติยังต้องตั้งใจฟังเลย แล้วนี่มาทางโทรศัพท์ที่มีตัวแปรในการทำให้ฟังไม่รู้เรื่องเยอะมาก
ไหนจะลม ไหนจะสัญญาณ ไหนจะความประหม่า
แต่ท้ายที่สุดอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ผมตกลงนัดวันสัมถาษณ์ทางโทรศัพท์เรียบร้อย
ทีนี้มันมีปัญหาอีกนิดนึงน่ะสิ คือช่วงนั้นผมไปทริปที่ LA กับเพื่อนพอดี
ยิ่งทำให้ความประหม่าเพิ่มขึ้นเมื่อต้องอยุ่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย
วันนั้นผมอยู่ที่ LA ข้างนอกสตูดิโอของ Sony
อากาศก็เหมือน LA ปกติคือ ร้อน ร้อน และก็ร้อน
ผมนั่งปลึกตัวอยู่บนม้านั่งใต้ร่มไม้แถวนั้น พร้อมกับทำใจ
พอบ่ายสามโมงตรงตามเวลานัดเป๊ะ เจ้าโทรศัพท์ที่ผมใช้อยู่นานก็ดังขึ้น
ผมกดรับและสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
การสัมภาษณ์ใช้เวลาราว 15 นาที มีบางช่วงที่ลมข้างนอกแรงมากจนไม่ได้ยินแต่ก็พอถูไถไปได้
ผมจบการสัมภาษณ์ด้วยการที่ทางนั้นจะติดต่อกลับมา
ก่อนที่วันรุ่งขึ้นผมจะได้เมลตอบรับให้ไปสัมภาษณ์ที่บริษัทเลย

ผมไปถึงบริษัทนั้นตามเวลา พอเดินเข้าไปก็มีพนักงานต้อนรับมาพาผมไปนั่งรอที่ห้องประชุม
ผมนั่งรอสักพักพลางหมุนขวดน้ำที่อยู่บนโต๊ะไปพลาง ก็มีชาวต่างชาติ 2 คนเดินเข้ามา
ที่จริงถ้าจะให้ถูกต้อง ตอนนี้ผมต่างหากล่ะที่เป็นชาวต่างชาติ
แล้วการสัมภาษณ์ก็เริ่มขึ้น
โดยรวมเป็นเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับสายงาน การสัมภาษณ์ตัวๆนี้เนื้อแท้จริงคือการดูทัศนคติกันมากกว่าว่าจะเข้ากับทีมได้ไหม
ประมาณครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น การสัมภาษณ์ก็เสร็จสิ้น
จากนั้นหนึ่งในสองคนนั้นก็พาผมเดินเยี่ยมชมออฟฟิศ
บริษัทนี้เพิ่งตั้งมาไม่นาน ผู้ร่วมงานล้วนเป็นอเมริกันผสมกับยุโรป และมีผมที่เป็นเอเชียอยู่คนเดียว
ทั้งบริษัทรวมผมแล้วมีทั้งสิ้นรวม 12 คน และเหมือนเดิมคือทางบริษัทจะแจ้งอีเมลมาอีกที
วันรุ่งขึ้นผมก็ได้รับเมลตอบรับการฝึกงาน



การฝึกงานเริ่มขึ้นในอาทิตย์ถัดมาทันที
ผมทำงานกับ ทิม ผู้เป็นอาร์ทไดและ จอห์น เพื่อนฝึกงานอีกคนซึ่งเป็นชาวอเมริกันทั้งคู่
งานที่ผมได้รับมอบหมายให้ทำผิดไปจากที่คาดไว้นิดหน่อยคือดีกว่าที่คาดไว้ ท้าทายมากกว่าเดิม
การสนทนาระหว่างทำงานเป็นไปได้ดีตามที่ผมคิดไว้ อาจจะมีประหม่าบ้างช่วงแรก
ผมสามารถฟังและตอบจอห์นได้ดี แม้จอห๋นจะแก่กว่าผมช่วงตัวก็ตาม
ศัพท์เทกนิคบางอย่างที่ผมไม่เคยได้ยินก็อาศัยการถามทั้งทิมและจอห์นว่ามันหมายความว่าอย่างไร
พอเจอเจ้าของภาษาจริงถึงได้รุ้ที่มา และจำไว้ใช้ในเวลาที่สมควร
การทำงานเป็นไปอย่างราบลื่นไม่มีปัญหาอะไรมาก แต่สิ่งที่ทำให้ผมประหม่ามากที่สุดคือ

