ตอนที่ร้านหนังสือ Border ล้มละลายและต้องขายทุกอย่างทั้งหนังสือและเฟอร์นิเจอร์นั้น
ผมเองก็แวะเวียนไปแทบทุกวัน ไปเดินเล่นบ้าง ไปซื้อหนังสือบางเล่มบ้าง และไปซื้อเฟอร์นิเจอร์บางอย่างบ้าง
ใจจริงนั้น ผมอยากได้ชั้นหนังสือแบบที่ใช้กันในร้าน แต่ติดที่ขนาดและความหนักเกินจะขนไหว
จึงต้องล้มเลิกความคิดนั้น มิหนำซ้ำห้องที่อยู่ก็ไม่น่าจะมีที่พอด้วย
ผมจึงล้มเลิกความคิดที่นั้นเสีย แต่แล้วผมก้ต้องมาเตะตากับอะไรบางอย่าง
ไอ้อะไรบางอย่างที่ว่าก็คือ กระจกโค้งนูนนั่นเอง
มันเป็นกระจกโค้งนูนแบบที่คุณสามารถพบเห็นได้ตามหัวมุมถนน หรือตามมุมอับของร้านขายของน่ะ
ผมจึงเกิดความคิดขึ้นมาใหม่ว่า ไอ้กระจกนี้มันก็ดูน่าสนใจนะ น่าจะเอาไปเล่นอะไรได้บ้าง
ก็เลยซื้อมันมา
พอซื้อมาผมก็ได้พบกับมุมที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
อย่างเช่นมุมนี้ ที่สามารถเห็นห้องของผมทั้งห้องได้ทั่วโดยไม่ต้องเอี้ยวคอ
จากนั้นจึงเริ่มเอาเป็นเล่นตามที่ต่างๆ เช่นบ้านเพื่อน
ทดลองมุมใหม่ๆ ที่ไม่เคยเห็น
เผื่อบางทีมันจะน่าสนใจ
พอเห็นว่า เออมันก็ดูน่าสนใจและสนุกดี
ผมก็เลยหิ้วไอ้เจ้ากระจกโค้งที่ว่านี่ไปตามสถานที่ต่างๆข้างนอก
ซึ่งมันก็หนักอยุ่พอควร และด้วยขนาดที่ใหญ่ประมาณโล่ห์ชิริว
ทำให้เวลาผมแบกเจ้ากระจกนี้ไปไหนมาไหน ก็มักจะมีคนมองด้วยความสนใจ (ว่ามันจะแบกไปทำไม) อยู่เสมอ
บางคนถึงกับเข้ามาขอถ่ายรูปกระจกนี้ด้วยก็มี
หัวใจที่อยู่ด้านหลังจะอยู่ตามมุมของ Union square ซึ่งจะมีศิลปินมาเพ้นท์ลายใหม่เรื่อยๆ
บางทีก็ต้องวางซะบ้าง
บางวันก็ชวนเพื่อนมาร่วมสนุก ในภาพคือโบสถ์ Grace Cathedral
บางครั้งเพื่อนก็จำใจยอมมาเล่นสนุก
สนามเด็กเล่นที่ Huntington park
กับ Banksy ที่ China town
ซึ่งตอนนั้นก็เห่อเป็นพักๆ เพราะว่ากระจกที่ว่านี้มันหนักมาก
จะให้แบกไปทุกสุดสัปดาห์ก็คงไม่ไหว เลยหาตัวช่วยอื่น
ซึ่งก็คือกระจกโค้งที่เขาใช้กันอยู่จริงๆนั่นเอง
ตอนนั้นไม่รู้เป็นอะไร ถ้าเจอเจ้ากระจกโค้งที่ว่านี้ที่ไหน
เป้นต้องถ่ายให้หมด
ในภาพน่าจะเป็น สถานี BART ที่ถนน New Montgomery
จนตอนผมเริ่มแพคของกลับบ้าน ตอนแรกนั้นคิดว่าจะเอากระจกนี้กลับไปด้วย แม้ไม่รู้ว่าจะเอากลับไปทำไม
แต่พอคนขนของซึ่งเป็นคุณลุง (ผมให้เขามารับของที่อพาทเมนต์) มาเห็นกระจกนี้
ผมเห็นแววตาเป็นประกายของเขา ราวกับเขาเสาะหากระจกนี้มานานแล้ว
แกมองแล้วมองอีก จนในที่สุดแกก็เอ่ยปากถามผมว่า ผมเอามาจากไหน
ผมตอบเขาไปว่า ผมซื้อมาจากร้าน Border ตอนเขาเลหลัง
แกเลยบอกผมว่า นี่นะ แกน่ะ หามานานแล้ว แต่ราคามันสูงอยุ่ เลยตัดสินใจไม่ได้สักที
ผมได้ฟังแล้วก็เริ่มคิดว่า เออ กระจกโค้งนี้มันก็ไม่ใช่หาได้ง่ายๆเหมือนกันนะ
แล้วผมก็คิดว่าผมสนุกกับกระจกนี้มาพอแล้ว เราตะลอนไปด้วยกัน สนุกด้วยกัน
ผมอยากเขวี้ยงทิ้งเพราะมันหนักอยู่ก็หลายครั้ง แต่ก็อดเสียดายไม่ได้
และตอนนี้เหมือนเวลามันประจวบเหมาะ
ผมจึงอยากให้มันได้กลับไปทำหน้าที่ของกระจกโค้งเหมือนเดิมจะดีกว่า
ผมเลยไม่ลังเลใจที่จะให้กระจกแก่คุณลุงนี้ทันที โดยไม่คิดเงินเสียด้วย
(จริงๆแกบอกว่าจะจ่ายให้ แต่แกคงลืม ผมก็ขี้เกียจทวง ก็เลยตามเลยละกัน)
No comments:
Post a Comment