Monday, October 27, 2014
Angkor #4: ชาวนคร
นอกเหนือไปจากปราสาทและกองหินทั้งหลายแล้ว สิ่งหนึ่งที่ผมพบเห็นได้แทบทุกโบราณสถานที่เราไปก็คือ ร้านค้าขายของที่ระลึกซึ่งเป็นคนท้องถิ่นมาขาย อารมณ์คล้ายๆซุ้มขายของที่ระลึกแบบบ้านเราแต่เป็นเพิงเล็กๆเรียงติดกัน นอกจากนี้ยังมีเหล่าเด็กน้อยที่หิ้วตะกร้าขายพวงกุญแจ แม่เหล็กติดตู้เย็น และอะไรต่ออะไรจิปาถะมากมาย เด็กน้อยเหล่านี้จะวิ่งเข้ามาหาคุณทันทีที่คุณย่างเข้าเขตร้านค้าของที่ระลึก บางส่วนจะตามคุณตั้งแต่ลงจากรถไปถึงทางเข้าเลยทีเดียว และถ้าคุณหลวมตัวซื้อไปสักคนนึงแล้วล่ะก็ บรรดาแม่ค้าตัวน้อยทั้งหลายจะวิ่งมาหาคุณกันเป็นพรวน
การปฎิเสธว่าซื้อไปแล้วหากซื้อซ้ำอีกดูจะใช้ไม่ได้ผลกับที่นี่ ด้วยว่าเด็กน้อยเหล่านี้จะอ้อนวอนให้พวกคุณอุดหนุนของๆเธอบ้าง ถ้าคุณใจแข็งก้สามารถปฎิเสธได้โดยไม่ต้องเสียเงิน แต่ถ้าคุณใจอ่อน บางทีคุณก็อาจจะอยากอุดหนุนอะไรเล็กๆน้อยๆให้กับเด็กพวกนี้บ้าง ที่สำคัญคือการต่อราคากับเด็กน้อยเหล่านี้ก็น่าสนใจไม่ใช่น้อย
ทันทีที่ผมก้าวลงมาจากรถ สาวน้อยรายหนึ่งก็วิ่งเข้ามาพร้อมกับตะกร้าในมือของเธอ
"พี่อยากได้พวงกุญแจไหม หนูขายแผงละ 5 เหรียญ" เธอส่งเสียงเป็นภาษาอังกฤษเจื้อยแจ้วมา
"อืม ไม่เอาล่ะ ผมไม่อยากได้" ผมบอกปัดไปพลางดูพวงกุญแจรูปนครวัดที่เป็นทั้งที่ตัดเล็บและที่เปิดขวด ทั้งแผงนี้มีอยู่ 5 อัน ผมคิดว่าพวงกุญแจพวกนี้ทำในจีน
"นะ ช่วยหนูซื้อหน่อยนะพี่" เธอยังคงอ้อนวอนอยู่
ผมหันไปมองสาวน้อยคนนั้นอีกที ผนวกกับความสงสารแต่ราคา 2 เหรียญยังดูแพงไปสำหรับของที่ผมคงไม่ได้ใช้ประโยชน์เท่าไหร่นัก
"ถ้าคิดเป็นบาท ราคาเท่าไหร่" ผมถามเธอเป็นภาษาอังกฤษ
"เป็นบาทคิด 150 บาท พี่ช่วยหนูซื้อหน่อยนะ" เธอตอบกลับเป็นภาษาไทยชัดเจน
ผมยังแปลกใจกับการเปลี่ยนภาษาที่รวดเร็ว แต่ก็ยังคิดว่าราคาที่ว่ามันแพงไปอยู่จึงปฎิเสธแล้วเดินต่อไป
"นะพี่ ช่วยหนูหน่อยนะ" เธอเดินตามผมมาไม่ห่าง
"อ่ะ 4 เหรียญ" เธอต่อรอง
"ไม่เอาๆ แพงไป ไม่อยากได้ด้วย" ผมบอกปัด
