Monday, November 10, 2014
ชั่วโมงเรียนที่ 1
ครั้งหน้าจะเป็นครั้งสุดท้ายของเทอมนี้ที่ไปสอนที่มหาวิทยาลัย
ซึ่งถ้าจะว่าไป เทอมนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ไปสอนแบบจริงๆจังและเป็นทางการ
ผมจำไม่ได้ว่าไปตกปากรับคำตอนไหน
อารมณ์คงนึกว่าคุยเล่นๆและทิ้งเรื่องไว้นานจนลืม
จนวันนึงก็มีโทรศัพท์ทางไกลมาคุยเรื่องการสอน
อารมณ์ตอนนั้นมึนงงผสมล่ก
มึนงงเพราะจำไม่ได้ว่าคุยเรื่องการสอนตั้งแต่เมื่อไหร่
ล่กเพราะเกิดอาการไม่มั่นใจว่าจะสอนได้
อย่างไรก็แล้วแต่ผมก็ตกปากรับคำไปสอนจนได้
หลังจากรับทราบข้อมูลรายละเอียดเรื่องการเดินทาง
ที่ทางนั้นจะออกค่าใช้จ่ายให้ และจะมีรถมารับจากสนามบินทั้งไปและกลับ
ทำให้ผมหมดกังวลเรื่องการเดินทาง และตารางเวลา
ผมก็จะขึ้นเครื่องบินในวันอาทิตย์ เว้นอาทิตย์ และเว้นอีกหลายๆอาทิตย์
ก่อนจะกลับมาอาทิตย์เว้นอาทิตย์อีกที (มีพี่ท้อปไปสอนสลับกัน)
สาเหตุหลักที่ตัดสินใจไปสอนนั้น เรื่องเงินดูจะเป็นสาเหตุท้ายๆ
ความเบื่อที่สะสมมา ดูจะเป็นเหตุผลหลักในการตัดสินใจครั้งนี้
หากจะให้ชี้ชัดสาเหตุของความเบื่อ มันก็ดูจะเปะปะไปหมด
เบื่องาน เบื่ออากาศ เบื่อฝุ่นละออง เบื่ออะไรก็ไม่รู้ จนถึงขั้นอาจจะเบื่อชีวิต
เจ้าความเบื่อที่คืบคลานเข้ามาอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียง
ก่อนจะรัวหมัดไม่ยั้ง ถาโถมอย่างกับพายุเข้าใส่
ผมไม่ทันที่จะตั้งตัวใดๆทั้งสิ้นแม้แต่ตั้งรับ
ได้แต่ปัดป้องอย่างสะเปะสะปะอย่างไร้จุดหมาย
กรรมการข้างเวทีรัวนิ้วนับแต้มต่ออย่างเมามันส์
ผีพนันข้างที่ถือมวยรองพยายามส่งเสียงเชียร์ให้ผมลุกขึ้น
และจวนเจียนที่ผมจะยอมพ่ายแพ้อยู่รอมร่อ
ระฆังที่แขวนไว้ข้างเวทีก็ทำงานด้วยเสียงดังฟังชัด
"อาจารย์สนใจที่จะไปสอนที่ ม.... เทอมนี้ไหมครับ"
ผม(ยัง)ไม่ใช่อาจารย์ และ ไม่คิดว่าจะมีความสามารถพอด้วย
การที่จู่ๆมีคนมาเรียกแทนตัวเองว่าอาจารย์จึงรู้สึกแปลกๆ
แต่เมื่อมีตัวช่วยมา ก็คว้าไว้อย่างไม่ลังเล
ด้วยหวังว่าอย่างน้อยจะได้หลุดจากสภาพตอนนี้ไปก่อน
แม้จะเป็นแค่ชั่วคราวก็ตาม
ด้วยเหตุที่ว่ามา ผมก็ได้มาเป็นอาจารย์พิเศษอย่างเป็นทางการในเทอมนี้
แม้หัวข้อที่ได้รับมอบหมายให้มาสอน จะไม่ใช่หัวข้อถนัด
เรียกได้ว่าพอถูไถ และอาศัยความคุ้นชินในการทำงานมากกว่า
ดังนั้นการจะมาสอนแบบมีหลักการ จึงเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังพอควร
การชี้ทางผิดๆ หรือมั่วๆไปนั้น ดูจะไม่ใช่ทางถนัดของผมเท่าไหร่
แต่หากเป็นการลองเดิน จะผิดจะถูกแล้วค่อยแก้ไขนั้นยังพอว่า
เมื่อสถานการณ์บีบบังคับมาเช่นนี้ ผมจึงไม่มีทางเลือก
นอกจากการซื้อหนังสือมานั่งอ่าน
เจ้าหนังสือที่ว่าคือ text book สมัยที่ผมเรียนอยู่ที่อเมริกานี่เอง
ซึ่งจำได้ว่าหนังสือเล่มนั้นแต่งโดยอาจารย์ที่ผมเรียนด้วย
และเป็นคนที่ได้รับการยอมรับในวงการอย่างมาก
เมื่อผมเรียนจบ ผมจึงส่งต่อหนังสือที่ว่านี้ให้กับรุ่นน้องไว้ใช้ศึกษาต่อ
มาตอนนี้ ตอนที่ผมต้องการใช้หนังสือที่ผมไม่มีอยู่
ทางเลือกสุดท้ายคงเป็นการซื้อหนังสือเล่มใหม่
ด้วยเวลาที่กระชั้นชิด ผมจึงสั่งหนังสือชนิดสื่ออิเลกทรอนิกมาแทน
แม้ผมจะชอบจับหนังสือแบบตัวเป็นๆมากกว่า แต่เวลาเช่นนี้แล้ว
ความรวดเร็วดูจะเป็นสิ่งสำคัญกว่าอารมณ์
ผมสั่งซื้อ(ไฟล์)หนังสือเล่มนี้ในราคาไม่ต่างจากหนังสือจริงๆเท่าไหร่
จะเป็นข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ที่จับต้องไม่ได้ หรือกระดาษที่ทำจากต้นไม้ซึ่งจับต้องได้
ราคาที่แท้จริงของทั้งสองอย่างนี้เหมือนกันคือ ราคาของความรู้ที่ได้รับการบันทึกอยู่ข้างใน
ในคืนก่อนการเรียนการสอนของ(ว่าที่)อาจารย์ครั้งแรก
ผมจึงทำการบ้านด้วยการทบทวนบทเรียน และเตรียมเรื่องที่จะพูดอยู่นาน
ด้วยหวังว่า ผมควรจะเกริ่นนำให้เห็นความน่าสนใจในเนื้อหาที่จะเรียน
มากกว่าการที่จะยัดข้อมูลล้วนๆ ให้กับนักเรียนซึ่งบางเรื่องอาจจะไม่มีความจำเป็นเท่าไหร่นัก
ผมตัดทอนหัวข้อบางส่วนที่ไม่จำเป็นออกไป แต่ก็ไม่ลืมที่จะเพิ่มบางส่วนขึ้นมาทดแทน
เมื่อเตรียมเนื้อหาเหล่านั้นจนพอใจแล้ว
ผมจึงซักซ้อมการพูดหน้าชั้น และซ้อมจนเป็นที่พอใจว่าจะพูดได้ไหลลื่น
ผมกะคร่าวๆไว้ว่า จะพูดเนื้อหาประมาณชั่วโมงหนึ่ง
อาจจะเพิ่มเป็นสองชั่วโมงถ้าผมยังพูดไม่จบ หรือยังมีเวลาเหลือพอ
จากนั้นจึงเริ่มทำแบบฝึกหัดในห้องด้วยกัน
ใครมีปัญหาอะไรก็สามารถซักถามได้ตลอดเวลา
วิธีเรียนด้วยข้อผิดพลาดจากการทำงาน เป็นไอเดียหลักในการสอนของผมครั้งนี้
และในที่สุดวันแรกแห่งการเรียนการสอนของผมก็มาถึง
ผมจับเครื่องบินที่สนามบินดอนเมืองแต่เช้าตรู่
จากนั้นจึงขึ้นรถรับส่งของทางมหาวิทยาลัยจากสนามบินประจำจังหวัด
ผมไปถึงอาคารเรียนอย่างไม่มีปัญหา
เนื้อหาที่ผมเตรียมมาได้รับการถ่ายทอดไปอย่างครบถ้วนและลื่นไหล
ปัญหาอย่างเดียวที่ผมเจอคือ ไอ้เรื่องที่เตรียมไว้ว่าจะพูดในเวลาชั่วโมงนึงเนี่ยน่ะสิ
ผมดันพูดหมดไปแล้วตั้งแต่ 15 นาทีแรกของวัน
แล้วจะพูดอะไรต่อดีนะ...
Labels:
stories
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment