Tuesday, October 28, 2014
Angkor #6: Smile of Angkor
หลังจากเสร็จสิ้นการชมปราสาททั้งวัน ชานนท์ก็พาผมไปจองรถแท๊กซี่สำหรับกลับไปปอยเปตในวันรุ่งขึ้นที่เอเจนซี่แห่งหนึ่ง โดยระหว่างทางชานนท์หยิบแผ่นพับฉบับหนึ่งให้ผมดู
"คุณอยากดูโชว์ไหมคืนนี้" ชานนท์ถามพลางยื่นแผ่นพับให้ผมดู
ในแผ่นพับนั้นเป็นรูปการแสดงบนเวทีสีสวยสด บนเวทีมีปราสาทหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่ และมีหน้าบายนอยู่ทั้ง 2 ข้างของเวที ผมดูแผ่นพับแล้วนึกถึงโชว์อาคาซ่าหรือทิฟฟานี่ที่พัทยา
"มันเป็นโชว์เกี่ยวกับอะไรหรอครับ" ผมถามชานนท์
"เป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติของ Angkor ตั้งแต่ต้นจนจบเลย ประวัติศาสตร์ที่ผมเล่าให้คุณฟังวันนี้น่ะ เขาเอามาทำเป็นการแสดงให้ดู" ชานนท์พยายามขายของ
ผมพลิกแผ่นพับไปมาพลางชั่งใจอยู่ว่าจะเอายังไงดี ตามแผนคือผมคิดว่าจะไปเดินเล่นที่ถนน Pub street แหล่งท่องเที่ยวยามราตรีชื่อดังของที่นี่
"โชว์เริ่มกี่โมงหรอครับ" ผมถาม
"เริ่มประมาณ 1 ทุ่ม 15 นาที ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 1 ชั่วโมง แต่ถ้าจะไปเราควรไปถึงสัก 6 โมงเพราะว่าที่โชวืนี่เขามีดินเนอร์บุฟเฟท์ให้ด้วย"
อืม ดูโชว์พร้อมมีอาหารเย็นให้ ก็อาจจะเป็นความคิดที่ไม่เลวนัก ผมลองดูราคาที่แปะไว้ โชว์นี้มาอยู่ 2 ราคา คือ 39 และ 49 เหรียญ ที่นั่งในโซน 49 เหรียญ แน่นอนว่าจะอยู่ตรงกลางเวทีด้านหน้า ส่วน 39 เหรียญนั้นจะอยู่รอบข้าง หลังจากปรึกษากันอยุ่สักพัก เราก็ตกลงจะไปดูโชว์นี้ ด้วยว่าไหนๆก็ไหนๆจะดีจะแย่ยังไงก้ลองไปดูสักครั้งละกัน ผมบอกชานนท์พร้อมกับระบุว่าเอาที่นั่งตรงกลางไป จะทำอะไรก็ต้องทำให้สุดสินะ ผมคิดในใจ
ชานนท์จัดการจองตั๋วดูการแสดงให้เราเรียบร้อย แล้วแวะมาส่งผมที่โรงแรมเพื่อล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนชุดที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อก่อนออกไปรับประทานอาหารเย็นและดูโชว์
เรามาถึงสถานที่จัดการแสดงขนาดใหญ่ ข้างหน้าอาคารมีรถทัวร์จอดกันอยุ่เรียงรายหลายคัน เราเดินเข้าไปในอาคารที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวจีนและเกาหลี ผมเห็นนักท่องเที่ยวชาติอื่นอยู่บ้างแต่ก้มีจำนวนไม่เยอะเท่าไหร่ เมื่อจัดการเรื่องตั๋วเสร็จเรียบร้อย ชานนท์ก็บอกผมว่าเดี๋ยวเขาจะมารอรับเมื่อโชว์จบ แล้วส่งผมเข้าไปกินอาหารเย็นในโถงขนาดใหญ่
พนักงานต้อนรับพาเราเดินเข้าไปในโถงขนาดใหญ่ที่มีไลน์อาหารอยู่ตรงกลางและที่นั่งจำนวนนับร้อย ซึ่งบัดนี้เกือบเต็ม บางโซนเต็มไปด้วยกรุ๊ปทัวร์ที่มาจากที่เดียวกัน และแน่นอนว่าเมื่อคนเยอะ อาหารก็ต้องยิ่งเยอะ หลังจากได้ที่นั่งเรียบร้อยผมก็ไปเดินสำรวจไลน์อาหารที่มี โดยเริ่มจากโต๊ะหน้าสุดเป็นโซนขนมปัง มีขนมปังหลากหลายแบบกับแยมหรืออะไรสักอย่างที่มีลักษณะเป็นของเหลวสีสดที่หนืดมาก หรืออาจจะเป็นสังขยา ผมคิดแต่ไม่กล้าลอง
ถัดไปเป็นโซนอาหารปรุงสำเร็จ ซึ่งประกอบไปด้วยอาหารแนวจีนทั่วไป ผัดผัก ผัดหมูกับอะไรสักอย่าง และอาหารผัดอีก 2-3 อย่าง ผมมองแล้วเลือกที่จะตักผัดผักกับผัดหมูกับอะไรสักอย่างมาลองชิมดู คนในโถงอาหารนี้มีจำนวนเยอะมาก บ้างก็ต่อคิวกันเป็นระเบียบ บ้างก็แทรกกันตามใจชอบ ผมเดินหลบๆไปจนเห็นว่ามีโจ๊กอยู่ด้วย โจ๊กที่นี่จะมีรอไว้อยู่แล้ว แต่วิธีการสั่งออกจะแปลกเสียหน่อย
ผมเห็นมีแถวโจ๊กอยุ่จึงไปเข้าแถวร่วมขบวน เมื่อถึงคิวผม ผมจึงบอกพนักงานไปว่าขอโจ๊กชามนึง พนักงานหนุ่มมองหน้าผมนิ่งแต่ไม่ขยับอะไร ไม่ว่าผมจะพูดอะไรก้ได้รับความนิ่งเฉยเป็นคำตอบ แล้วก็มีป้าคนนึงพุ่งเข้ามาข้างหน้าผมแล้วชี้ไปที่จานอาหารสด 2-3 อย่างแล้วส่งเสียงล้งเล้ง ก่อนที่พนักงานจะหยิบของตามที่ป้าคนนั้นชี้ไว้แล้วใส่จานยื่นให้พนักงานอีกคนตักโจ๊กใส่ให้
อ้อ เขาสั่งกันอย่างนี้นี่เอง ผมจึงชี้หมูสับกับข้าวโพดบวกด้วยสาหร่ายแก่พนักงานหนุ่มคนนั้น และก็ได้ผล พนักงานคนนั้นก็ตักของตามที่ผมชี้แล้วส่งให้พนักงานคนต่อไปต้มโจ๊กให้ผม เป็นการสั่งอาหารโดยไม่ต้องมีการสื่อสารใดๆ ระหว่างคนกินกับคนทำ ซึ่งซุ้มอาหารอื่นๆก็ล้วนต้องสั่งด้วยวิธีนี้เช่นกัน
ซุ้มถัดไปเป็นซุ้มอาหารผัด ซึ่งก็มีวิธีการสั่งอาหารเหมือนกันคือ เราเดินเข้าไปหยิบอาหารสดที่อยากได้ โดยจะมีแค่เส้นกับผักทั้งหลายไม่มีเนื้อสัตว์ให้เลือก ในตอนแรกนั้นผมนึกว่านี่เป็นโซนผัดหมี่เจเสียอีก แต่เมื่อดูไปเรื่อยๆจึงเข้าใจ หลังจากเราเลือกเส้นและผักที่อยากได้แล้ว ขบวนแถวก็จะค่อยๆเคลื่อนไปยังหน้าเตาที่มีพนักงานกำลังผัดอยู่ เตาที่ใช้เป็นเตาผัดเหมือนร้านเทปันยากิ หรือ ร้าน Skylark ตามศูนย์อาหารทั่วไป เมื่อถึงคิวของผม ผมก็จัดการโยน โยนไอ้ที่ผมตักใส่จานเมื่อกี้ทั้งหมดลงสู่กระทะ
พนักงานจะเริ่มทำการผัดด้วยความช่ำชอง พนักงานทำครัวพลิกข้อมือตวัดตะหลิวเสียดสีกัน สลับกับราดเครื่องปรุงหลากชนิดเป็นระยะ จนเมื่อใกล้สุกพนักงานทำครัวก็จะโยนเนื้อไก่ขนาดเล็ก 2-3 ชิ้นลงบนหมี่ผัดของเรา และก็เป็นอันเสร็จสิ้นพิธี
โดยรวมแล้วอาหารมื้อนี้เป็นอาหารสำหรับกรุ๊ปทัวร์อย่างแท้จริง คือเน้นปริมาณมากกว่ารสชาติ อาหารบางอย่างผมกินลงไปโดยที่ไม่แน่ใจว่าสิ่งนั้นคืออะไร เรียกได้ว่ากินให้หายหิวเท่านั้น โดยรวมแล้วไม่ค่อยประทับใจกับอาหารมื้อนี้เท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้ผิดหวังมากเพราะผมตั้งความคาดหวังไว้ไม่สูงอยู่แล้วสำหรับการแสดงและอาหารในค่ำคืนนี้ ด้วยว่ามันคงเป็นสถานที่ๆเหมาะกับกรุ๊ปทัวร์แต่ผมอยากมาดูเพราะอยากรู้ว่ามันเป็นอย่างไร อย่างไรก็แล้วแต่เมื่อเรากินอาหารเสร็จก็ได้เวลาเริ่มการแสดงพอดี
เราเดินเข้าไปในโรงละครขนาดใหญ่ ที่มีเวทีตั้งอยู่ตรงกลาง โดยคั่นระหว่างที่นั่งกับเวทีด้วยบ่อน้ำ พื้นในโรงละครก็ไล่ระดับเป็นทางลาดลงไปเหมือนตามแบบฉบับโรงละครทั่วไป แต่โรงละครแห่งนี้ไม่เหมือนโรงละครที่ผมพบมาอยู่ตรงที่ เก้าอี้
เก้าอี้ในโรงละครนี้ไม่ได้เป็นเก้าอี้พนักแบบพับได้เหมือนโรงหนังหรือโรงละครทั่วไป แต่เป็นเก้าอี้หวายขนาดใหญ่วางต่อกันเป็นแถวยาว
อืม แปลกดี ผมคิดในใจ บางทีการใช้งานของโรงละครนี้อาจมีมากกว่าการแสดงบนเวที บางทีเขาอาจจะอยากได้พื้นที่โล่ง ไว้เป็นฟลอร์เต้นรำก็ได้
ผมนั่งอยู่ในโรงละครสักพัก การแสดงก็เริ่มขึ้น บนเวทีมีหนุ่มเขมรที่เล่นเป็นเด็กน้อยยืนอยู่กลางเวที เด็กน้อยคนนี้กำลังสงสัยว่า Angkor มีที่มาอย่างไร เหมือนกับที่ผมก็กำลังสงสัยว่าเมื่อไหร่กรุ๊ปทัวร์ป้าเกาหลีกลุ่มที่อยู่ข้างหน้าผมจะนั่งลงเสียที เสียงพากย์ภาษาอังกฤษสลับกับเสียงการพูดคุยของกลุ่มป้าข้างหน้าผม การมาสายในโรงละครย่อมก่อให้เกืดความรำคาญแก่คนรอบข้างอยู่แล้ว ผมอดทนรอให้กลุ่มป้าข้างหน้าผมยุติการถกเถียงเรื่องที่นั่งว่าใครต้องนั่งตรงไหนเสียที และในที่สุดหลังจากหน้าบายนขนาดยักษ์โผล่มาให้คำตอบกับเด็กน้อยว่า มาสิ ฉันจะเล่าประวัติของ Angkor ให้ฟังเองว่ามาจากไหน กลุ่มคุณป้าข้างหน้าก็หาที่นั่งกันได้ลงตัวพอดี
การแสดงบนเวทีเป็นการเล่นละครผสมกับการเต้นและมีกายกรรมพ่วงด้วยนิดหน่อย และมีการใช้ CG เยอะพอสมควรทั้งรูปหน้าบายนที่ขยับไปมา และฝูงช้าง ตัวการแสดงเล่าเรื่องประวัติของนคร และความเป็นมา ผมนั่งดูด้วยความรู้สึกกลางๆ คือไม่ได้แย่แต่เหมือนไม่มีอะไรน่าประทับใจเท่าไหร่นัก ถ้าจะข้ามไปก็คงไม่เสียดายเท่าไหร่
ผ่านไปราวชั่วโมงกว่า การแสดงก็จบลง เหล่านักแสดงทั้งหลายกำลังเดินออกมาฟินนาเล่และโบกมือทักทายคนดู และตอนนี้เองที่เหล่าคุณป้าชาวเกาหลีทำเรื่องที่น่ารักขึ้น ระหว่างที่คนดูกำลังตบมือให้กำลังใจนักแสดงอยู่นั้น คุณป้ากลุ่มนี้เองก็ตบมือให้กำลังใจนักแสดงเช่นกัน แต่ผมเห็นได้จากภาษากายของเธอว่าดูเธอมีความสุขกับการแสดงชิ้นนี้จริงๆ แขนของเธอตั้งขึ้น 90 องศาตั้งฉากกับหน้าตักของเธอ และเธอเอียงแขนออกประมาณ 45 องศาโดยมีจุดหมุนอยุ่ที่ข้อศอดซึ่งชี้ลงไปที่หน้าตักของเธอ จากนั้นเธอจึงเหวี่ยงแขนกลับเข้ามาพร้อมกันทั้ง 2 ข้างก่อให้เกิดเสียงตบมืดที่ดังและชัด คุณป้าท่านนี้ตบมือด้วยวิธีนี้จนนักแสดงออกมาจนครบ และยังคงยิ้มและโบกมือให้นักแสดงจนเธอเดินออกจากโรงละคร
ผมอาจจะเคยดูโชว์ที่อื่นที่ดีกว่านี้มาก่อน แต่หลังจากเห็นคุณป้าท่านนั้นเพลิดเพลินไปกับการแสดงนี้อย่างจริงใจ ผมคิดว่าการแสดงนี้แม้จะดูตลาดๆ แต่ก็เป็นการแสดงที่ดีที่สามารถทำให้คนดูมีอารมณ์ร่วมได้
หลังการแสดงผมออกมาพบชานนท์ เขามีท่าทีผิดหวังเมื่อผมบอกถึงความประทับใจโชว์นี้ คือไม่แย่แต่ไม่ได้ประทับใจเท่าไหร่โดยเฉพาะอาหาร ชานนท์บอกผมว่าเขาจะไม่แนะนำโชว์นี้ให้ใครอีก จากนั้นชานนท์มาส่งผมที่ถนน Pub street และเราก็ลาจากกันตรงนี้ ผมให้ทิปขานนท์ไปอีก 10 เหรียญ และขอบคุณเขา
ผมเดินเล่นอยู่ที่ถนน Pub street ซึ่งถ้ามองผ่านๆจะนึกว่าเดินอยุ่ที่ถนนข้าวสารผสมกับสวนลุมไนท์บาซ่ายังไงยังงั้นเลย นักท่องเที่ยวมากมายพากันมารวมอยู่ที่นี่ ถ้าโชว์ที่เราไปดูเมื่อสักครู่คือสถานที่รวมทัวร์จีนและเกาหลี ถนน Pub street ก็คือสถานที่รวมนักท่องเที่ยวชาวยุโรปนี่เอง
ผมเดินเล่นอยู่สักพักจึงเรียกรถตุ๊กๆกลับโรงแรม เพราะวันพรุ่งนี้เราต้องเดินทางกลับตั้งแต่ 9.30
Labels:
stories
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment