ถ้าเปรียบระบบการเดินทางในซานฟรานซิสโกเป็นทุ่งหญ้าแอฟริกาแล้ว คนเดินถนนจัดได้ว่าอยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหารเลย
คนเดินถนน/ คนพิการ เป็นนายพราน
จักรยาน เป็นเหมือนกวางน้อย ปราดเปรียวว่องไวบางครั้งชอบท้าทายสิงโตและนายพรานอยู่เสมอ
รถยนต์/ จักรยานยนต์ เป็นเหมือนสิงโต ที่แม้จะเป็นเจ้าป่าครองทุ่ง แต่ก็ไม่ควรไปทำร้ายนายพรานถ้าไม่อยากโดนล่า
รถเมล์/ รถบัส เป็นเหมือนช้างที่เมื่อเราเห็นแล้วควรอยู่เฉยๆ ไม่ควรไปท้าทายในถิ่นเขา แม้จะโดนนายพรานล่าได้ แต่ช้างก็กระทืบนายพรานตายได้เหมือนกัน
รถบรรทุก เป็นเหมือนฮิปโปที่ดูภายนอกไม่มีอะไร แต่อย่าไปยุ่งจะดีที่สุด แนวต่างคนต่างอยู่ ขนาดพรานป่าชื่อดังยังขยาดแล้วพรานสมัครเล่นจะไปเหลืออะไร
นอกจากนั้นการเดินทางด้วยวิธีอื่นๆ ก็ขึ้นกับรสนิยมของแต่ละคนไป คุณอาจเห็นสาวเอเชียผมเปียหุ่นนักกีฬาที่ทรงตัวรอสัญญาณไฟจราจรอยู่บนจักรยานล้อเดียว หรือ ชายหนุ่มในชุดทำงาน เสื้อเชิ้ตขาว ผูกไทด์และใส่สูท ใช้ Segway ในการเดินทาง ภาพของหนุ่มนักธุรกิจที่ซิ่ง Segway กลางถนนโล่งๆยามเช้า ช่างขัดกับหนุ่มฮิปปี้ผมยาวผู้สวมแค่กางเกงยีนส์ ใช้ลองบอร์ดและไม้ค้ำถ่อในการไถลลงเนินลงมา การตวัดไม้ค้ำถ่อของเขาเพื่อเข้าโค้งนี่จัดได้ว่าเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง รูปแบบการเดินทางทั้งหมดนี้คุณสามารถพบเห็นได้ที่ซานฟรานซิสโกเป็นปกติ
ช่วงแรกๆของการใช้ชีวิตที่ซานฟรานซิสโก ผมเดินหลงทางบ่อยมากบ่อยจนเริ่มจำทางได้ว่าตอนนี้หลงอยู่ที่ไหน แต่ถึงจะหลงจริงก็ไม่ต้องกลัวเพราะตัวเมืองซานฟรานซิสโกจัดผังได้เป็นระเบียบมาก (ผังและโซนนิ่งใหม่เริ่มจัดทำหลังแผ่นดินไหวครั้งใหญ่). นั่นคือเป็นบล๊อกต่อบล๊อก และมีถนนเชืีอมต่อกันเป็นตาราง ดังนั้นผมไม่กลัวที่จะเดินหลงเลยเพราะถ้าเราเดินไปเรื่อยๆเดี๋ยวเราก็เจอทางที่จะไปจนได้ แต่เพืีอความไม่ประมาทผมมักจะพกแผนที่ติดตัวเสมอ ซึ่งเจ้าแผนที่และตารางเดินรถต่างๆนี่สามารถหาได้ตามโรงแรมทั่วไปหรือโรงเรียนบางแห่งก็มีแจก แต่ถ้าหาไม่ได้จริงๆเราสามารถไปขอได้ที่ information center ตรงสถานี Powell.
การเดินในซานฟรานซิสโกเป็นสิ่งที่ผมโปรดปรานมาก วันไหนถ้าไม่มีอะไรทำ ผมมักจะพกหนังสือ กล้องและไอพอดคู่ใจจากนั้นก็เริ่มออกเดินไปเรื่อยๆ จุดหมายปลายทางอาจเป็นร้านหนังสือหรือสวนสาธารณะเงียบๆสักที่ และไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่โปรดปรานกิจกรรมง่ายๆแบบนี้ ตามลานอเนกประสงค์ยอดนิยมอย่าง Union square ก็มีคนมานั่งเล่นกันเต็มไปหมด บ้างนั่งจับกลุ่มคุย บ้างฟังเพลง บ้างก็อ่านหนังสือ เพียงเดือนแรกของซานฟรานซิสโกผมพบว่าเจ้ารองเท้าคอนเวิร์สคู่ใจของผมส้นสึกไปมาก
เลยทีเดียว เนื่องจากเดินเยอะทั้งการเดินปกติและเดินหลง
ที่สำคัญคือซานฟรานซิสโกเป็นเมืองที่มีลักษณะภูมิประเทศเป็นเนิน เนิน
และก็เนิน
ถึงแม้ว่าคุณจะสามารถเดินไปไหนมาไหนในซานฟรานซิสโกได้ทุกที่ก็จรืง แต่ก็ไม่ใช่ทุกที่ที่คุณควรจะไปเดิน
วันนึงเมื่อผมเสร็จจากการกินอาหารเย็นกับเพื่อนที่ร้าน
เราจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน โดยเพื่อนผมอาศัยอยู่ในเมืองจึงจะเดินไปอีกทาง ผมที่ตอนนั้นอยู่นอกเมืองจึงจะเดินไปที่สถานีรถไฟ และสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุดตอนนั้นคือสถานี Civis Center ผมหยิบแผนที่ขึ้นมาดู และด้วยความที่ไม่ชินทางผมเลือกทางที่สั้นที่สุดที่จะไปถึงสถานีรถไฟ เส้นทางนั้นพาผมเดินผ่านย่าน Tenderloin ซึ่งย่าน Tenderloin ในยามฟ้ามืดนี้เป็นย่านที่ถ้าคุณเลือกได้ ควรจะหลีกเลี่ยงเส้นทางนี้ไว้จะดีที่สุด
ผมมารู้สึกตัวว่าเลือกเส้น ทางเดินผิดเมื่อเดินมาได้ครึ่งทาง การจะย้อนกลับไปก็ไม่แน่ใจว่าจะไปเจอกับใครที่เดินตามมาหรือไม่ ผมจึงรีบเดินให้เร็วที่สุดเพื่อพ้นจากบริเวณนี้ แสงไฟจากไฟถนนที่มีอยู่ไม่มาก ทำให้บริเวณแถวนั้นมีมุมมืดกระจายเต็มข้างทาง ผมรูดซิบแจ๊กเกตและกระชับเป้ให้แน่น และเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าแจ๊คเกตให้ตุง ระยะทางที่จะถึงสถานีเหลืออีกไม่ไกลแล้วเพียงแค่ 2 ช่วงถนนผมก็จะปลอดภัย แต่ตรงนั้นเอง บนถนนข้างหน้าที่ผมอยู่มีกลุ่มวัยรุ่นผิวดำยินคุยกับอยู่หน้าอพาทเมนท์ ซอมซ่อ โครงนั่งร้านแสดงให้เห็นว่าตึกนี้กำลังได้รับการซ่อมแซม แต่ดูจากสภาพแล้วผมไม่แน่ใจว่าโครงนั่งร้านนี้มีไว้ใช้ซ่อมแซมหรือกลายเป็น ส่วนหนึ่งของตึกนี้ไปเสียแล้ว
กลุ่มวัยรุ่นมีอยู่ประมาณ 6 คน 2 คนนั่งอยู่บนบันไดหน้าตึก 1 คนยืนอยู่หน้าตึก และอีก 3 คนยืนอยู่ริมถนนหน้าตึก ถ้าผมจะเดินผ่านทางนี้ นั่นแปลว่าผมต้องเดินฝ่ากลางดงวัยรุ่นกลุ่มนี้เข้าไปเลย ผมชะลอฝีเท้าลงในขณะที่รีบตัดสินใจ
ในกระเป๋าผมมีอะไรบ้าง
ผม นึกในใจไล่หาของมีค่าซึ่งนอกจากปากกา สมุดบันทึก ร่ม และหนังสืออีกเล่มแล้ว ไม่มีของอะไรที่พอจะมีค่าสำหรับคนอื่นเลย แล้วกระเป๋าตังค์ล่ะ อันนี้อาจจะแย่หน่อยเพราะมีทั้งเงินสด (ปกติควรพกเงินสดไม่เกิน 40$ เพราะที่นี่ใช้บัตรเครดิตได้แทบทุกแห่ง) บัตรเครดิต บัตรนักเรียนและตั๋วรถไฟรายเดือน ถ้าโดนปล้นไปนี่เดือดร้อนแน่
ตอนนี้ระยะนั้นใกล้เดินกว่าจะหันหลังกลับแล้ว ผมดึงปกคอเสื้อแจคเกตขึ้นมาปิดคอให้สุด แล้วก้มหน้าก่อนจะทำมือตุงๆซุกในกระเป๋าเสื้อแจ๊คเกต ก่อนจะปั้นหน้าให้ดูเก๋าที่สุด พยายามทำหน้าให้เหมือนพี่ฮ่าวหนานจากกู๋หว่าไจ๋ที่สุด (แก๊งค์วัยรุ่นเวียดนามที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องความโหด) แล้วตัดสินใจเดินฝ่าไปกลางวงเลย
ทั้งกลุ่มหยุดคุยกันขณะที่ผมเดินแทรกกลางวง ผมไม่แน่ใจว่าผมได้ยินเสียงอะไรไล่หลังมาหรือไม่ แต่ตอนนั้นผมเดินด้วยความเร็วพอๆกับการวิ่งเหยาะๆ และชั่วพริบตาผมก็เข้ามาอยุ่ในสถานีรถไฟแล้ว อย่างน้อยเกิดเหตุการณ์อะไรในสถานีรถไฟยังสว่าง มีคน และมีกล้องอยู่ และหลังจากนั้นผมก็ไม่เฉียดไปย่านนั้นตอนดึกเลยถ้าไม่จำเป็น
ถึงแม้จะเป็นในที่ๆคุ้นเคยเราก็ไม่ควรประมาท หมั่นสังเกตเหตุการณ์รอบด้านและรู้จักประเมินสถานการณ์ตอนนั้นด้วย
วันนั้นเป็นศุกร์เวลาประมาณ 2 ทุ่ม หลังจากผมเลิกงานและกำลังจะกลับบ้าน ผมขึ้นรถไฟสาย L-Taraval ตามปกติ ที่ชานชาลาตอนนั้นมีผู้คนบางตาไม่เยอะเหมือนช่วงเย็น ผมได้ที่นั่งที่ตู้ที่สองของขบวน ข้างหน้าผมเป็นชายหนุ่มมคู่นึงนั่งคุยกันอยู่ บรรยกาศตอนนั้นก็เหมือนวันศุกร์ปกติที่หลายคนกำลังกลับบ้านเพื่อไปพักผ่อน และหลายคนออกจากบ้านเพื่อมาเริงร่า
ก่อนที่ประตูจะปิดก็มีชายคนหนึ่งพุ่งสุดตัวเข้ามาในรถได้ทันพอดี คนบนรถหันมามองก่อนจะหันกลับไปทำธุระตัวเองต่อ หลังจากประคองตัวได้แล้วชายคนนั้นก็นั่งลงตรงที่นั่งข้างหน้าผม ซึ่งผมก็คงนั่งฟังเพลงอ่านหนังสือไปเรื่อยเปื่อยต่อ ถ้าไม่ใช่ว่าสิ่งที่ชายคนนั้นถืออยู่ในมือคือมีด มีดสั้นขนาดเล็กปลายแหลม ตัวใบมีดมีรอยหยักเล็กน้อย ผมจับตามองพร้อมกับสำรวจไปรอบตัวว่ามีใครเห็นแบบที่ผมเห็นหรือเปล่า ผมมองไปที่ชายหนุ่ม 2 คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามและแน่ใจว่าเขาก็เห็นเหมือนกัน ถึงตอนนี้ชายคนนั้นเริ่มพูดอะไรสักอย่างไม่ได้ศัพท์และเริ่มมีท่าทางมากขึ้น เขายกมือขึ้นมาทั้ง 2 ข้าง จากนั้นเริ่มขยับมือซ้ายที่ถือมีดของเขาในลักษณะวนเป็นวงกลม
ให้ตายเหอะ ท่าถือมีดตอนนั้นยังกับตอนเล่นเกมเคาเตอร์สไตรค์แล้วคุณพยายามที่จะวิ่งเร็วขึ้นจึงเก็บเจ้า 4-6 ของคุณแล้วหยิบมีดออกมาแทงรัวๆ ท่าในตอนนั้นเหมือนในเกมนี้ไม่ผิด
ผมพยายามทำตัวให้ไม่เป็นจุดสนใจ เพราะดูจากที่นั่งแล้วตำแหน่งที่ผมนั่งอยู่ในตอนนี้อยู่ในรัศมีมือของเขาพอดีชนิดที่ว่าถ้าเขาหันกลับมาจ้วงนี่ก็โดนแน่ๆ ผมจึงค่อยๆขยับตัวทีละนิดกะว่าพอถึงสถานีถัดไปถ้าเขาไม่ออกผมก็จะออก ช่วงระยะเวลาระหว่างสถานีที่ปกติจะผ่านไปอย่างรวดเร็วตามความเร็วของรถไฟ แต่ในตอนนั้นผมกลับรู้สึกว่ามันช่างช้าอะไรเช่นนี้ ชายคนนั้นยังคงแกว่งมีดและพูดกับตัวเองอยู่
ถึงสถานีต่อไปแล้ว ผมใช้เวลารอดูว่าชายคนนั้นจะลุกออกไปหรือไม่ เมื่อแน่ใจว่าเขาไม่ออกแล้วผมจึงออกเอง ผมเดินออกจากตู้ขบวนแรกก่อนที่จะวิ่งไปขึ้นตู้ขบวนหลังซึ่งประตูเกือบจะปิดพอดี
หลังจากผ่านวิกฤตนั้นมาได้ ผมนั่งพักหายใจ แม้จะดูเหมือนวิตกเกินกว่าเหตุ แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ผมรู้ว่าวิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือการเอาตัวออกจากจุดล่อแหลมนั้นซะ เพื่อทำให้โอกาสในการเกิดอาชญกรรมลดลง เพราะเราไม่สามารถจะรู้ได้ว่าใครจะทำอะไรเราเมื่อไหร่ แต่เรารู้ตัวเองว่าจะทำอะไรตอนไหน ดังนั้นการป้องกันเหตุที่จะเกิดย่อมดีกว่าการแก้ไขเหตุที่เกิดไปแล้ว
เมื่อถึงสถานี Church ผมได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้องที่ชานชาลาดังมาก คนในขบวนรถทั้งหมดต่างมองไปที่ต้นเสียง ผมเองก็มองออกไปที่ชานชาลา เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนเอามาปิดปากและมองไปที่บันไดทางขึ้นของชานชาลา และเมื่อผมมองตามขึ้นไปจึงเห็นชายคนนั้นถือมีดวิ่งขึ้นบันไดไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ
หลังจากนั้นไม่นานผมก็อ่านเจอข่าวเรื่องการทำร้ายร่างกายที่ป้ายรถเมล์ในตอนเช้า ผู้เสียหายยืนรอรถเมล์อยู่คนเดียว แล้วผู้ต้องสงสัยวิ่งเข้าไปทำร้าย ผู้เห็นเหตุการณ์เราว่าตอนแรกนึกว่าเป็นการชกต่อยทำร้ายร่างกายธรรมดา ต่อมาภายหลังจีงพบว่าผู้ต้องสงสัยใช้มีดแทงเหยื่ออย่างไม่ยั้งก่อนจะหลบหนีไป
เชื่อในสัญชาติญาณตัวเองและปลอดภัยไว้ก่อนครับ
ถึงแม้ว่าคุณจะสามารถเดินไปไหนมาไหนในซานฟรานซิสโกได้ทุกที่ก็จรืง แต่ก็ไม่ใช่ทุกที่ที่คุณควรจะไปเดิน
วันนึงเมื่อผมเสร็จจากการกินอาหารเย็นกับเพื่อนที่ร้าน
เราจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน โดยเพื่อนผมอาศัยอยู่ในเมืองจึงจะเดินไปอีกทาง ผมที่ตอนนั้นอยู่นอกเมืองจึงจะเดินไปที่สถานีรถไฟ และสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุดตอนนั้นคือสถานี Civis Center ผมหยิบแผนที่ขึ้นมาดู และด้วยความที่ไม่ชินทางผมเลือกทางที่สั้นที่สุดที่จะไปถึงสถานีรถไฟ เส้นทางนั้นพาผมเดินผ่านย่าน Tenderloin ซึ่งย่าน Tenderloin ในยามฟ้ามืดนี้เป็นย่านที่ถ้าคุณเลือกได้ ควรจะหลีกเลี่ยงเส้นทางนี้ไว้จะดีที่สุด
ผมมารู้สึกตัวว่าเลือกเส้น ทางเดินผิดเมื่อเดินมาได้ครึ่งทาง การจะย้อนกลับไปก็ไม่แน่ใจว่าจะไปเจอกับใครที่เดินตามมาหรือไม่ ผมจึงรีบเดินให้เร็วที่สุดเพื่อพ้นจากบริเวณนี้ แสงไฟจากไฟถนนที่มีอยู่ไม่มาก ทำให้บริเวณแถวนั้นมีมุมมืดกระจายเต็มข้างทาง ผมรูดซิบแจ๊กเกตและกระชับเป้ให้แน่น และเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าแจ๊คเกตให้ตุง ระยะทางที่จะถึงสถานีเหลืออีกไม่ไกลแล้วเพียงแค่ 2 ช่วงถนนผมก็จะปลอดภัย แต่ตรงนั้นเอง บนถนนข้างหน้าที่ผมอยู่มีกลุ่มวัยรุ่นผิวดำยินคุยกับอยู่หน้าอพาทเมนท์ ซอมซ่อ โครงนั่งร้านแสดงให้เห็นว่าตึกนี้กำลังได้รับการซ่อมแซม แต่ดูจากสภาพแล้วผมไม่แน่ใจว่าโครงนั่งร้านนี้มีไว้ใช้ซ่อมแซมหรือกลายเป็น ส่วนหนึ่งของตึกนี้ไปเสียแล้ว
กลุ่มวัยรุ่นมีอยู่ประมาณ 6 คน 2 คนนั่งอยู่บนบันไดหน้าตึก 1 คนยืนอยู่หน้าตึก และอีก 3 คนยืนอยู่ริมถนนหน้าตึก ถ้าผมจะเดินผ่านทางนี้ นั่นแปลว่าผมต้องเดินฝ่ากลางดงวัยรุ่นกลุ่มนี้เข้าไปเลย ผมชะลอฝีเท้าลงในขณะที่รีบตัดสินใจ
ในกระเป๋าผมมีอะไรบ้าง
ผม นึกในใจไล่หาของมีค่าซึ่งนอกจากปากกา สมุดบันทึก ร่ม และหนังสืออีกเล่มแล้ว ไม่มีของอะไรที่พอจะมีค่าสำหรับคนอื่นเลย แล้วกระเป๋าตังค์ล่ะ อันนี้อาจจะแย่หน่อยเพราะมีทั้งเงินสด (ปกติควรพกเงินสดไม่เกิน 40$ เพราะที่นี่ใช้บัตรเครดิตได้แทบทุกแห่ง) บัตรเครดิต บัตรนักเรียนและตั๋วรถไฟรายเดือน ถ้าโดนปล้นไปนี่เดือดร้อนแน่
ตอนนี้ระยะนั้นใกล้เดินกว่าจะหันหลังกลับแล้ว ผมดึงปกคอเสื้อแจคเกตขึ้นมาปิดคอให้สุด แล้วก้มหน้าก่อนจะทำมือตุงๆซุกในกระเป๋าเสื้อแจ๊คเกต ก่อนจะปั้นหน้าให้ดูเก๋าที่สุด พยายามทำหน้าให้เหมือนพี่ฮ่าวหนานจากกู๋หว่าไจ๋ที่สุด (แก๊งค์วัยรุ่นเวียดนามที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องความโหด) แล้วตัดสินใจเดินฝ่าไปกลางวงเลย
ทั้งกลุ่มหยุดคุยกันขณะที่ผมเดินแทรกกลางวง ผมไม่แน่ใจว่าผมได้ยินเสียงอะไรไล่หลังมาหรือไม่ แต่ตอนนั้นผมเดินด้วยความเร็วพอๆกับการวิ่งเหยาะๆ และชั่วพริบตาผมก็เข้ามาอยุ่ในสถานีรถไฟแล้ว อย่างน้อยเกิดเหตุการณ์อะไรในสถานีรถไฟยังสว่าง มีคน และมีกล้องอยู่ และหลังจากนั้นผมก็ไม่เฉียดไปย่านนั้นตอนดึกเลยถ้าไม่จำเป็น
ถึงแม้จะเป็นในที่ๆคุ้นเคยเราก็ไม่ควรประมาท หมั่นสังเกตเหตุการณ์รอบด้านและรู้จักประเมินสถานการณ์ตอนนั้นด้วย
วันนั้นเป็นศุกร์เวลาประมาณ 2 ทุ่ม หลังจากผมเลิกงานและกำลังจะกลับบ้าน ผมขึ้นรถไฟสาย L-Taraval ตามปกติ ที่ชานชาลาตอนนั้นมีผู้คนบางตาไม่เยอะเหมือนช่วงเย็น ผมได้ที่นั่งที่ตู้ที่สองของขบวน ข้างหน้าผมเป็นชายหนุ่มมคู่นึงนั่งคุยกันอยู่ บรรยกาศตอนนั้นก็เหมือนวันศุกร์ปกติที่หลายคนกำลังกลับบ้านเพื่อไปพักผ่อน และหลายคนออกจากบ้านเพื่อมาเริงร่า
ก่อนที่ประตูจะปิดก็มีชายคนหนึ่งพุ่งสุดตัวเข้ามาในรถได้ทันพอดี คนบนรถหันมามองก่อนจะหันกลับไปทำธุระตัวเองต่อ หลังจากประคองตัวได้แล้วชายคนนั้นก็นั่งลงตรงที่นั่งข้างหน้าผม ซึ่งผมก็คงนั่งฟังเพลงอ่านหนังสือไปเรื่อยเปื่อยต่อ ถ้าไม่ใช่ว่าสิ่งที่ชายคนนั้นถืออยู่ในมือคือมีด มีดสั้นขนาดเล็กปลายแหลม ตัวใบมีดมีรอยหยักเล็กน้อย ผมจับตามองพร้อมกับสำรวจไปรอบตัวว่ามีใครเห็นแบบที่ผมเห็นหรือเปล่า ผมมองไปที่ชายหนุ่ม 2 คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามและแน่ใจว่าเขาก็เห็นเหมือนกัน ถึงตอนนี้ชายคนนั้นเริ่มพูดอะไรสักอย่างไม่ได้ศัพท์และเริ่มมีท่าทางมากขึ้น เขายกมือขึ้นมาทั้ง 2 ข้าง จากนั้นเริ่มขยับมือซ้ายที่ถือมีดของเขาในลักษณะวนเป็นวงกลม
ให้ตายเหอะ ท่าถือมีดตอนนั้นยังกับตอนเล่นเกมเคาเตอร์สไตรค์แล้วคุณพยายามที่จะวิ่งเร็วขึ้นจึงเก็บเจ้า 4-6 ของคุณแล้วหยิบมีดออกมาแทงรัวๆ ท่าในตอนนั้นเหมือนในเกมนี้ไม่ผิด
ผมพยายามทำตัวให้ไม่เป็นจุดสนใจ เพราะดูจากที่นั่งแล้วตำแหน่งที่ผมนั่งอยู่ในตอนนี้อยู่ในรัศมีมือของเขาพอดีชนิดที่ว่าถ้าเขาหันกลับมาจ้วงนี่ก็โดนแน่ๆ ผมจึงค่อยๆขยับตัวทีละนิดกะว่าพอถึงสถานีถัดไปถ้าเขาไม่ออกผมก็จะออก ช่วงระยะเวลาระหว่างสถานีที่ปกติจะผ่านไปอย่างรวดเร็วตามความเร็วของรถไฟ แต่ในตอนนั้นผมกลับรู้สึกว่ามันช่างช้าอะไรเช่นนี้ ชายคนนั้นยังคงแกว่งมีดและพูดกับตัวเองอยู่
ถึงสถานีต่อไปแล้ว ผมใช้เวลารอดูว่าชายคนนั้นจะลุกออกไปหรือไม่ เมื่อแน่ใจว่าเขาไม่ออกแล้วผมจึงออกเอง ผมเดินออกจากตู้ขบวนแรกก่อนที่จะวิ่งไปขึ้นตู้ขบวนหลังซึ่งประตูเกือบจะปิดพอดี
หลังจากผ่านวิกฤตนั้นมาได้ ผมนั่งพักหายใจ แม้จะดูเหมือนวิตกเกินกว่าเหตุ แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ผมรู้ว่าวิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือการเอาตัวออกจากจุดล่อแหลมนั้นซะ เพื่อทำให้โอกาสในการเกิดอาชญกรรมลดลง เพราะเราไม่สามารถจะรู้ได้ว่าใครจะทำอะไรเราเมื่อไหร่ แต่เรารู้ตัวเองว่าจะทำอะไรตอนไหน ดังนั้นการป้องกันเหตุที่จะเกิดย่อมดีกว่าการแก้ไขเหตุที่เกิดไปแล้ว
เมื่อถึงสถานี Church ผมได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้องที่ชานชาลาดังมาก คนในขบวนรถทั้งหมดต่างมองไปที่ต้นเสียง ผมเองก็มองออกไปที่ชานชาลา เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนเอามาปิดปากและมองไปที่บันไดทางขึ้นของชานชาลา และเมื่อผมมองตามขึ้นไปจึงเห็นชายคนนั้นถือมีดวิ่งขึ้นบันไดไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ
หลังจากนั้นไม่นานผมก็อ่านเจอข่าวเรื่องการทำร้ายร่างกายที่ป้ายรถเมล์ในตอนเช้า ผู้เสียหายยืนรอรถเมล์อยู่คนเดียว แล้วผู้ต้องสงสัยวิ่งเข้าไปทำร้าย ผู้เห็นเหตุการณ์เราว่าตอนแรกนึกว่าเป็นการชกต่อยทำร้ายร่างกายธรรมดา ต่อมาภายหลังจีงพบว่าผู้ต้องสงสัยใช้มีดแทงเหยื่ออย่างไม่ยั้งก่อนจะหลบหนีไป
เชื่อในสัญชาติญาณตัวเองและปลอดภัยไว้ก่อนครับ
No comments:
Post a Comment