เมื่อมาอยู่ต่างประเทศ แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของภาษา การติดต่อสื่อสาร ฟังและพูดเป็นสิ่งที่คุณต้องเจอในชีวิตประจำวันแน่นอน แต่ทักษะอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญเช่นกันก็คือ การอ่าน ในการดำเนินชีวิตประจำวันเองก็มีอะไรหลายอย่างให้อ่านมากมายเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ ป้ายกฏระเบียบข้อบังคับ ป้ายโฆษณาข้างทาง หรือป้ายประกาศบนรถต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จำเป็นมากเพราะถ้าคุณไม่อ่านคุณอาจจะทำผิดกฏหมายโดยไม่ตั้งใจก็ได้ หลายครั้งที่ผมเห็นนักท่องเที่ยวขึ้นรถไฟแล้วโดนตำรวจรถไฟจับเพราะไม่รู้ว่าต้องไปซื้อตั๋วที่่ขบวนแรก แม้จะอ้างว่าไม่รู้เพราะไม่เคยขึ้นก็เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น(และตำรวจรถไฟไม่รับฟัง) เนื่องจากมีป้ายประกาศแปะไว้อยู่แล้วว เพียงแค่คนไม่สนใจที่จะอ่านกัน
นอกจากนี้ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของการรู้ภาษาอังกฤษคือ มีหนังสือภาษาอังกฤษให้อ่านมากมาย
คุณสามารถหาหนังสือได้ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นนิยาย นิตยสาร หนังสือการ์ตูน หรือหนังสือที่ไม่ได้รับอนุญาตให้วางขายที่ไทย หนังสือที่นี่มีทุกประเภท ไม่ว่าเรื่องจะเฉพาะแนวหรือแปลกขนาดไหน แต่เชื่อได้ว่ามีกลุ่มคนอ่านรองรับ หรือไม่ว่าคุณจะอยากรู้เรื่องอะไรแปลกขนาดไหน ผมเชื่อว่าถ้าคุณลองค้นดู
คุณน่าจะเจอหนังสือคู่มือสำหรับไอ้เรื่องนั้นๆออกมาแล้วแน่ๆ แม้แต่อุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ที่แถมคู่มือมาแต่ละอย่างหนาเป็นเล่ม
ถ้ามีปัญหาอะไรสิ่งที่ควรทำอันดับแรกคือ
เปิดหนังสือคู่มือแล้วลองแก้ปัญหาเบื้องต้นตามที่หนังสือแนะนำไว้
ผมพบว่าการเริ่มต้นบทสนทนาที่ง่ายที่สุดคือ การทักว่านั่นคุณกำลังอ่านอะไรน่ะ
ที่ซานฟรานซิสโกมีห้องสมุดชมชนกระจายไปตามย่านต่างๆ โดยในแต่ละย่านก็จะมีห้องสมุดที่เหมาะแก่ชุมชนนั้นๆ เช่นย่าน China town นอกจากหนังสือภาษาอังกฤษแล้วก็จะมีหนังสือภาษาจีนแทรกอยู่ด้วย ย่าน Japan town ก็จะมีหนังสือการ์ตูนให้ยืม การกระจายหนังสือไปตามชุมชนต่างๆทำให้คุณสามารถพบเห็นคนอ่านหนังสือได้แทบทุกที่ ไม่ว่าจะเวลาไหนก็ตาม ยืนรอรถเมล์ นั่งอยู่ในรถไฟ ตามสวนสาธารณะหรือลานกลางแจ้งต่างๆ โฮมเลสที่นี่ก็ยังอ่านหนังสือเลย
คุณสามารถเจอร้านหนังสือได้ทั่วไปตามท้องถนน ร้านหนังสือแฟรนไชส์อย่าง Kinokuniya ย่านเจแปนทาวน์ Borders ย่านดาวทาวน์ที่เป็นร้านหนังสือยอดนิยมในเมือง หรือถ้าเดินไปตามถนนเล็กๆคุณก็อาจจะเจอร้านหนังสือเล็กๆที่เจ้าของเป็นคนท้องถิ่น คุณก็อาจจะได้หนังสือที่ไม่ใช่หนังสือยอดนิยมตามตลาดทั่วไป หรือร้านหนังสือเฉพาะทางอย่าง แนวจิตวิญญาณ ผมเคยหลงเข้าไปในนั้นทีหนึ่งโดยไม่รู้ว่าร้านนี้เป็นร้านหนังสือเฉพาะทาง ทำให้ผมแปลกใจกับหนังสือศาสตร์ว่าด้วยเรื่องเทพของแต่ละทวีปต่างๆ ไสยศาสตร์หรือการทำพิธีกรรมทางศาสนาของแต่ละที่ และนอกจากร้านหนังสือทั่วไปแล้วยังมีร้านหนังสือมือสองยอดนิยมอย่าง Green apple ที่ถนน Clement ร้านหนังสือ Green apple เป็นร้านขนาดประมาณห้องแถว2 ชั้นลึกๆที่ผนังทุกผนังและบันไดทุกขั้นแทบจะอัดแน่นไปด้วยหนังสือจนล้นทะลัก โดยจะแยกโซนหนังสือใหม่และหนังสือมือสองออกจากกัน ด้วยความที่เป็นหนังสือมือสอง หนังสือบางเล่มจึงมีแค่เล่มเดียวและมีหนังสือแปลกๆมากมาย แต่สเน่ห์ของร้าน Green apple และร้านท้องถิ่นคือ จะมีโน้ตรีวิวหนังสือเล็กๆแปะไว้อยู่ ซึ่งคนรีวิวก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นพนักงานในร้านนี่เอง
ร้านหนังสือประจำของผมคือร้านหนังสือ Borders ที่ตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนน Powell ตัดกับถนน Post ร้านหนังสือ Borders นี้เป็นร้านหนังสือที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลยทีเดียว ตัวอาคารเป็นตึก 4 ชั้น โดยชั้นแรกจะเป็นโซนหนังสือใหม่ หรือหนังสือแนะนำและแคชเชียร์ตั้งอยู่ ชั้นที่สองจะเป็นโซนหนังสือทั่วไป นิยาย ประวัติศาสตร์ นิตยสารทุกชนิดและร้านกาแฟ ชั้นสามจะเป็นโซนหนังสือเด็ก หนังสือการ์ตูน ของเล่น ตุ๊กตา อุปกรณ์การเขียน และทีสำคัญคือห้องน้ำ ชั้นที่สี่จะเป็นโซนหนังสืออ้างอิง อาร์ทบุค และหนัง DVD CD เพลงต่างๆ พนักงานที่นี่ก็เป็นมิตรและยินดีแนะนำหรือเต็มใจหาหนังสือที่อยากได้ให้คุณเสมอ ข้อดีอีกอย่างของ Borders คือปิดเที่ยงคืน ทำให้ร้านหนังสือแห่งนี้มีผู้คนแวะเวียนเข้ามาตลอด บ้างก็มานั่งกินกาแฟ บ้างก็มานั่งอ่านหนังสือ บ้างก็มานั่งทำงาน ผมสามารถใช้เวลาอยู่ที่นี่ได้เป็นวันเลย หรือบางทีไม่มีอะไรทำก็แวะผ่านมาเข้าห้องน้ำ
แต่สิ่งที่ทำให้ร้านหนังสือเปลี่ยนไปคือ การมาถึงของ amazon และ kindle บ่อยครั้งที่เมื่อผมเจอหนังสือที่น่าสนใจ ผมจะทำการเช็กราคากับเวบ amazon ก่อนเสมอ หากราคาถูกกว่าผมก็จะทำการสั่งซื้อผ่านเวบแทน ทำให้ในฐานะผู้บริโภค ผมมักจะเลือกซื้อหนังสือจากเวบ Amazon ซะเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากราคาที่มักจะถูกกว่าเกือบครึ่งนึงของราคาตามร้านและที่สำคัญคือไม่โดนภาษีอีกด้วย แต่บางกรณีที่หนังสือราคาต่างกันไม่มาก ผมก็มักจะซื้อติดมือจากร้านเสมอ
นอกจากนี้ amazon เองยังพัฒนา e-book reader อย่าง Kindle ออกมาด้วย สนนราคาก็ไล่ไปตั้งแต่รุ่นธรรมดาในราคาที่คนทั่วไปจับต้องได้ ไปจนถึงรุ่นที่เป็น tablet อย่าง Kindle fire แล้ว Kindle ทำให้วงการหนังสือตายหรอ ความเห็นส่วนตัวผมคิดว่าไม่ แม้ e-book คลาสสิกเก่าๆที่หมดอายุลิขสิทธิ์แล้วจะสามารถหาโหลดได้ฟรีก็ตาม แต่ e-book ใหม่ๆนั้นราคาพอๆกับหนังสือจริงๆเลย หลายคนคงคิดว่า อ้าว แล้วอย่างนี้ซื้อหนังสือจริงๆเลยไม่ดีกว่าหรอ คำตอบคือ ดีครับ หนังสือจริงๆนี่ควรค่าแก่การสะสมมาก ทั้งจับต้องได้ แล้วอย่างนี้เราจะซื้อ e-book ไปทำไม ผมสามารถตอบได้เต็มปากเลยว่าเพราะ ไม่มีที่เก็บ ปัญหานี้อาจดูตลก แต่เอาเข้าจริงๆหนังสือหลายเล่มที่ผมซื้อมาจำใจต้องขายต่อหรือบริจาคไปเพราะไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหนในห้องอีกแล้ว กลุ่มลูกค้าของ Kindle หลายคนเองก็น่าจะเป็นเช่นนี้ ด้วยขนาดที่เล็กและพกพาง่ายทำให้คุณสามารถเลือกหนังสือไว้อ่านฆ่าเวลาได้หลายเล่มในน้ำหนักเท่าเดิม
น่าเศร้าที่สุดท้ายแล้วร้านหนังสือแฟรนไชส์ชื่อดังอย่าง Border ก็พ่ายแพ้กับตลาดออนไลน์แบบใหม่ส่งผลให้ร้านหนังสือขนาดใหญ่ประจำเมืองต้องปิดกิจการลง เดือนสุดท้ายของ border เขาทำการลดราคาหนังสือทุกอย่างทำให้คนแห่กันไปอย่างแน่นขนัดเลย ราคาเริ่มปรับลงมาเรื่อยๆจนอาทิตย์สุดท้าย Borders เองก็ลดราคาขายของทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ ชั้นหนังสือ เก้าอี้ โต๊ะ หรือเครื่องทำกาแฟต่างๆ ผมเองก็สอยของบางอย่างกลับมาเป็นที่ระลึกเหมือนกัน เช่นกระจกโค้ง บันไดเล็ก
วันสุดท้ายของ Borders หนังสือแทบจะหายไปหมดแล้ว ผมเดินเข้าไปท่ามกลางซากของสิ่งที่เรียกว่าร้านหนังสือซึ่งตอนนี้เหลือเพียงชั้นหนังสือโล่งๆไม่กี่ชั้นกับเฟอร์นิเจอร์ที่มีคนแปะป้ายว่าจองแล้วเท่านั้น ผมยืนมองดูชั้นหนังสือเหล่านั้นด้วยความอาวรณ์ นึกถึงช่วงเวลาที่แวะเวียนมาที่นี่บ่อยๆ แม้ผมจะซื้อหนังสือออนไลน์บ่อยครั้งก็จริง แต่ผมก็ยังคิดถึงการเดินเลือกหนังสือตามชั้น สัมผัสและกลิ่นของหนังสือใหม่ สนุกไปกับการไล่สายตาหาหนังสือที่ต้องการไปทีละเล่ม และบางทีก็ทำให้เจอหนังสือเล่มอื่นที่น่าสนใจโดยบังเอิญ สิ่งเหล่านี้เราไม่สามารถหาได้จากการสั่งซื้อหนังสือออนไลน์ การล้มละลายของ Borders จึงเป็นสิ่งที่ผมอาจจะมีส่วนร่วมอยู่ด้วยก็ได้
I paid the cost too late and now you were gone.
ปล. หลังจากนั้นไม่กี่เดือนที่ตั้งของร้านหนังสือ Borders ก็ถูกแทนที่ด้วยร้านขายรองเท้าขนาดใหญ่
No comments:
Post a Comment