การประชุม

ที่บริษัทนี้มีการประชุมย่อยทุกๆวัน เป็นการประชุมที่ไม่มีพิธีรีตองอะไร
คือทุกคนจะเข็นเก้าอี้ประจำตัวมานั่งล้อมกันเป็นวงกลม จากนั้นบอสจะเริ่มให้ทุกคนพูดว่าวันนี้ทำอะไรมาบ้าง อะไรสำเร็จ อะไรไม่สำเร็จหรือมีปัญหาตรงไหน
ทุกคนจะต้องพูดและฟังความเห็นทั้งจากบอสและเพื่อนร่วมงานคนอื่น
ฟังดูก็ไม่น่ายากใช่ไหม ผมสามารถอธิบายในตัวงานที่ผมทำได้ทุกอย่างในภาษาไทย
แต่ถ้ามาเป็นภาษาอังกฤษนี่เป็นอีกเรื่องนึงเลยทีเดียว ด้วยคำศัพท์ที่จำกัดอยู่แค่ในชีวิตประจำวัน
ทำให้เวลาถึงคิวผมพูด ผมจะพูดออกมาตะกุกตะกักไม่ลื่นไหลและสั้นมาก บางครั้งก็นีกศัพท์ไม่ออก
เวลาที่ผมพูดจบจะเกิดความเงียบขึ้น ซึ่งผมอาจจะคิดไปเอง
ผมว่าเพื่อนร่วมงานอาจจะไม่เข้าใจว่าไอ้หมอนี่มันพูดอะไรของมันงุบๆแล้วก็จบ
แต่ก็ไม่เห็นมีใครขัดหรือทักอะไรเลย ทุกคนดูนิ่งๆพลางมองหน้ากันเอง
ผมเลยวางแผนใหม่ ทุกวันหลังอาหารเที่ยงก่อนมีทติ้ง
ผมจะนั่งเขียนว่า เออวันนี้ผมจะพูดอะไรบ้าง ทำอะไรแล้วเสร็จมาบ้าง
จากนั้นก็นั่งอ่านและท่องจำอยู่ในหัว
พอถึงเวลาประชุมย่อย ผมแทบไม่ได้ฟังเพื่อนร่วมงานคนอื่นเลยว่าเขาพูดอะไรกันไปบ้าง
ผมมัวแต่เฝ้ารอให้ถึงคิวของผมเสียที มันจะได้รีบจบๆไปซะ
พอถึงคิวผมปุ๊บ ผมก็พ่นไอ้เจ้าประโยคที่ผมท่องไว้ตั้งแต่เที่ยงทันที
ผมพูดยาวขี้นกว่าเดิม เร็วขึ้นกว่าเดิม และผมรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องทุกครั้งหลังพูดเสร็จ
ขนาดบอสผมเองยังชมเสมอว่า เยี่ยมมาก ดีเลย ต้องอย่างงั้นสิ หรือให้ความเห็นสนับสนุนผมอยุ่เสมอ
เพื่อนร่วมงานก็พยักหน้าแล้วก็ยิ้มให้ผม นี่แปลว่าผมได้รับการยอมรับแล้วใช่ไหม
นี่สิ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็น่าจะอยู่ไม่ไกล

ผมใช้เทกนิคนี้อยู่นาน จนผมจำไม่ได้แล้วว่าวันไหนที่ผมเลิกใช้เจ้าเทกนิคนี้
การพูดช่วงหลังๆกลับช้าลงแต่ชัดเจนขึ้น และใช้เวลาคิดเร็วขึ้น
ถึงตอนนี้ผมไม่ได้คิดเป็นภาษาไทยแล้ว ผมคิดเป็นภาษาอังกฤษ ตอบเป็นภาษาอังกฤษ
และจากการพัฒนาเพิ่มขึ้นนี่เอง ผมจึงเริ่มคุยกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นได้มากขึ้น
หัวข้อที่คุยไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องงานอย่างเดียว ผมคุยเรื่องทั่วไป หนัง เกม หรือเล่าเรื่องตลกที่ไปเจอมาให้คนอื่นขำได้
ถึงจุดนั้นผมคิดว่าความสามารถในการใช้ภาษาของผมดีมากแล้ว
จนกระทั่งวันนึง ระหว่างกลับจากพักเที่ยง
ผมและโจเพื่อนร่วมงานที่เป็นเอนจิเนียร์กำลังคุยกันเรื่องอะไรสักอย่างเกี่ยวกับภาษา
ผมนึกครึ้มใจเลยถามโจว่า
"นายว่าภาษาอังกฤษเราเป็นไง"
โจมองผม แล้วตอบว่า " เฮ้ ภาษานายนี่ดีนะ ใช้ได้เลยทีเดียว"
ผมยิ่งลำพองใจก่อนที่โจจะจบประโยคว่า
"แต่ไอ้ตอนแรกน่ะ ฉันไม่เข้าใจที่นายพูดเลย นายพูดเร็วมากแถมไม่รู้เรื่อง ฉันเลยได้แต่พยักหน้าเออออไปตามเรื่องเนี่ยล่ะ"

แหม่ ใช้เทกนิคเดียวกันก็ไม่บอก...

No comments:

Post a Comment