Wednesday, October 22, 2014
Angkor #2: เสียมเรียบ
จริงๆแล้วเรื่องมันควรจะจบลงตรงที่ "แล้วเราก็ออกเดินทางสู่เสียมเรียบอย่างมีความสุข" ในตอนที่แล้ว แต่เรื่องจริงมันไม่ได้ง่ายแบบนั้น หลังจากการแก้ปัญหาที่นั่งด้วยการเอาเก้าอี้หวายมาเสริม แต่สุดท้ายแล้วสาวต่างชาติคนนั้นก็ปฏิเสธไปด้วยว่ามันไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย กับไอ้การเอาเก้าอี้มาตั้งไว้ตรงทางเดิน ซึ่งผมก็เห็นพ้องกับเธอนะ ทางออกที่ดีที่สุดในตอนนั้นคือเธอก็นั่งลงกับพื้นรถ เพื่อที่พวกเราจะได้ออกเดินทางกันเสียที
เราออกเดินทางจากสถานีขนส่งปอยเปตราวๆ 5 โมงกว่า โดยคนขับได้แจ้งว่าจะหยุดพักรถเพื่อเข้าห้องน้ำหรือกินข้าวราวๆ 30 นาทีเมื่อรถขับไปได้ครึ่งทาง ถนนหนทางรอบๆของเขมรก็เหมือนกับถนนเชื่อมจังหวัดทั่วไป คือเป็นถนนเล็กๆ 2 เลนพอสวนกันได้ รอบข้างทางมีบ้านคนประปรายเป็นระยะ เมื่อรถขับไปได้สักชั่วโมงนึงฟ้าก็เริ่มมืด ถนนเส้นระหว่างปอยเปต - เสียมเรียบนั้น แทบจะไม่มีไฟถนนข้างทางเลย เรานั่งกันในความมืดมิด อาศัยแสงไฟจากหน้ารถที่ส่องนำทางในระยะ 5 เมตรเท่านั้น และนานๆทีจึงจะมีรถวิ่งสวนมาสักคัน
และท่ามกลางความมืดมิดนั้นเอง คนขับรถก็หักรถเลี้ยวเข้าข้างทางที่มืดสนิท ผมมองไปทางหน้าต่างข้างรถแต่ก็พบแต่ความมืดที่รายล้อมอยู่ รถบัสนำเราเข้าไปในทางอันมืดสนิทเป็นระยะทางกว่า 500 เมตร และที่นั่น ผมมองเห็นแสงไฟอยู่ข้างหน้า ป้ายหน้าร้านเป็นภาษาเขมรกำกับด้วยภาษาอังกฤษอยู่ข้างใต้ เพียงพอที่จะให้รู้ว่าสถานที่แห่งนี้คือร้านอาหารแห่งหนึ่ง
คนขับรถแล่นรถเข้าไปจอดแล้วประกาศว่าเราจะหยุดพักประมาณ 40-50 นาที ซึ่งเรียกเสียงครวญจากผู้โดยสารได้ทั้งคันรถ
"ไหนบอกว่าจะจอดแค่ 30 นาทีไง" สาวต่างชาติที่นั่งเบาะหน้าประท้วง
"50 นาทีแล้วเราค่อยออกเดินทาง" คนขับรถตอบ
"ไม่ มีใครอยากลงไปกินข้าวตอนนี้หรอกน่า เราไปกันต่อเถอะได้โปรด" สาวต่างชาติยังคงประท้วงซึ่งผมแน่ใจว่าเป็นสิ่งที่หลายๆคนบนรถคิดอยู่ในขณะนั้น
คนขับรถดูจะไม่สนใจอะไร หรือไม่เข้าใจว่าสาวต่างชาติคนนั้นจะพูดว่าอะไร แต่เขาก็ดับเครื่องรถแล้วลงไปเลย ทิ้งให้ผู้โดยสารทั้งคันรถอยู่ในความมืด
ผมคิดว่านี่เป็นรูปแบบหนึ่งที่เราเองก็สามารถพบเห็นได้เวลานั่งรถทัวร์ที่ไทย คือทางคนขับรถเองอาจจะตกลงอะไรบางอย่างกับร้านค้าแล้วก็จะพาผู้โดยสารมาลงที่ร้านค้านั้น แล้วคนขับรถก็ได้ค่าตอบแทนกันไป ซึ่งผมจะไม่ว่าอะไรเลยถ้าไม่ใช่ว่าการเดินทางครั้งนี้ เลทไปร่วม 2 ชั่วโมง และยังต้องมาแวะพักที่ร้านอาหารนี้อีกเกือบชั่วโมงอีกด้วย
