ช่วงที่ภาษาอังกฤษของผมยังไม่ลื่นไหนนัก ผมมักมีปัญหาเวลาพูดคุยกับคนแปลกหน้า คือการไม่รู้จะคุยอะไร ยิ่งในช่วงเวลาเร่งด่วน ทำให้ยิ่งนึกเรื่องที่จะยกขึ้นมาพูดไม่ออก หรือบางครั้งหากได้รับคำชมจากคนแปลกหน้า และคุณไม่รู้จะพูดอะไรตอบ
เพื่อนอเมริกันผมเคยแนะนำว่า ถ้าคุณไม่รู้จะพูดอะไร ให้พูดขอบคุณก็พอแล้ว
"If you have nothing to say, just say Thank you"
ครั้งหนึ่งผมถามจอห์นว่า
"เฮ้ จอห์น เวลาที่เราทักกันตอนเช้านะ นายถามฉันว่าเป็นยังไงบ้างนี่ นายถามเพราะนายอยากรู้ว่าตอนนั้นฉันเป็นยังไงจริงๆ หรือมันเป็นแค่คำทักทายเฉยๆหรอ"
ที่ผมถามเพราะบางครั้งเวลาเจอเพื่อนที่ไม่สนิทหรือคนแปลกหน้าเดินสวนกันตามท้องถนน บางครั้งเขาก็ทักทายกันว่า "Hey, how it's going" แล้วก็เดินจากไปเลย ไม่แม้แต่จะรอคำตอบ ผมเลยสงสัยว่าหรือจริงๆแล้วไอ้คำพวกนั้นมันใช้ทักทายกันเฉยๆ
จอห์น มองลอดแว่น ก่อนจะตอบผมเหมือนอากงสอนหลานว่า
"นี่น่ะ คนอื่นอาจจะไว้ทักทายกันเฉยๆ แต่ฉันเป็นเพื่อนนาย ฉันก็ถามเพราะอยากรู้สารทุกข์สุขดิบของนายน่ะสิ"
ใช่เลย เพราะผมรู้จักจอห์น และจอห์นรู้จักผม บทสนทนาของเราจึงมักเป็นมากกว่าคำทักทายตามมารยาท และต้องการคำตอบเสมอ
แต่บางครั้งบทสนทนาจากคนแปลกหน้าก็อาจต้องการคำตอบเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น เวลาผมไปสั่งอาหารตามร้านคาเฟ่ทั่วไป บทสนทนามักจะเป็นเช่นนี้
"สวัสดีครับ รับอะไรดีครับวันนี้"
"ขอซีซ่าสลัดใส่ไก่นะครับ"
"ทั้งหมด 7.99$ ครับ เป้นอย่างไรบ้างครับวันนี้"
"ห่ะ อะไรนะครับ"
"วันนี้งานที่คุณทำยุ่งไหมครับ"
"อ้อ ก็พอควรนะครับ"
"โอ พอควรหรอครับ งั้นก็แปลว่ายุ่งน่ะสิ ว่าแต่วันนี้อากาศดีนะครับ"
"อ้า ใช่ครับ"
"นี่ครับ สลัดของคุณให้ใส่ถุงไหมครับ อ้อ ไม่หรือครับ ขอบคุณครับ กินให้อร่อยนะครับ" พนักงานจบบทสนทนาพร้อมยื่นอาหารเที่ยงของผมมา
เวลาเจอบทสนทนาเช่นนี้ ผมมักจะไม่ทันตั้งตัวเพราะมัวแต่คิดถึงอาหารเที่ยงของผม ถามคำตอบคำ ผมไม่รู้จะคุยอะไรนอกจากเรื่องอาหาร และไม่รุ้ว่าพนักงานอยากรู้จริงๆหรือว่างานที่ผมทำเป็นอย่างไร แล้วถ้าผมอธิบายไปเขาจะเข้าใจไหม ที่สำคัญมีคนต่อคิวรอออเดอร์ข้างหลังผมอีกเพียบเลย ถ้าเรื่องที่ยกมาคุยมันยาวเกินไปคงไม่สะดวก
ในมุมองคนขาย การพูดคุยกันทำให้เกิดความสนิทสนมกันง่ายขึ้นและรุ้สึกเป็นกันเอง และเขาเหล่านั้นอาจกลายมาเป็นลูกค้าประจำของร้านคุณก็ได้ แต่ก็ไม่แน่เสมอไป
ผมมักจะแวะซื้อเครื่องดื่มชูกำลังผสมกาแฟ ยี่ห้อ Monster ที่ร้านขายของชำเล็กๆใกล้บริษัทอยู่เสมอ ทั้งที่ตรงหัวมุมถนนนี่ก็มีร้านสะดวกซื้อชื่อดังอย่าง Walgreen ตั้งอยู่ สาเหตุไม่มีอะไรมากเพราะที่ร้านขายของชำนี้ขายเจ้าเครื่องดื่มตัวนี้ถูกกว่า Walgreen น่ะสิ เมื่อแวะบ่อยเข้าจึงเริ่มทักทายทำความรู้จักกับเจ้าของร้าน เจ้าของร้านชื่ิอฮาเมจ ฮาเมจเป็นชาวตะวันออกกลางร่างสูง เขาทำร้านนี้กับน้องชายของเขา และผมมักจะไปถึงร้านเขาตอนที่เขาเพิ่งเปิดร้านในตอนเช้าเสมอ พอตอนหลังผมเปลี่ยนจากเครื่องดื่มชูกำลังมาเป็นชาเขียวผสมมะนาวยี่ห้อ Arizona แทน ซึ่งเจ้าชาเขียว Arizona ที่ร้านนี้ก็ยังราคาถูกกว่าที่ร้านสะดวกซื้อ Wallgreen ที่อยู่หัวมุม
จนวันนึง ฮาเมจแนะนำผมว่า อย่ากินชาเขียวของ Arizona บ่อยเลย เพราะมันมีน้ำตาลเยอะ ให้ลองชาเขียวของยี่ห้ออื่นดีกว่า แล้ว ฮาเมจก็ชี้ไปที่ชาเขียวสูตรปราศจากน้ำตาลของ itoen ผมจึงลองชาเขียวยี่ห้อนี้ตามคำแนะนำของฮาเมจ ก่อนจะพบว่าที่ Walgreen ขาเขียวยี่ห้อนี้ราคาถูกกว่าที่ร้านของฮาเมจ
และตั้งแต่นั้นมาผมก็ไป Walgreen แทนเพื่อซื้อชาเขียวตามที่ฮาเมจแนะนำ การเป็นกันเองกับลูกค้าอาจซื้่อใจลูกค้าไม่ได้ทุกคน โดยเฉพาะลูกค้าราคาประหยัดเช่นผม
ส่วนในฐานะลูกค้า การถามสารทุกข์สุบดิบกับพนักงานก็อาจจะช่วยผ่อนคลายความเครียดจากการทำงาน
ให้เขาได้บ้าง ไม่ใช่เป็นแค่หุ่นยนต์ไว้สำหรับรับออเดอร์
แต่ทำให้เขารุ้สึกว่ามีเลือดเนื้อและเป็นคนเหมือนกัน
ผมอ่านเจอบทความชิ้นหนึ่งที่คนเขียนเล่าให้ฟังว่าเธอมักจะไปซื้อแซนวิชหรือสลัดที่ร้านนึงประจำแถวที่ทำงาน และทุกครั้งจะเห็นพนักงานที่แคชเชียร์คนหนึ่งหน้ามุ่ยตลอดเวลา
พนักงานหน้ามุ่ยคนนั้นรับออเดอร์แบบเหนื่อยหน่ายและดูขี้หงุดหงิด เมื่อถึงคิวของคนเขียนเธอจึงสั่งออเดอร์ พนักงานก็รับออเดอร์ด้วยท่าทีซังกะตาย เธอจึงถามหนักงานว่า "วันนี้ดูงานยุ่งนะ เหนื่อยมั้ยคะ" พนักงานเมื่อได้ยินดังนั้นจึงระบายให้เธอฟังว่าตั้งแต่เช้าวันนี้เจออะไรมาบ้าง ลูกค้างี่เงาแบบไหนเข้ามาบ้าง เมื่อบ่นเสร็จแล้วดูเธออารมณ์ดีขึ้น และจัดการออเดอร์ให้เธออย่างใจเย็น หลังจากนั้นพนักงานคนนั้นก็ยิ้มแย้มให้เธอและลูกค้าคนอื่นเสมอ
ผมอ่านบทความชิ้นนั้นด้วยความรู้สึกประทับใจ มิน่าเล่า เวลาไปสั่งอาหารตามร้านคาเฟ่ทั้งหลาย พนักงานที่แคชเชียร์จึงมักจะคุยสั้นๆกับลูกค้าก่อนและหลังรับออเดอร์ ตัวผมเอง(ในตอนนั้น)ก็เป็นพนักงานกินเงินเดือนเหมือนกัน แล้วทำไมผมจะไม่ทำการให้กำลังใจแก่คนทำงานเช่นกันบ้างเล่า
ผมซึ่งพกความมั่นใจเข้ามาเต็มเปี่ยมจึงรอจังหวะเช่นนั้นบ้าง จังหวะที่จะให้กำลังใจกับคนทำงานเหมือนกัน
และจังหวะนั้นก็มาถึงเมื่อบ่ายวันหนึ่งผมบังเอิญแวะไปที่ร้านพิซซ่าแห่งหนึ่งแถว อิตาเลี่ยนทาวน์
ที่ร้านนั้นมีคิวก่อนหน้าผมอยู่ 2-3 คิว พนักงานในร้านเป้นชาวเม็กซิกัน 2 คน คนนึงกำลังตักพิซซ่าออกจากเตา อีกคนทำหน้าที่เป็นแคชเชียร์ ทั้งสองคนนั้นหน้าตาดูอิดโรย
แถวอิตาเลียนทาวน์เป็นแหล่งท่องเที่ยวนี่ นักท่องเที่ยวคงเยอะแถมทั้งร้านมีแค่ 2 คน งานต้องหนักแน่เลย ผมคิดในใจ
จากนั้นผมจึงเตรียมลำดับขั้นตอนในใจไว้ว่า เมื่อถึงคิวของผม ผมจะกล่าวทักทาย และถามสารทุกข์สุขดิบของพนักงาน อาจจะแสดงความเห็นใจสักหน่อย แล้วจึงค่อยสังออเดอร์ เมื่อพนักงานได้รับกำลังใจจากผมแล้ว เขาก็จะฮึดและมีแรงตั้งใจทำงานมากขึ้น และที่สำคัญพิซซ่าของผมจะต้องอร่อยและเปี่ยมไปด้วยความตั้งใจของเขา
ผมรอจนถึงคิวของผมจากนั้นจึงเดินเข้าไปที่เคาเตอร์ และเริ่มแผนการที่คิดไว้
"อ้า สวัสดีครับ วันนี้สบ"
"สั่งมา!" พนักงานรับออเดอร์ที่แคชเชียร์ตัดจบ
"ปะ..เปปเปอโรนี"
ผมรับพิซซ่ามาและนั่งแทะเงียบๆอยู่หน้าร้าน การจะทำอะไรแต่ละอย่างบางทีมันก็ต้องดูจังหวะเหมือนกันนะ
So funny, I read your stories from Pantip. Keep up the good work na. Will return to read more.
ReplyDeleteThank you! Glad you like it na krub.
ReplyDelete