"อ่ะ ทั้งแผง 100 เดียว ช่วยหนูซื้อหน่อยเถอะนะๆ" เธอร้องขอซ้ำๆ
สุดท้ายผมก็ใจอ่อน และด้วยราคาแผงละ 100 บาท ก็ไม่ได้แย่เกินไปนักผมจึงยอมให้เธอชนะในรอบนี้ไป และทันทีที่ผมจ่ายเงินให้เธอ เด็กน้อยที่แบกตะกร้าอยู่ 4-5 คนก็วิ่งเข้ามารุมล้อมผมอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนทุกคนอยากให้ผมซื้ออะไรสักอย่างจากพวกเขาไป ซึ่งแน่นอนว่าของที่มีมันก็เหมือนกันทั้งหมดน่ะแหละ
"ไม่เอา มีตั้ง5อันแล้วแน่ะ จะเอาไปทำไมอีก" ผมพยายามปิดฉากการสนทนาพลางชูพวงกุญแจทั้งแผงให้เด็กน้อยดู
"ซื้ออีกน่า พี่ยังไม่ได้ซื้อกับผมนี่" เด็กน้อยเริ่มต่อรอง
"ไม่เอาๆ" ผมรีบเดินหนีก่อนที่จะไม่ได้เยี่ยมชมโบราณสถาน
"แผงละ 120 เอ้า" เด็กน้อยตะโกน
"เมื่อกี้ซื้อมา 100 เดียวเอง" ผมตะโกนตอบ
"เอ้า แผงละ 100"
"ก็มีแล้วไงแผงละร้อยน่ะ"
"เอ้า แผงละ 80" เด็กน้อยยังไม่ยอมแพ้
ผมไม่สนใจยังคงเดินไปที่ทางเข้า สุดท้ายเด็กน้อยตะโกนไล่หลังมาว่า
"แผงละ 50 เอ้า"
ผมชะงักไปนิดหนึ่ง แล้วก็เดินต่อ ในใจส่วนนึงผมแอบคิดว่านี่ถ้าเมื่อกี้ต่อราคากับสาวน้อยรายแรก อาจจะได้ราคาที่ถูกกว่านี้ก็ได้ ผมบอกชานนท์ ชานนท์หัวเราะแล้วบอกผมว่า พอเจ้าเด็กพวกนี้รู้ว่าคุณคงไม่ซื้อแน่ๆแล้ว พวกเขาจะบอกราคาที่น่าสนใจให้คุณย้อนกลับไปอีกที มันเป็นวิธีการขายอย่างหนึ่งเท่านั้น แล้วบอกผมว่าไม่ต้องกังวล ราคาที่ได้มาก็ถูกแล้ว
ผมหัวเราะให้กับบรรดาลูกเล่นของพ่อค้าแม่ค้ารุ่นจิ๋วเหล่านี้ แล้วก็อดนึกไม่ได้ว่าตลอดเวลาที่ผมทำการเจรจากับเหล่าเด็กน้อยนั้น ผมพูดคุยกับเหล่าเด็กน้อยด้วยภาษาไทย การโต้ตอบต่อรองราคาถามสลับระหว่างค่าเงินบาทกับดอลล่าห์เป็นไปอย่างไหลลื่น แม้บางคนที่พูดภาษาไทยไม่ได้ ภาษาอังกฤษที่เหล่าเด็กน้อยรัวออกมาก็ไม่มีติดขัด
ของที่ขายนอกจากของที่ระลึกทั่วไปแล้วยังมีทั้งเสื้อผ้า กางเกงอาละดินและผ้าทอพื้นเมืองอีกด้วย ที่ผมประทับใจเห็นจะเป็น งานแกะหนังเป็นหุ่นแบบหนังตะลุงบ้านเรา คนแกะเป็นวัยรุ่นที่กำลังตั้งใจตอกหนังอย่างขะมักเขม้น น่าเสียดายที่ผมไม่อาจจะหิ้วกลับมาได้ด้วยจำนวนของที่เยอะอยู่แล้วและไม่รู้จะเก็บกลับมายังไงให้คงสภาพเดิม จึงต้องเดินผ่านไปอย่างน่าเสียดาย และแฟนผมก็นึกขึ้นได้ว่ามีคนฝากซื้อของบางอย่างไว้ จึงแวะไปที่ร้านขายกางเกงอาละดินที่อยู่ใกล้ๆ
ขณะที่ผมกำลังเฝ้ามองการต่อราคากับแม่ค้าของเธอด้วยความเพลิดเพลิน เมื่อเธอบอกราคาแม่ค้าไป แม่ค้าจะนิ่งคิดนิดหนึ่งก่อนก้มลงกับพื้นแล้วเขียนราคาเป็นตัวเลขออกมาบนพื้นทราย เมื่อตกลงราคากันยังไม่ได้ก็เขียนด้วยมือลบด้วยตีนกันอยู่ต่อเนื่อง ผมมองพลางคิดหาคำตอบให้ตัวเองว่าบางทีแม่ค้าอาจจะไม่แน่ใจว่าบอกตัวเลขถูกหรือเปล่า การเขียนตัวเลขให้ชัดเจนลงไปบนพื้นเลยจะทำให้เข้าใจตรงกันได้มากกว่า ซึ่งในระหว่างนั้นผมก็ได้หนังสือแนะนำนครวัดเป็นภาษาอังกฤษมาเล่มนึงจากคนที่บอกว่าเราไทยเขมรเป็นเพื่อนบ้านกัน เขาจึงยอมขายให้ผมในราคา 300 บาท จากหน้าปก 27.95 เหรียญ ซึ่งเป็นราคาที่เขาถามว่าผมอยากให้เท่าไหร่ ผมพบว่าการต่อรองราคาของคนที่นี่ เขาจะไม่บอกว่าเขาลดให้ได้เท่าไหร่ เพราะอาจเป็นการปิดประตูคนซื้อไปเลย แต่เขาจะให้เราบอกราคาที่เราจ่ายได้มาและเริ่มจากตรงนั้น ซึ่งผมคิดว่าเป็นวิธีการที่นุ่มนวล ไม่ได้โดนกระชากไปซื้อสักเท่าไหร่นัก เราสามารถปฎิเสธการขายได้ตลอดเวลาถ้าไม่อยากซื้อจริงๆ และพ่อค้าแม่ค้าชาวเขมรก็ไม่ได้แสดงอาหารฮึดฮัดอะไร สิ่งที่ผมเห็นเวลาเราปฎเสธการขายแบบหนักแน่นคือ แววตาที่เศร้าสร้อยพร้อมกับความผิดหวังที่ฉายวูบขึ้นมาเมื่อเราบอกปฎิเสธไป
ผมมาทริปด้วยงบประมาณที่ตั้งไว้ในใจว่าจะไม่ให้เกิน การซื้อของบางอย่างจึงมีงบประมาณที่คิดไว้ว่าจะไม่ให้เกินมากนัก และที่สำคัญถ้าซื้อเยอะแยะผมเกรงว่าจะขนกลับไปไม่หมด
หลังจากผมได้หนังสือมาก็พลิกดูหน้าปราสาทบายนที่เราจะไปกันเป็นที่ต่อไปหลังจากนี้ หนุ่มเขมรคนหนึ่งก็เดินเข้ามาชวนผมคุย
"ปราสาทบายนสวยมากเลยล่ะ" เขาเกริ่น
"ใช่ ผมก้ชอบนะ หน้าบายนดูน่าสนใจดี" ผมตอบ
"ผมมีรูปสลักไม้นะ ถ้าคุณสนใจ" พูดจบ หนุ่มเขมรคนนั้นก็ชูรูปสลักไม้หน้าบายนออกมาให้ผมดู
"โอ้ น่าสนใจดี เท่าไหร่หรอ" ผมถาม
"คุณลองไปดูทางนั้นกับผมไหม ผมมีอีกหลายอย่างเลยล่ะ" หนุ่มเขมรชวน
ผมมองไปทางที่เขาชี้เป็นซุ้มเล็กๆ ประกอบไปด้วยรูปสลักไม้หลากหลายแบบ
โอเค ดูก็ดู ผมทนลูกตื๊อแกมสงสารกับเขาไม่ไหว บวกกับความสนใจที่มีอยู่แล้วด้วย เลยยอมเดินไปดูพลางคิดในใจว่าเอาน่ะอย่างน้อยเดินไปดูก่อน ไม่ชอบก็ไม่เอา
"รูปสลักไม้ชิ้นนั้นราคาเท่าไหร่ครับ" ผมถามพลางชี้ไปที่รูปสลักไม้หน้าบายน
"โอ ชิ้นนั้นพ่อผมทำเองกับมือเลย ขายอยู่ที่ 75 เหรียญเอง ไม่แพงๆ" หนุ่มเขมรหน้าซื่อตอบ
ผมสะอึกไปเล็กน้อย พลางคิดในใจว่าจริงอยู่ที่มันสวยแต่ราคามันแพงไปหน่อยนึง แต่งานฝีมือแบบนี้มันก็น่าจะต้องมีราคาอยู่แล้วล่ะ ยิ่งผมนึกภาพชายชราชาวเขมรนั่งแกะสลักไม้ในบรรยากาศรอบๆโบราณสถานแห่งนี้ ยิ่งทำให้ผมรู้สึกถึงความขลังของงานชิ้นนี้ขึ้นมาทันที
"ผมเข้าใจนะว่าพ่อคุณตั้งใจทำงานชิ้นนี้มา แต่ราคามันสูงไปหน่อยสำหรับผมและผมไม่อยากต่อราคาด้วย เพราะงานที่ดีก็น่าจะได้ราคาที่คู่ควร เอางี้ละกัน คุณบอกราคามาว่าขายได้เท่าไหร่ ถ้าโอเคผมจะซื้อไว้ แต่ถ้าไม่ก็ไม่เป็นไร ผมไม่อยากกดราคางานฝีมือของพ่อคุณน่ะ" ผมบอกหนุ่มเขมรด้วยความเกรงใจ
"คุณให้ได้เท่าไหร่ล่ะ บอกผมมาหน่อยสิ" หนุ่มเขมรหน้ามนตอบ
"20 เหรียญเป็นไง" ผมลองต่อเอาดื้อๆเลยพลางคิดในใจว่าเขาจะโกรธผมไหมนะ
หนุ่มเขมรยืนเงียบๆ ไม่พูดอะไรก่อนจะหยิบรูปสลักไม้กับช้างเซรามิกไว้ใส่เทียนมาวางข้างกัน
"คุณเอารูปสลักพร้อมช้างไหมละ เอาไว้วางเทียนได้นะครับ ผมคิดรวมเป็น 2 ชิ้น 45 เหรียญเท่านั้นเอง"
"อ่า แต่ผมไม่อยากได้ช้างตัวนั้นนี่" ผมชี้ไปที่ช้างเซรามิกจิ๋วที่เห็นได้ตามจตุจักรหรือตามแผงลอยในห้างบิ๊กซี
"เอาแค่รูปสลักไม้คิดเท่าไหร่ครับ" ผมถาม
หนุ่มเขมรนิ่งคิดในใจ ก่อนจะหยิบช้างเพิ่มมาอีกตัวแล้วเอามาวางข้างๆรูปสลักไม้ ตอนนี้รูปสลักไม้มีช้างเซรามิกยิ้มร่าชูงวงอยู่ทั้ง 2 ข้าง
"โอเค ถ้างั้นคุณเอารูปสลักไม้พร้อมช้าง 2 ตัวเป็นไง ผมคิดถูกๆแค่ 55 เหรียญเอง" เขาถามผม
"อืม มันก็สวยนะ แต่ผมไม่ได้อยากได้ช้างนี่นา เอาแค่รูปสลักไม้เท่าไหร่หรอครับ" ผมปฎิเสธช้างน้อยอย่างแข็งขัน
และก็เป็นอีกครั้งที่เขานิ่งคิด สุดท้ายแล้วหนุ่มเขมรเอื้อมมือมาหยิบช้างเซรามิกออกไปตัวนึงแล้วบอกผมว่า
"เอาล่ะ ถ้างั้นรูปสลักไม้พร้อมช้าง 1 ตัว คิดแค่ 35 เหรียญ คุณคิดว่าไง" เขาถาม
"ก็บอกว่าไม่เอาช้างไงละ(โว้ยยยย)" ผมตอบพลางคิดถึงหาคำตอบเรื่องช้าง ว่าทำไมเขาถึงอยากให้ช้างผมนักหนา การขายแบบนี้อาจจะไม่ได้เน้นที่จำนวนของแต่เน้นที่ว่าจะได้จำนวนเงินเท่าไหร่มากกว่า การยัดเยียดช้างให้ผมอาจทำให้เขาได้ราคาที่ต้องการ
"ถ้ามีช้างก็ไม่ซื้อนะ ผมจะเอาแต่รุปสลักไม้" ผมยื่นคำขาด
หนุ่มเขมรหน้ามนคงเห็นว่ายังไงก็คงยัดช้างให้ผมไม่ได้จึงตกลงราคากันในจุดที่พอดีอยู่ที่ 25 เหรียญ ราคาที่แล้วอาจดูแพงมากน้อยแล้วแต่คนมอง แต่ผมถือว่าผมได้อุดหนุนและสนับสนุนให้คนในท้องที่ได้มีงานทำ มิหนำซ้ำพ่อเขาคงดีใจเช่นกันที่งานฝีมือของเขาขายได้
ผมยิ้มให้กับหนุ่มเขมรแล้วกล่าวขอบคุณก่อนเดินจากมาพร้อมกับรูปสลักไม้ในมือ แต่เพียงแค่ถัดไปไม่กี่คูหา ผมก็เห็นรูปสลักไม้อีกเช่นกัน แบบเดียวกับอันเมื่อกี้เลยเรียกได้ว่าถ้าดูเผินๆ ผมคงนึกว่ามันเป็นอันเดียวกันแน่ๆ หนุ่มน้อยเจ้าของร้านเห็นผมหยุดดูอยู่หน้าร้านจึงรี่เข้ามาต้อนรับอย่างรวดเร็ว
"สนใจชิ้นไหนสอบถามได้นะครับ" เขาถาม
"ชิ้นนี้เท่าไหร่หรอครับ" ผมชี้ไปดูรูปสลักไม้หน้าบายน
"โอ ชิ้นนี้หรอครับ มันสวยมากเลยนะ" เขาตอบ
ผมแค่อยากรู้ว่าราคาแต่ละร้านมันเท่ากันไหมเท่านั้น ไม่ได้กะจะซื้ออะไรหรอกเพราะผมเองก็มีเจ้ารูปสลักไม้ชิ้นที่ว่าห่อกระดาษหนังสือพิมพ์อยู่ในมือผมอยู่แล้ว
"เท่าไหร่หรอครับชิ้นนี้" ผมถาม
"คุณนี่ตาถึงจริงๆเลย ราคามันอาจจะสูงหน่อย เพราะว่าชิ้นนี้น่ะ" หนุ่มน้อยบรรยายสรรพคุณเพื่อที่จะได้ดึงราคาขึ้นไป ก่อนจะสรุปให้ผมฟังสั้นๆแต่ได้ใจความว่า
"พ่อของผมทำเองกับมือเลยนะ"
Labels:
stories
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment