คุณเคยได้ยินเสียงตัวเองเวลาอ่านหนังสือไหม
ผมไม่ได้หมายถึงการที่คุณอ่านออกเสียงออกมาดังๆนะ
แต่หมายถึง เวลาที่คุณอ่านหนังสือเงียบๆ คุณได้ยินเสียงในหัวของคุณไหม
เวลาอ่านหนังสือ ผมมักจะได้ยินเสียงในหัวที่กำลังอ่านหนังสือให้ผมฟัง
เสียงข้างในที่ว่านั้นปรับเปลี่ยนเสียงได้หลากหลาย อาจจะเป็นเสียงของคุณเอง
เสียงคนแก่ เสียงผู้หญิง เสียงผุ้ชาย เสียงเด็ก หรือเสียงหมาแมว
เสียงในหัวเปลี่ยนไปตามลักษณะของตัวละครในเรื่องที่ผมอ่าน หรือตามแต่เนื้อหาที่อ่าน
ถ้าผมอ่านหนังสือบทความสารคดี เสียงที่ว่าจะเรียบนิ่งแต่น่าฟัง
ถ้าผมอ่านข่าวในหนังสือพิมพ์ เสียงจะเหมือนผู้ประกาศข่าวตามสถานีโทรทัศน์
ผมพบว่าเสียงข้างในนั้นขึ้นกับความคุ้นเคยอีกด้วย
ถ้าบทความนั้นเป็นบทสัมภาษณ์ และผมเคยได้ยินเสียงของผู้ถูกสัมภาษณ์อยู่บ้าง
ผมจะอ่านเป็นเสียงของผู้ถูกสัมภาษณ์คนนั้น ทั้งบุคลิกและน้ำเสียงถูกจำลองขึ้นมาในหัวของผม
เหมือนถ้าผมนึกถึงมอร์แกน ฟรีแมน ทั้งหน้าตาและเสียงของเขาก็จะเข้ามาอยุ่ในประโยคที่ผมอ่านทันที
ในอีกทางหนึ่ง ถ้าผมจำประโยคที่คนๆหนึ่งพูดขึ้นมาได้
ผมก็จะอ่านประโยคนั้นด้วยเสียงของคนๆนั้นเสมอ
ยกตัวอย่างเช่น "You shall not pass"
คุณอ่านประโยคข้างบนด้วยเสียงอะไร เสียงข้างในหัวของคุณเป็นเสียงแบบไหน
ถ้าเป็นเสียงของคุณเอง หรือเสียงทั่วๆไป ประโยคนี้จะเป็นเพียงประโยคภาษาอังกฤษธรรมดาเท่านั้น
แต่ถ้าคุณอ่านเสียงนั้นด้วยเสียงของพ่อมดเทาแกนดาล์ฟ
นั่นแปลว่าคุณคือแฟนลอร์ด ออฟ เดอะ ริง หรือคุณเคยดูหนังแล้วจำประโยคที่ว่านี้ได้แม่น
เสียงที่ออกมาจะเป็นเสียงที่ทรงพลัง เปี่ยมอำนาจ ถึงขนาดบัลร๊อคยังถูกตรึงอยู่กับที่
ทำให้ผมคิดว่า เสียงในหัวเป็นการเพิ่มอรรถรสในการอ่านอย่างหนึ่ง
ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่มีทั้งบุคลิกและเสียงเป็นเอกลักษณ์
เพื่อนผมคนนั้นชื่อ เม้ง ตอนนี้เม้งเป็นครีเอทีฟที่เอเจนซี่โฆษณาแห่งหนึ่ง
เม้งเป็นเพื่อนกับกิ๊บ (กิ๊บที่โดนซูซี่ไล่ออกจากบ้าน) ทั้ง 2 คนนี้ทำงานอยู่ด้วยกัน
เวลาที่ 2 คนนี้อยู่ด้วยกันเมื่อไหร่ ฟาร์มหมาแถวนั้นปิดกิจการได้เลย
เพราะหมาที่ออกมาจากปากของทั้งคู่นั้น ทั้งแข็งแรง สุขภาพดี ที่สำคัญคือเห่าเก่ง
แต่ถึงแม้จะปากหมานรกแบบนี้ เม้งก็เป็นคนจิตใจดี คิดดี และรักเพื่อน
ในกลุ่มเพื่อนฝุงนั้น แม้บางครั้งจะหยาบโลนกันแต่ก็เนื้อแท้แล้วทุกคนให้ความเคารพกัน
หลายครั้งเม้งชอบพูดจาโผงผาง แต่ผมก็ไม่ว่าอะไรเพราะรู้ว่าเม้งคิดดี
บางครั้งผมก็อดรำคาญไม่ได้ หลายครั้งผมเอาหูทวนลม บางครั้งผมอยากเอาส้อมจิ้มตามัน
แต่ทุกครั้งผมก็ฟังสิ่งที่เม้งพูด เพราะเนื้อแท้นั้นเป็นสิ่งที่น่าฟัง
เสียงของเม้งนั้นนุ่ม ออกแนวโทนต่ำๆ ฟังดูอบอุ่น มีเอกลักษณ์และเม้งชอบทำเสียงหล่อ
เวลามีงานเม้งมักจะได้รับบทพิธีกร หรือบางงานโฆษณาก็ใช้เสียงของเม้งเองในงานก็มี
สาวคนไหนได้ฟังอาจเคลิ้มตามไปโดยไม่รู้ตัว แม้ขณะนั้นเม้งกำลังด่าพ่อเธออยู่ก็ตาม
เม้งเป็นคนคิดดี ทำดี และเมื่อคิดดีแล้ว เม้งจึงลองธรรมดี
เม้งบวชอยู่ที่วัดป่าสวนโมกข์ ในช่วงที่ผมยังอยู่ที่อเมริกา
ผมก็ได้แต่อโหสิกรรมให้เม้งไป แล้ววันนึงพระเม้งก็ whatsapp มาหาผม
ผมจำไม่ได้ว่าเราคุยกันเรื่องอะไร แต่ผมตอบพระเม้งไปว่า
"ไอ้ห่า"
"เฮ้ย ด่าพระ" พระเม้งบอกผม
"ด่าพระบาปมั๊ย" ผมถามด้วยความไม่รู้
"ถ้าคิดว่าบาปก็บาป ถ้าคิดว่าไม่บาปก็ไม่บาป" พระเม้งตอบ
"งั้นกูคิดว่าไม่บาป ห่านน" ผมตอบพระเม้งด้วยใจบริสุทธิ์
หลังจากกลับเข้าทางโลก เม้งยังพูดจาเหมือนเดิม
แต่เรื่องนึงที่เห็นได้ชัดคือ มีเรื่องธรรมะแทรกเข้ามา
ธรรมะที่ว่าไม่เหมือนกับการฟังพระเทศน์ หรืออ่านบทเรียนพุทธศาสนา
ธรรมะที่เม้งเล่าคือการอธิบายเหตุและผลของสิ่งต่างๆ
ผมเชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง ตามประสาของคนขี้สงสัย
เม้งไม่บอกให้ผมเชื่อ เม้งบอกให้ผมลอง
ผมเจอเม้งเขียนคอลัมน์ลงในนิตยสารยอดนิยมเล่มหนึ่ง
ซึ่งนับว่าเป็นความบังเอิญ เพราะผมไปยืนอ่านนิตยสารหัวนี้มาตลอดในร้านหนังสือ
การที่มาเจอเม้งเขียนอยู่ สร้างความประหลาดใจแก่ผมเหมือนกัน
เหมือนเดินๆอยู่ แล้วหันไปเจอเพื่อนยืนพูดอยู่บนเวที
เป็นความรู้สึกภูมิใจเล็กๆ อารมณ์อยากสะกิดคนข้างๆว่า "นั่นเพื่อนผมๆ"
คอลัมน์ที่เม้งเขียนเป็นหัวข้อเกี่ยวกับธรรมมะ
เนื้อหาที่เม้งเขียนเป็นเรื่องธรรมมะในมุมมองใกล้ตัว
ผมอ่านเรื่องที่เม้งเขียนในอีกความรู้สึกหนึ่ง
ความรู้สึกนั้นเหมือนเม้งกำลังยืนพูดให้คนหลายคนฟังอยุ่
ผมยืนอ่านไปพลางผมรู้สึกเหมือนเม้งมายืนพูดให้ฟังอยู่ข้างๆ
เสียงของเม้งทุ้ม นุ่มกังวาล เหมือนเดิม
เม้งพูดดังขึ้น ดังขึ้น และดังขึ้น
จนผมรำคาญ ผมเลยวางนิตยสารเล่มนั้นลงแล้วเลิกอ่าน
ปล. คอลัมน์ที่เม้งเขียนชื่อ "ย้ำคิด ย้ำธรรม" ลงในนิตยสาร aday
No comments:
Post a Comment