แต่ผมและนักท่องเที่ยวทั้งหมดก็ไม่มีทางเลือกมากนัก ระหว่างลงไปที่ร้านอาหารข้างล่างหรือนั่งอยู่ในรถทัวร์ร้อนๆที่ดับเครื่องมืดสนิท นักท่องเที่ยวหลายคนจึงลงมานั่งในร้านอาหาร บ้างก็สั่งข้าว แต่ส่วนมากนั่งกินเบียร์และจับกลุ่มสูบบุหรี่กันอยุ่ ร้านอาหารที่ว่านี้มีขนาดใหญ่ และในร้านนอกจากกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มากับรถบัสนี้แล้วมีเพียงกลุ่มคนท้องถิ่นนั่งกินอาหารแกล้มเบียร์อยู่เพียงโต๊ะเดียวเท่านั้น พนักงานต้อนรับ 4-5 ยืนจับกลุ่มรอให้บริการนักท่องเที่ยวซึ่งเท่าที่ผมสังเกตุมีเพียงนักท่องเที่ยวไม่กี่คนเท่านั้นที่สั่งอาหารมากิน นอกนั้น(รวมทั้งผม) แค่ไปเข้าห้องน้ำและนั่งตบยุงเล่นรอเวลารถออก
หลังจากผ่านไปเกือบชั่วโมง เราจึงได้ฤกษ์ออกเดินทางต่อเสียที ท่ามกลางถนนสายที่มืดสนิทมองออกไปเห็นท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่ดาว รถบัสวิ่งด้วยความเร็วไม่มากนัก แต่จังหวะเลี้ยวหลบหลุมบนท้องถนนทำให้รถบัสเกิดอาการเหวี่ยงแรงพอสมควร และท่ามกลางความมืดมิดที่อาศัยแสงไฟจากหน้ารถเพียงอย่างเดียว ทำให้จังหวะเบี่ยงหลบหลุมแต่ละหลุมนั้นกระชั้นมาก บางจังหวะก็เรียกเสียงกรี๊ดจากคนในรถได้เป็นระยะ นักท่องเที่ยวชาวยุโรปที่นั่งอยู่ด้านหลังเดินไปหาคนขับและพูดอะไรบางอย่างที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นการบอกให้เขาขับรถให้ช้าลงสัหน่อย ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่นักว่าคนขับรถจะเข้าใจที่เขาพูด
กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียด้านข้างผมเริ่มปรึกษากันว่าระยะทางอีกไกลไหมถึงจะถึงเสียมเรียบ บางคนในกลุ่มเสนอให้เดินกันไปจะปลอดภัยกว่า แต่ด้วยความที่ไม่รู้ว่าอีกไกลไหม และถามคนขับรถกี่รอบก็ไม่ได้คำตอบสักทีว่าอีกไกลเท่าไหร่จึงจะถึง เราจึงนั่งอยู่ในรถบัสมืดๆและฝากชะตากรรมไว้กับคนขับรถ ซึ่งหลังจากลุ้นกันอยู่พักใหญ่ๆ เราจึงเข้าสู่ตัวเมืองเสียมเรียบราวๆ 3 ทุ่ม
ถนนในตัวเมืองเสียมเรียบมีสภาพดีพอควร รถไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่นัก ผมมองเห็นรถสามล้อซึ่งเขาเรียกกันว่าตุ๊กๆเหมือนบ้านเรา แต่ที่ไม่เหมือนบ้านเราคือตุ๊กๆที่ว่านี้เป็นเพียงมอเตอร์ไซค์ธรรมดาพ่วงกับเก๋งด้านท้าย มีลักษณะเป็นที่นั่งคล้ายๆรถม้าลำปางบ้านเรา โดยเป็นที่นั่ง 2 ด้านเข้าหากันมีหลังคาคลุมไว้ รถบัสแล่นเข้าสู่ตัวเมืองเรื่อยๆก่อนจะเลี้ยวเข้าซอยที่มืดมิด (อีกแล้ว) และไปจอดในที่พักรถ ซึ่งผมเห็นคนมากมายยืนรออยู่ข้างล่าง และก็เป็นอย่างที่ผมคิดคือ คนพวกนี้คือคนขับรถตุ๊กๆนั่นเอง และที่เขารอก็คือรอผู้โดยสารที่มากับรถบัสคันนี้ นี่คงเป็นไฟท์บังคับที่ทางรถบัสได้วางแผนไว้แล้วตั้งแต่แรก ตั้งแต่ร้านอาหารไปจนถึงการจอดรถในที่ๆยากต่อการเรียกรถตุ๊กๆจากข้างนอก เรื่องนี้อาจไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่นักกับคนที่รู้ทางดี แต่สำหรับคนที่เพิ่งมาต่างเมืองครั้งแรกในสถานที่ๆไม่คุ้นเคยบวกับช่วงเวลากลางคืนด้วย ทำให้หลายคนรวมทั้งผมไม่มีทางเลือก ต้องจำใจใช้บริการตุ๊กๆพวกนี้
ผมบอกชื่อโรงแรม Mekong Angkor Palace Hotel ไปพร้อมกับยื่นแผนที่ที่ปรินท์มาเผื่อไว้ให้คนขับรถตุ๊กๆที่ชื่อ โบรา ดู โบราดูสักพักพลางคุยกับเพื่อนแล้วจึงสรุปราคาออกมาที่คนละ 100 บาทสำหรับระยะทางจากนี่ไปถึงโรงแรมราวๆ 8 กิโลเมตร ผมซึ่งอยู่ในสภาพเหนื่อยกับการเดินทางเต็มที่จึงตกลงจ้างโบราให้พาไปส่งที่โรงแรมที่ว่า โบราบอกผมว่าเขาชื่อโบราไม่ใช่โบแรท โบราพยายามชวนผมคุยแต่ด้วยเสียงลมและความเหนื่อยทำให้ผมไม่มีอารมณ์จะพูดเท่าไหร่นัก และชั่วเวลาไม่นานเราก็มาถึงโรงแรมที่ผมจองไว้ล่วงหน้าตั้งแต่อยู่ที่ไทย โบราพาผมนำเข้าไปในโรงแรมที่ไม่มีคนอยู่เลย แม้แต่พนักงานต้อนรับและสภาพโรงแรมก็ดูมืด ผมพยายามหาทางติดต่อรีเซปชั่นโรงแรม ข้างโบราเองก็ดีใจหาย เขาเดินเข้าไปข้างในช่วยหาพนักงานจนกระทั่งเจอพนักงานต้อนรับโรงแรมคนนึงจนได้ และผมถึงรู้ในตอนนั้นเองว่า ตอนนี้โรงแรมกำลังปิดซ่อมแซมอยู่
เอาล่ะสิ แล้วทีนี้จะทำยังไง ผมถามย้ำพนักงานต้อนรับอีกรอบว่าแปลว่าโรงแรมนี้ไม่เปิดบริการวันนี้ใข่ไหม ซึ่งได้รับคำยืนยันแน่นอนจากพนักงานแต่ยังดีที่ทางโรงแรมได้จัดการโอนผมไปยังโรมแรมอื่นในเครือเรียบร้อยแล้ว สนนราคาที่พักก็ราคาเดิมคือคืนละ 30$ และอยู่ห่างกันแค่ซอยถัดไปเท่านั้น ผมและโบราจึงพากันขอบคุณพนักงานคนนั้นที่มายืนส่งเราจนถึงหน้าโรงแรม และโบราก็พาผมไปยังโรมแรมใหม่ที่ชื่อ Bayan Leaf Hotel
โรงแรมนี้มีสระว่ายน้ำอยู่หน้าโรงแรม ทางเข้าดูสะอาด แม้จะเป็นโรงแรมไม่ใหญ่แต่สภาพโดยรวมแล้วไม่เลวเลยทีเดียว ผมเดินเข้าไปในโรงแรมพร้อมกับโบรา ผมหันไปถามโบราถึงค่ารถแต่โบราบอกให้ผมจัดการลงทะเบียนเข้าพักก่อนแล้วค่อยมาคุยกันถึงเรื่องวันรุ่งขึ้นด้วย พนักงานโรงแรมต้อนรับผมด้วยรอยยิ้มและหลังจากผมแจ้งเรื่องพร้อมกับยื่นใบจองให้ดู เพียงชั่วเวลาไม่นานผมก้ลงทะเบียนเข้าพักได้เรียบร้อย และผมถามโบราถึงค่ารถ โบราเสนอว่าเขาจะไม่คิดค่ารถวันนี้ แต่อยากให้เราเช่าเหมาเขาทั้งวันสำหรับวันพรุ่งนี้ ซึ่งผมคิดว่านี่ก็เป็นอีกหนึ่งสเตปที่นักท่องเที่ยวที่มาครั้งแรกต้องเจอ ผมบอกโบราว่าพรุ่งนี้ผมมีไกด์ที่จองไว้แล้ว สีหน้าของโบราดูผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด แต่เขาไม่มีทางเลือกอะไร ผมจึงจัดการจ่ายค่ารถให้เขาไปพร้อมกับอวยพรให้เขาโชคดี
ผมขึ้นห้องพักด้วยความเหนื่อยล้า สภาพห้องพักอยุ่ในระดับปานกลางแต่สะอาด บนเพดานมีพัดลมตัวใหญ่ซึ่งผมไม่รู้ว่าจะมีไว้ทำไมเพราะในห้องพักก็มีแอร์อยู่แล้ว หรืออาจจะเป็นของที่ติดมากับสมัยก่อนก็ได้มั้ง ผมจัดแจงอาบน้ำและเริ่มนอนพักด้วยความเหน็ดเหนื่อย และหลังจากนั้นไม่นานผมก็รู้ว่าพัดลมที่ห้องพักนี้มีไว้เพื่ออะไร
ก็เพราะแอร์มันไม่เย็นน่ะสิ
Labels:
stories
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment