หลังจากเหตุการณ์ซูซี่ผ่านไป กิ๊บก็เข้ามาอาศัยอยู่ที่บ้านผมอย่างเป็นทางการ แต่จะให้มันอาศัยที่ห้องรับแขกที่เป็นส่วนกลางก็ดูจะเอาเปรียบโฮมเมทเกินไปนักและยังเป็นการผิดสัญญาที่ระบุไว้ตอนเช่าด้วย ประกอบกับผมเห็นว่าบ้านที่อยู่นี่มันมีห้องชั้นล่างว่างอยู่ซึ่งเป็นสตูดิโอมีห้องน่ำในตัวและมีทางเข้าส่วนตัวแยกออกจากบ้านหลักเลย ผมเลยจัดการโทรไปคุยกับแลนลอร์ดหลังจากกล่อมแลนลอร์ดอยู่นานว่ากิ๊บมันน่าสงสารนะ มันโดนไล่ออกจากบ้านโฮมสเตย์มา แถมภาษาก็ยังไม่รู้เรื่องถ้าให้มันไปอยู่ที่อื่นมันก็ไม่น่าจะไปหาเองได้และหลายเหตุสารพัดที่ผมจะอ้าง และในที่สุดแลนลอร์ดก็อณุญาตให้เช่าห้องขั้นล่างได้ โดยมีข้อแม้เพียงอย่างเดียวคือ อย่าเปิดหน้าต่าง
ผมไม่ได้ซักถามว่าทำไมถึงห้ามเปิดหน้าต่าง แต่ก็พอจะเดาได้จากการที่มีลูกกรงติดอยู่ตรงหน้าต่างและทำเลที่ห้องชั้นล่างมันอยู่ติดถนน ถ้าเปิดหน้าต่างไว้อาจโดนคนลอบเข้ามาขโมยได้ ผมจึงไม่ได้ติดใจอะไรมากนัก เมื่อตกลงทำสัญญารายละเอียดเรียบร้อยกิ๊บจึงเริ่มย้ายของจากห้องรับแขกลงไปที่ห้องชั่นล่างซึ่งตอนนี้กลายเป็นห้องของมันไปแล้ว
และสิ่งแรกที่กิ๊บทำเมื่อได้ห้องคือ
ใช่ครับ
เปิดหน้าต่าง
ผมกำลังทำความสะอาดห้องรับแขกอยู่ตอนที่กิ๊บเดินขึ้นมาเรียกผม
"ตอย มึงมาดูอะไรนี่ดิ่" กิ๊บเรียกผมด้วยน้ำเสียงสุภาพซึ่งผมรู้ทันทีว่ามันต้องไปทำเรื่องอะไรมาแน่
"อะไรวะ" ผมตอบ
"เออ มีงลงมาดูอะไรนี่ดิ่" กิ๊บพยายามกล่อมให้ผมลงไปดู
ผมลงไปพบกับกระจกจากหน้าต่างที่หักครึ่งกองอยู่
"ไอ้กิ๊บ..."
"เออ กูรู้" กิ๊บสารภาพขณะที่ผมหยิบของกลางขึ้นมาดู กระจกหน้าต่างแผ่นใหญ่หักครึ่งด้วยแรงกระแทกจากภายใน
"คืองี้" กิ๊บเริ่มอธิบายพร้อมทำแผนประกอบคำรับสารภาพ
"กูเข้ามาในห้องแล้วเริ่มจัดของใช่มะ แต่ห้องมันอับมากกูเลยเปิดประตูไว้ ทีนี้ลมมันไม่พัด"
"มึงเลยเปิดหน้าต่าง" ผมต่อ
"ใช่ กูก็เลยเปิดบานนึง" กิ๊บชี้ให้ผมดูหน้าต่างข้างประตูที่แง้มอยู่หน่อยนึง
"ปรากฏว่าแม่งเปิดได้เว้ย ทีนี้กูเลยไปเปิดอีกบาน กูก็ดันแต่แม่งติดกูเลยกระแทกไปทีแล้วก็เป็นอย่างที่มึงเห็น"
ผมเริ่มคิดในใจว่าควรจะอธิบายให้แลนลอร์ดฟังยังไงดีถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไอ้กิ๊บก็พูดต่อว่า
"ตอย มึงบอกแลนลอร์ดนะ ว่ามึงน่ะเป็นคนทำ"
"อ้าว อะไรของมึงเนี่ย" ผมโวย
"ก็มึงเป็นเด็กเก่าไง กูเป็นเด็กใหม่เดี๋ยวเขาจะว่าเอา"
"........"
หลังจากนั้นกิ๊บก็พยายามเซ้าซี้ให้ผมยอมรับสภาพว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดแต่ผมไม่สนใจจัดการแจ้งแลนลอร์ดไปตามความจริงพร้อมกับรับปากว่าจะซ่อมให้ได้ โชคดีที่อาของเพื่อนผมมีเพื่อนเป็นช่างไม้ หน้าต่างบานนั้นจึงได้รับการซ่อมแซมให้เหมือนเดิมในราคานักเรียน แน่นอนว่าคราวนี้ผมให้ช่างจัดการปิดตายไปเลยจะได้ไม่ต้องเปิดอีก
หลังจากจัดการเรื่องกระจกเสร็จกิ๊บก็บอกกับผมว่า
"ตอย กูไม่มีที่นอน"
"เออ กูรู้" ผมตอบพร้อมกับเฉลยแผนที่วางไว้ให้มันล่วงหน้าว่า
"เอางี้ มึงอยากได้ที่นอนใช่มั้ย เดี๋ยวมึงเดินไปกับกู กูจะพามึงไปเลือกที่นอน"
"แุถวนี้มีร้านขายหรอ เชี่ย เสียตังค์อีกละ" กิ๊บโอดครวญ
"เฮ้ย อันนี้ฟรีเว้ย เชื่อกู มึงตามมา"
แล้วผมกับกิ๊บก็เริ่มออกเดินทาง ซึ่งก็ไม่ใช่ที่ไหนเลย เราเดินกันรอบๆย่าน Sunset เนี่ยล่ะ เป้าหมายของเราคือ ที่นอนที่มีคนทิ้งไว้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของอเมริกาว่าเวลามีของที่เราไม่ใช้แล้วแต่ยังสภาพดี คนส่วนมากจะเอาไปบริจาคหรือบางทีก็วางทิ้งไว้บนทางเดินหน้าบ้าน ใครผ่านไปมาก็สามารถเก็บไปใช้ต่อได้ ซึ่งผมกับกิตโฮมเมทก็ยังเคยหิ้วเครื่องออกกำลังกายกลับบ้านมากันแล้วเลย
ผมกับกิ๊บเดินกันอยู่สักพักใหญ่ๆจึงเจอที่นอนที่มีคนทิ้งไว้ ฟูกที่ว่าเป็นขนาก double bed นอนคนเดียวน่าจะโอเค เราเลยหยิบมันขึ้นมาและขนกลับโดยที่ผมขนด้านท้ายและไอ้กิ๊บขนด้านหน้า เราเดินกันได้สัก 10 นาทีก็ถึงบ้าน และกิ๊บก็เอาที่นอนนั้นเข้าห้องไป เป็นอันว่าในที่สุดกิํบก็มีที่นอนแล้ว
ผ่านไปราวอาทิตย์นึงขณะที่ผมเพิ่งกินข้าวเที่ยงเสร็จ กิ๊บก็เดินเข้ามาบอกว่า
"ตอย กูเจอที่นอนใหม่แล้ว"
"ที่นอนอะไรของมึงอีก" ผมถาม
"เออ อันนี้ดีกว่าอันเก่าอีก" กิ๊บตอบพร้อมกับเร่งให้ผมไปช่วยมันโดยเร็วก่อนที่จะมีคนหยิบไป(ที่นอนนะไม่ใช่หมอน)
ผมเดินตามกิ๊บไปพักใหญ่ๆ จนเห็นที่นอนที่มันอยากได้ ที่นอนที่ว่าเป็นขนาด King size ผมดูสภาพและระยะทางประกอบกับเนินแล้วไม่คิดว่าเราจะแบกกันไปแค่ 2 คนไหว
"เนี่ย มันมีที่จับด้านข้างด้วย" กิ๊บชี้ที่จับด้านข้างที่นอนที่มีลักษณะเป็นห่วงอยู่ข้างละ 2 อัน
"...."
ผมกับกิ๊บถูลู่ถูกังลากที่นอนไปได้ราวบล๊อกนึง ก่อนจะรับสภาพว่าลากกัน 2 คนไม่ไหวจริงๆ ระหว่างที่เราพักเหนื่อยและกำลังคิดว่าจะทำยังไงดี ผมก็นึกถึงนิวรุ่นน้องที่โรงเรียนที่เพิ่งไปรับไอ้กิ๊บกลับบานมาด้วยกันไม่นานนี้ เพราะนิวอาศัยอยู่แถวนี้และที่สำคัญคือนิวมีรถ หลังจากโทรศัพท์ติดต่อกันเรียบร้อยนิวและจาแฟนสาวก็ขับรถ BMW สีดำคู่ใจมาจอดตรงที่ผมกับกิ๊บยืนรออยู่
"ว่าไงพี่ตอย" นิวทักทายผมตามประสารุ่นน้องที่น่ารัก
ผมจึงจัดแจงอธิบายถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นิวรับฟังและไม่มีท่าทีขัดข้อง(เท่าที่เห็นนะ)กับปัญหาที่ผมเล่าให้ฟัง
"ยัดใส่ท้ายรถไหวมั้ยวะนิว" ผมถามเจ้าของรถเพื่อเช็กความสมัครใจ
"ไม่น่าจะได้นะพี่ แต่ลองดูก็ได้นะครับ" นิวผู้เป็นเจ้าของรถ BMW สีดำตอบ
เราทั้ง 3 คน ผม กิ๊บและนิวพยายามยัดที่นอน King size เข้าไปท้ายรถ BMW ซึ้งถ้าให้คนปกติกะเอาด้วยสายตาก็สามารถตอบได้ทันทีว่าไม่ได้
"พับไปไหวมั้ยวะเนี่ย" ผมเสนอว่าเราควรจะพับ
แต่ใครล่ะจะสามารถพับที่นอนขนาก King size ได้ ไอเดียนี้จึงตกไป เรา 4 คนยืนหันซ้ายขวาไม่รู้จะทำอะไรต่อ จนกระทั่งผมเกิดไอเดียขึ้นมาว่า
"เออ แล้วถ้าเอาไว้บนหลังคารถได้มั้ยวะ" ผมเสนอ
"ก็ได้นะพี่" นิวตอบรับ
ถ้าเจ้าของรถโอเค เราก็โอเค ผมและกิ๊บจึงจัดการขนที่นอนวางไว้บนหลังคาจากนั้นเรา 4 คนก็เข้าไปนั่งในรถและเปิดหน้าต่างด้านข้างให้หมดทุกบาน ก่อนจะยื่นมือออกมานอกรถและจับไอ้ห่วง 4 อันด้านข้าง(ทีมันเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ใช่มั้ย!) เมื่อจับกันครบทุกคนแล้วนิวก็ค่อยๆออกรถ ซึ้งถ้าวันนั้นใครบังเอิญผ่านมาจะสามารถเห็นเด็กเอเชีย 4 คนนั่งอยู่ในรถ BMW สีดำที่เปิดหน้าต่างทุกบานและมีมือยื่นออกมาจับที่นอนที่วางอยุ่บนหลังคา รถ BMW ค่อยๆเคลื่อนด้วยความเร็วคงที่ไม่เร็วนักเพื่อให้ทุกคนช่วยกันประคองเจ้าที่นอนไว้ได้ และไม่นานก็ถึงที่หมาย กิ๊บและที่นอนใหม่ก็ใช้ค่ำคืนร่วมกันอย่างมีความสุข
หลังจากนั้นภาษาอังกฤษของกิ๊บก็เริ่มดีขึนเรื่อยๆ มันก็ไปเฮฮาร่อนไปในโลกกว้างกับเพื่อนนักเรียนอินเตอร์ทั้งหลาย ผมไม่ค่อยได้สุงสิงกับมันมากนักในช่วงนี้ทั้งด้วยงานที่โรงเรียนและเวลาที่ไม่ตรงกัน แต่กิ๊บก็ไม่ลืมที่จะเอาเรื่องปวดหัวมาฝากผมเป็นระยะ และด้วยความที่กิ๊บเป็นคนใฝ่รู้ กิ๊บจึงใช้เวลาว่างส่วนนึงไปกับการทำพอร์ทเพื่อไปสมัครงาน กิ๊บส่งพอร์ทร่อนไปตามตามบริษัทโฆษณาต่างๆในเมืองซานฟรานซิสโก และด้วยความสามารถของกิ๊บ ใช้เวลาไม่นานนักกิ๊บก็โดนเรียกตัวไปสัมภาษณ์งาน!
วันนั้นกิ๊บตื่นแต่เช้าจัดการอาบน้ำแต่งตัวและไดร์ผมเสียหล่อ (ซึ่งพอมันไดร์ผมไปสักพักปรากฏว่าไฟตัดทำให้ไฟดับทั้งบ้าน และกว่าจะรอแลนลอร์ดมาสับสวิทช์สะพานไฟก็ล่อไปเกือบบ่ายกว่าไฟจะมา) หลังจากกิํบจัดการให้ตัวเองดูดีในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์แบบมีสไตล์แล้ว มันก็ไปโรงเรียนภาษาตามปกติ เพราะการสัมภาษณ์จะมีขึ้นในช่วงบ่าย บรรดาเพื่อนๆที่โรงเรียนรวมทั้งอาจารย์ต่างก็พากันทักว่าวันนี้มันจะไปไหนแต่งตัวเสียหล่อเลย กิ๊บซึ่งความมั่นใจเต็มกระเป๋าก็บอกอาจารย์ที่โรงเรียนไปว่าวันนี้มันมีสัมภาษณ์งานที่บริษัทโฆษณาตอนบ่าย อาจารย์ได้ยินดังนั้นจึงมองกิ๊บทั้งตัวก่อนจะแนะนำให้มันไปหาสูทมาใส่ก่อนไปสัมภาษณ์งาน และวันนั้นกิ๊บก็ไม่ต้องเรียนได้รับการอณุญาตจากอาจารย์ให้ออกไปเตรียมความพร้อมให้เรียบร้อย
กิ๊บไปถึงสถานที่นัดหมายตามกำหนดเวลา และการสัมภาษณ์งานก็เริ่มขึ้น กิ๊บซึ่งตอนนี้ภาษาอังกฤษดีขึ้นอยู่ในระดับที่ผมคิดว่าถ้ามันกลับไปอธิบายเรื่องที่ผ่านมาให้ซูซี่ฟัง ซูซี่คงเข้าใจและปรับความเข้าใจกันดีได้แน่ การสัมภาษณ์ดำเนินไปเรื่อยๆ และทางผู้สัมภาษณ์เองก็ดูจะชอบไอ้กิ๊บเป็นพิเศษเสียด้วย นอกจากตัวงานของไอ้กิ๊บทั้งงานเก่าและงานใหม่ที่แสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ของมันแล้ว บุคลิกของกิ๊บที่ดูไม่เป็นพิษภัย(มากนัก) และมีความคิดแปลกๆแต่โดนใจก็ยิ่งเสริมให้ผู้สัมภาษณ์งานสนใจในตัวมันมากขึ้น ผู้สัมถาษณ์จึงปิดการสัมภาษณ์ด้วยคำถามสุดท้ายว่า
"Do you like San Francisco?" (คุณชอบซานฟรานซิสโกไหม)
กิ๊บซึ่งตอนนั้นตื่นเต้นไปกับการสัมภาษณ์จึงตอบด้วยความรู้สึกที่พรั่งพรูและจริงใจออกมาในตอนนั้นว่า
"Umm.. Not really, I miss Thailand more" (อืม ไม่นะ ผมคิดถึงเมืองไทยมากกว่า)
ใช่ครับ และหลังจากนั้นไม่นานกิ๊บก็ได้กลับมานั่งคิดถึงบ้านทีเมืองไทยสมใจ
No comments:
Post a Comment