นั่งเปิดอัลบั้มรูปไปมา เจอรูปร้านซักผ้าแทรกแซงอยู่ตามอัลบั้มต่างๆ
โดยแต่ละรูปก็ต่างโอกาส และต่างเวลากัน
อาจจะเป็นเพราะหลงใหลกลิ่นสบู่และน้ำยาปรับผ้านุ่ม
หรืออาจจะเป็นเพราะกว่าครึ่งของชีวิตต่างแดน
ผมต้องไปร้านซักรีดเป็นประจำทุกๆ 2 อาทิตย์
Friday, November 28, 2014
Wednesday, November 26, 2014
สะพานโกลเด้นเกท
พูดถึงซานฟรานซิสโก เชื่อว่าหลายคนคงนึกภาพสะพานโกลเด้นเกท ขึ้นมาทันที
ตัวสะพานแขวนขนาดใหญ่สีแดงหม่นๆ นับเป็นสะพานแขวนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก
และด้วยความพิเศษที่ว่า ทำให้สะพานโกลเด้นเกท ได้รับการขนานนามเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่
แต่รู้หรือไม่ว่า นอกจากมีชื่อเสียงจากการเป็นสะพานแขวนขนาดยาวที่สุดแล้ว
สะพานโกลเด้นเกท ยังมีชื่อเสียงอีกด้านหนึ่งที่ดังไม่แพ้กันเลยก็คือ
เป็นสถานที่ฆ่าตัวตายยอดนิยมอันดับ 2 ของโลก (อันดับหนึ่งคือป่ารอบๆภูเขาไฟฟูจิ)
การฆ่าตัวตายนั้นก็ด้วยวิธีง่ายๆคือ การกระโดดลงไป
ซึ่งมีทั้งที่รอดและไม่รอด และด้วยชื่อเสียงด้านนี้ทำให้มีสารคดีเรื่องนึงออกมาก
สารคดีนั้นชื่อ The Bridge
ตัวสารคดีมีภาพคนโดดลงมาจากสะพานทั้งตั้งใจถ่าย และบังเอิญติดมาก็มี
ขนาดที่ว่าจะตั้งกล้องถ่ายสะพานเฉยๆ ยังมีคนกระโดดลงมาให้เห็น
สารคดีนั้นสัมภาษณ์คนที่รอดตายจากการโดด และเรื่องราวชีวิตหลังจากนั้น
บางคนรู้ซึ้งถึงคุณค่าของชีวิต และบางคนก็รอดตายเพียงเพื่อจะไปกระโดดใหม่อีกรอบหนึ่ง
ช่วงที่ผมอยู่ที่นั่นก็มีข่าวเรื่องนี้บ้างประปราย แต่ครั้งหนึ่งที่เป็นข่าวใหญ่ก็คือ
มีเด็กมัธยมไปทัศนศึกษา และได้คุยเล่นกับเพื่อนว่า เขาสามารถโดดลงมาจากสะพานได้โดยไม่เป็นอะไร
แน่นอนว่า เพื่อน(และคนอื่นๆ) ก็ไม่น่าจะเชื่อ จึงเกิดการท้ากันขึ้น
และเด็กคนนั้นก็โดดลงมาจริงๆ โดยที่ไม่เป็นอะไรเลย
ก่อนที่จะกลับไปโดดใหม่อีกรอบ แต่มีคนห้ามทัน
Monday, November 24, 2014
รอยขีดข่วนบนกระจก
แม้จะนั่งเครื่องบินไม่ถึงขั้นเรียกว่าบ่อย
แต่ในการนั่งแต่ละครั้งผมก็มักจะสังเกตเห็นเจ้ารอยที่ว่านี้เสมอ
รอยที่ว่าคือรอยขีดข่วนบนกระจก (เขียนซ้ำทำไม)
ตัวกระจกเองมีชั้นใน และชั้นนอก
ตัวชั้นในคือกระจกส่วนที่อยู่ข้างในตัวเครื่องบิน
ไอ้อันที่เราสามารถเลื่อนปิดได้นั่นล่ะ
จากนั้นจะมีช่องว่างอีกนิดหนึ่งและจึงเป็นกระจกชั้นนอก
กระจกชั้นในนั้น ผมไม่แน่ใจว่ามันทำมาจากกระจกจริงหรือเปล่า
เท่าที่ลองเคาะ ขูด ลูบ ดู มันค่อนไปทางแผ่นอครีลิคซะมากกว่า
แต่เรื่องนั้นก็ช่างมันก่อนละกัน ที่ผมสนใจคือเจ้ารอยขีดข่วนที่ว่านี่
รอยนี้มีลักษณะเหมือนรอยเอาของมีคมขีดกับกระจกรัวๆ
โดยจะเกิดรอยอยู่เฉพาะตรงช่วงกลางของกระจก
รอบข้างก็มีบ้างแต่ไม่เยอะเท่าตรงกลาง
ดูแล้วก็นึกไม่ออกว่ารอยที่ว่านี้มันมาจากไหน เท่าที่บินระหว่างทางก็ปกติดี
บางทีมันอาจจะเกิดจากการบินผ่านฝูงลูกเห็บ เศษน้ำแข็ง อะไรก็ว่าไป
หรือบางทีก็อาจจะโดนตัวอะไรสักอย่างข่วน...บนฟ้า
Tuesday, November 18, 2014
ชั่วโมงเรียนที่ 2
หลังจากหมดเลคเชอร์ในช่วงเช้าซึ่งกินเวลาสั้นมาก (กว่าที่คิด)
ผมก็เริ่มการสอนในช่วงบ่าย ซึ่งผมได้แบ่งวิธีการสอนไว้ว่าจะเลคเชอร์ตอนเช้า
แล้วทำเดโม่ในช่วงบ่าย วิธีนี้ผมจำมาจากสมัยเรียนปริญญาโทที่อเมริกา
เพราะในสายงานที่เรียนนั้น จัดอยุ่ในหมวดสกิล ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการฝึกฝนเป็นหลัก
การให้ทำงานไปพร้อมกันช่วงแรก เป็นการอธิบายและแนะนำเทคนิกและขั้นตอนการทำงานบางอย่าง
ต่อมาในครึ่งหลังผมจะปล่อยให้นักศึกษาทำชิ้นงานของตัวเอง โดยผมจะคอยเดินวนเวียนอยู่ในห้อง
หากใครมีปัญหาหรือสงสัยอะไร ผมก็จะเดินไปดูทีละโต๊ะ ซึ่งทำให้พบว่านักศึกษาหลายคน
ก็มีอาการอยากรู้แต่ไม่อยากถาม และถ้าไม่เดินไปใกล้ๆก็จะเก็บไอ้ความสงสัยนั้นไว้เงียบๆ
ในวันนั้นผมให้ทุกคนทำโมเดลกล่องด้วย simple cube แล้วเพนท์ลายบนกล่องให้เป็นกล่องไม้
งานชิ้นนี้เป้าหมายคือผมอยากดูฝีมือการเพนท์ของนักศึกษาก่อน เพราะวิชาที่สอนนี้เราจะใช้การเพนท์เป็นส่วนหลักส่วนนึง
หลังจากผมแนะนำและสาธิตการเพนท์กล่องให้ดูส่วนหนึ่ง ผมก็ปล่อยให้ทุกคนทำกล่องเองตามใจชอบ
แต่มีข้อแม้ว่า จะเพนท์อะไรก็ได้ กล่องเหล็ก กล่องไม้ แต่ต้องเพนท์ให้ผมเชื่อว่ามันเป็นสิ่งนั้น
นักศึกษาหลายคนอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ บางส่วนอยู่ขั้นกลางๆ และบางส่วนอยุ่ในขั้นเริ่มต้น
ซึ่งฝีมือไม่ใช่ประเด็นหลักที่ผมจะมองในงานชิ้นนี้ ผมอยากดูความเข้าใจโดยรวมมากกว่า
หลายคนเพนท์ตามแบบที่ผมทำ และหลายคนเพนท์ในอย่างที่เขาอยากทำซึ่งเป็นเรื่องดีที่ลองทำแบบที่ไม่ได้บอกดูบ้างก็ได้
ผมเดินไปดูงานนักศึกษาคนหนึ่ง ซึ่งเป็นกล่องที่ดูแตกต่างจากงานคนอื่น
ที่สำคัญคือนักศึกษาคนนั้นดูจะภูมิใจกับงานของตนเองมาก ผมจึงลองให้นักศึกษาคนนั้นเล่างานให้ผมฟัง
"คืองี้ครับอาจารย์ กล่องนี้เป็นกล่องเหล็กซึ่งใช้หินอ่อนและไม้ผสมและ..."
ผมยืนฟังนักศึกษาคนนั้นพูดจนจบ แต่ผมเองไม่สามารถเห็นในสิ่งที่เขาอยากให้ผมเห็นได้
ผมจึงแย้งนักศึกษาคนนั้นว่า ไอ้นี่น่ะมันใช่หรอ เหล็กบ้านคุณมันมีลักษณะแบบนี้หรอ
แล้วไม้นี่มันดูไม่มีความหนาเลยนะ แล้วคุณเพนท์แบบนี้เนี่ยถ้ามีไม้มาพาดเกยๆกัน
กล่องมันจะเอียงนะ แต่เหนือสิ่งอื่นใดนะ ผมไม่เชื่อไอ้ที่คุณบอกมาเลยสักนิดเดียว
มันดูไม่เป็นเหล็ก เป็นไม้ หรือเป็นอะไรก็ตามที่คุณบอกผมเลยสักอย่าง
นักศึกษาคนนั้นตอบผมว่า
"จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ครับอาจารย์"
นั่นสิ จินตนาการมันสำคัญกว่าความรู้สินะ และนั่นทำให้ผมนึกถึงเรื่องสมัยเรียนเรื่องหนึ่ง
สมัยที่ผมยังเป็นนิสิตอยู่นั้นมีอาจารย์ท่านหนึ่งเป็นที่กล่าวขวัญกันในหมู่นิสิตเสมอ
ด้วยวิธีการสอนที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้เหล่าวัยฮอโมนส์พลุ่งพล่านในคราบนิสิต
มักจะเกิดการต่อต้านภายในจิตใจกันลึกๆอยู่เสมอ ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
แต่น่าประหลาดที่ว่า จวบจนเรียนจบจนถึงชั่วขณะนี้ ผมยังไม่ลืมคำพูดคำนึงของอาจารย์
คำที่ต่อมาภายหลังกว่าผมจะเข้าใจก็เข้าสู่วัยทำงานเสียแล้ว เรื่องมันมีอยู่ว่า
ตอนนั้นเป็นวิชาออกแบบลายผ้า ซึ่งแน่นอนว่าโปรเจคที่ต้องส่งคงไม่พ้นการออกแบบลายผ้านั่นเอง
ในตอนนั้นผมเลือกทำปลอกหมอนด้วยวิธีการเขียนเทียน ซึ่งวิธีการเขียนเทียนที่ว่าเราจะใช้ปากกาเขียนเทียน
โดยมีลักษณะเป็นแท่งไม้ขนาดประมาณหนากว่าดินสอนิดหน่อย แล้วตรงปลายจะเป็นกระเปาะทองแดง
สำหรับไว้เทเทียนร้อนๆ แล้วเทียนจะไหลออกมาที่ปลายกระเปาะซึ่งมีรูขนาดเล็ก เวลาเขียนก็เขียนเหมือนการวาดรูปทั่วไป
เทียนที่แห้งจะแข็งตัว แล้วเราก็เอาไปชุบสีย้อม ถ้าให้เทียบกับ Photoshop ก็คือการ Mask layer นั่นล่ะ
ผมเลือกวิธีที่ว่านี้ไม่ใช่เพราะชื่นชอบการเขียนลาย แต่เลือกเพราะดูเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดด้วยความขี้เกียจ
และลวดลายที่ผมจะออกแบบนั้นคือลายสำหรับปลอกหมอน ที่เลือกทำปลอกหมอนเพราะมันมีขนาดเล็ก
และผมก็มีหมอนอยู่ ก็เลยคิดว่าทำมาใช้เองก็คงจะดีเอาสะดวกเข้าว่า
แล้วผมก็เริ่มออกแบบลาย ลวดลายที่ว่าออกมาจากจินตนาการล้วนๆ ตามที่ความสามารถในขณะนั้นจะมีอยู่
ผมวาดด้วยความอิสระ ในหัวไม่คิดอะไร ปล่อยให้เทียนไหลไป
ผลที่ออกมาสำหรับผมในตอนนั้น คิดว่าพึงพอใจพอสมควร
แล้วก็ถึงวันส่งงาน
ผมและเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกหลายคนยืนรายล้อมกันอยู่ในห้อง
อาจารย์เดินดูงานด้วยความรวดเร็ว และให้คำแนะนำงานของแต่ละคนเบาๆ
เมื่อถึงคราวผม อาจารย์ก็เหลือบมองก่อนจะพูดว่า
"ฉันจะบอกแกให้นะ ถ้าแกมัวแต่ใช้ของที่อยู่ข้างในของแก สักวันนึงมันจะหมดไป"
ผมในตอนนั้นแม้จะรับคำ แต่ก็เกิดอาการต่อต้านในใจ
หมด อะไรจะหมด มันจะหมดได้ยังไง จินตนาการเป็นสิ่งที่ไม่มีวันหมด(โว้ย)
พลังวัยรุ่นในตอนนั้นบวกกับอคติที่เจือปน ทำให้ผมไม่เข้าใจในความหมายนั้น
จนกระทั่งเข้าสู่วัยทำงาน ผมจึงเริ่มที่จะเข้าใจความหมายของคำพูดในตอนนั้น
วันที่ผมคิดอะไรไม่ออก ไอเดียตีบตัน
จินตนการที่เคยใช้อย่างฟุ่มเฟือยก็ดูซ้ำซากกันไปหมด
ผมจึงเริ่มดูหนังสือ Artbook ตำราต่างๆ หรือแม้แต่หาข้อมูลจากเวบทั่วไป
ความคิด ความรู้ ก็เหมือนของใช้ที่มีวันหมด หากเราหยุดเสาะหาเพิ่มเติมเมื่อไหร่
สิ่งที่เราใช้คิด หรือรู้ ก็จะมีอยู่จำกัดแค่นั้น การหาความรู้ใหม่ๆทำให้จินตนการของเราแข็งแรงขึ้น
จินตนาการที่ไม่มีความรู้ ก็เหมือนเรือที่ไม่มีใบ ที่จะพาลอยตามคลื่นไปเรื่อยๆจนออกทะเล
ในทางกลับกัน ความรู้จะช่วยเสริมให้จินตนาการของเรามีทิศทาง และจูงใจคนภายนอก
ให้เข้าสู่จินตนาการของเราได้ชัดเจนขึ้น
กลับมาที่ตัวผมในตอนนั้น วัยที่คิดว่าตัวเองนี่ล่ะเจ๋งสุด
ผมซึ่งแม้จะไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำพูดที่อาจารย์บอกเท่าไหร่ ก็ยังลองทำตามที่อาจารย์บอก
ในเมื่อบอกบอกว่า ถ้าผมใช้แต่ของข้างในมันจะหมด ผมก็จะใช้ของข้างนอกละกันคราวนี้
ผมเลยไปนั่งหมกตัวอยุ่ที่ห้องสมุด และหาหนังสืองานออกแบบที่เกี่ยวข้องทั้งหลายมาดู
ผมใช้เวลากับงานชิ้นนี้อยู่พักหนึ่ง จัดการหาแบบอ้างอิงและลงมือทำ
เมื่อถึงกำหนดส่งงาน ผมยื่นงานชิ้นนั้นให้อาจารย์ดูด้วยความมั่นใจ
มั่นใจว่าคราวนี้ ไม่น่าจะโดนตีกลับเพราะผมไม่ได้ใช้ไอ้ของข้างในที่อาจารย์ว่ามันจะหมด
แต่คราวนี้ผมใช้ไอ้ของข้างนอกนี่ล่ะ ดังนั้นถ้าจะว่าก็ไม่น่าจะว่าผมได้
อาจารย์เหลือบมองงานของผมอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันมาบอกผมว่า
"ฉันจะบอกแกให้นะ การลอกลายไม่ใช่งานออกแบบ"
เรานี่มันช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยสินะ ใช่มั้ยใช่...
Monday, November 17, 2014
แมคฯ เอกมัย
สถานที่เดิม ที่เคยมานั่งเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว
ที่ซึ่งในตอนนั้นกำลังจะออกไปเผชิญกับอะไรก็ไม่รู้ที่อยู่ข้างหน้า
มานั่งอีกทีในตอนนี้ ด้วยความรู้สึกคล้ายๆกัน
คือการเผชิญกับอะไรก็ไม่รู้ที่รออยู่ข้างหน้า
Wednesday, November 12, 2014
โตแล้วไปไหน
"ตอนนั้นเป็นช่วงก่อนที่ผมจะมาอเมริกา และเพิ่งออกจากงานมาเพื่อเตรียมตัวไปเรียนต่อ
วันนั้นผมนั่งอยู่ที่แมคโดนัล ตรงเมเจอร์ซีเนเพล็กซ์ สาขาเอกมัย อาจจะนั่งรอเพื่อนนัดกินข้าวหรืออะไรสักอย่าง หรืออาจจะแค่นั่งอ่านหนังสือเล่นๆ ซึ่งหนังสือเล่มที่ว่าก็คือนิตยสารยอดนิยมฉบับหนึ่ง ผมจำได้ว่าหน้าปกเป็นพื้นสีขาว และมีขวดนมสีชมพูวางอยู่โดดๆ ที่ผมจำได้แม่นเพราะในฉบับนั้นมีบทสัมภาษณ์ของคนๆหนึ่งที่น่าสนใจ เขาเป็นอนิเมเตอร์ไทยที่ทำหนังเรื่อง The Metrix ผมจำบทสัมภาษณ์นั้นได้ขึ้นใจ ได้ถึงขนาดที่ว่าชอตที่เขาอนิเมทนั้นคือชอตที่นีโอควงกระบองสู้กับมิสเตอร์สมิธเป็นฝูงที่ลานว่างหลังจากคุยกับ The Oracle มาบนม้านั่ง และหลังจากจบโปรเจคหนังเขาก็เข้าไปทำงานต่อที่ Blizzard studio"
ผมบอกประโยคข้างต้นให้พี่นนท์ฟัง หลังจากผมและเพื่อนๆพี่ๆน้องๆสายอนิเมชั่น (ภายใต้การนำของพี่ตุลย์ 55) ได้มีโอกาสไปเยี่ยม Blizzard studio ที่ Irvine เมืองเงียบๆไม่ใกล้ไม่ไกลจาก LA เท่าไหร่นัก
เมื่อเดินเข้ามาที่ลานกลางแจ้งก่อนเข้าตึก จะเห็นรูปปั้น Orc ขี่หมาป่าขนาดใหญ่ ยืนชูมือต้อนรับอยู่ จากนั้นเมื่อเข้ามาในส่วนรับรองจะมีห้องแกลลอรี่ขนาดใหญ่ไว้โชว์ภาพวาดและมีอัลบั้ม FanArt ให้ผู้มาเยี่ยมชมเปิดดูได้ ตู้โชว์หลายตู้เต็มไปด้วยเหล่าฟิกเกอร์หลากขนาดจากเกม พี่นนท์พาพวกเราเดินเยี่ยมชมในสตูดิโอ ได้เห็นแผนกแต่ละแผนกที่ประดับประดาไปด้วยฟิกเกอร์หรือโปสเตอร์จากเกม World of Warcraft และได้มีโอกาสเห็น Starcraft 2 ในช่วงที่เขากำลังทดลองเล่นกันภายในอยู่ด้วย พวกเราเดินลัดเลาะไปตามทางเดินที่เต็มไปด้วยงาน Art จากเกมที่ว่า แม้ผมจะไม่ได้เล่น World of Warcraft แต่ก็เล่น Warcraft 2,3 การมาเยี่ยมชมครั้งนั้นทำให้ผมอยากลองเล่นเจ้าเกมที่ว่าดูสักที งาน Art ของ Blizzard นั้นดูเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและแรงบันดาลใจ ซึ่งเพื่อนนักเรียนด้วยกันหลายคนต่างก็ใฝ่ฝันที่จะได้ลองทำงานที่นี่ดูสักครั้ง
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ คืออาจจะเป็นไปได้แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆนัก และด้วยความที่ซานฟรานซิสโกมีการจัดงาน Game Developer Conference (GDC) กันเป็นประจำทุกปี ผมจึงไปที่งาน GDC เป็นประจำตลอดชีวิตนักเรียนที่นั่น และเป้าหมายหลักคือการไป Job fair หรือการหางานนั่นเอง ในช่วงปีแรกๆนั้นเป็นการฝึกการพูดคุยกับ HR ซะเป็นส่วนมากด้วยคุณภาพของงานที่ไม่ถึงเกณฑ์ อาจจะแค่กรอกใบสมัครแล้วคุยกันพอเป็นพิธี เพื่อให้คุ้นชินกับการพูดคุยกับคนต่างชาติและฝึกรับมือกับการตอบคำถามเฉพาะหน้า ในช่วงหลังๆจึงเริ่มมีเป้าหมายมากขึ้นเช่นการหาที่ฝึกงานและการหางาน โดยในงานมีบริษัททั้งใหญ่และเล็กมาออกงานจำนวนมาก และ Blizzard ก็เป็นหนึ่งในบริษัทที่มาออกงาน
แถวสัมภาษณ์งานของ Blizzard จะมี 2 แถว คือแถวสำหรับนักเรียนและแถวสำหรับมืออาชีพ ซึ่งแน่นอนว่าแถวของนักเรียนนั้นจะมีขนาดยาวและต้องใช้เวลาในการรอคอยนานพอสมควร สาเหตุเพราะในแถวของนักเรียนนั้น ทาง Blizzard จะใช้ Artist ที่ทำงานมาเป็นคนวิจารณ์งาน ซึ่งแต่ละคนจะใช้เวลากับงานของเหล่านักเรียนพอสมควรไม่ใช่แค่การดูผ่านๆ แต่ให้คำแนะนำและการพัฒนางานที่ดีขึ้น ซึ่งเราสามารถที่จะถามอะไรกับคนที่มาดูงานให้เราก็ได้ ทำให้แถวของ Blizzard ได้รับความนิยมเป็นประจำทุกปี
บางคนอาจจะสงสัยว่าทำไมกับแค่การวิจารณ์งาน ถึงมีคนหลายคนยอมเสียเวลาต่อคิวยาวเหยียดเพื่อให้งานของเราถูกด่าหรือติชม เพราะงานวิจารณ์ที่มีประโยชน์ย่อมทำให้เกิดการพัฒนาขึ้น ยิ่งถ้าได้รับการวิจารณ์จากมืออาชีพในสายงานนั้นๆจริงๆ ย่อมได้คำแนะนำที่ดีแน่นอน ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงยอมต่อแถวเพื่อโอกาสที่ไม่ได้หาง่ายๆแบบนี้
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาผมแบ่งการวิจารณ์งานออกได้เป็น 3 ระดับ
ระดับแรก ระดับทั่วไปคนวิจารณ์อาจบอกได้แค่ชอบหรือไม่ชอบ โดยไม่มีสาเหตุมารองรับ
ระดับที่สอง คนวิจารณ์สามารถบอกได้ว่าชอบหรือไม่ชอบเพราะอะไร แต่ยังไม่สามารถบอกถึงแนวทางพัฒนาเพิ่มได้
และระดับสุดท้าย คนวิจารณ์มองออกว่าควรทำอย่างไรให้งานพัฒนาดีขึ้น โดยไม่จำกัดอยู่แค่แนวทางเดียว
ซึ่งในฐานะที่ทั้งถูกวิจารณ์งานและวิจารณ์งานคนอื่นบ้าง สิ่งสำคัญอันดับแรกเลยคือ อย่าเพิ่งเถียง ฟังคนพูดๆให้จบก่อน พอจบแล้วจะเถียงหรือจะแย้งอะไรก็ค่อยว่ากันไป หรือถ้าคิดว่าการวิจารณ์ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ตรงประเด็น ผมพบกว่าการปล่อยผ่านและเงียบๆไปเป็นการจบเรื่องที่ดีที่สุด บางครั้งการโต้เถียงที่ไม่มีสาระ ทำให้ชัยชนะที่ได้มาไร้ซึ่งความหมาย เปรียบได้เหมือนกับการทะเลาะกันของเด็กที่ไม่รู้จักโต
ในทางกลับกัน การยอมรับถึงข้อผิดพลาดและเรียนรู้จากเรื่องราวที่ผ่านมาเหล่านั้น รวมทั้งประสบการณ์ผ่านงานที่เราทำ ทั้งเรื่องที่สำเร็จและล้มเหลว สิ่งเหล่านี้ต่างหากล่ะที่ทำให้เราโตขึ้น
ตอนนี้เราก็โตแล้ว ทีนี้จะไปไหนต่อดีนะ
Monday, November 10, 2014
ชั่วโมงเรียนที่ 1
ครั้งหน้าจะเป็นครั้งสุดท้ายของเทอมนี้ที่ไปสอนที่มหาวิทยาลัย
ซึ่งถ้าจะว่าไป เทอมนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ไปสอนแบบจริงๆจังและเป็นทางการ
ผมจำไม่ได้ว่าไปตกปากรับคำตอนไหน
อารมณ์คงนึกว่าคุยเล่นๆและทิ้งเรื่องไว้นานจนลืม
จนวันนึงก็มีโทรศัพท์ทางไกลมาคุยเรื่องการสอน
อารมณ์ตอนนั้นมึนงงผสมล่ก
มึนงงเพราะจำไม่ได้ว่าคุยเรื่องการสอนตั้งแต่เมื่อไหร่
ล่กเพราะเกิดอาการไม่มั่นใจว่าจะสอนได้
อย่างไรก็แล้วแต่ผมก็ตกปากรับคำไปสอนจนได้
หลังจากรับทราบข้อมูลรายละเอียดเรื่องการเดินทาง
ที่ทางนั้นจะออกค่าใช้จ่ายให้ และจะมีรถมารับจากสนามบินทั้งไปและกลับ
ทำให้ผมหมดกังวลเรื่องการเดินทาง และตารางเวลา
ผมก็จะขึ้นเครื่องบินในวันอาทิตย์ เว้นอาทิตย์ และเว้นอีกหลายๆอาทิตย์
ก่อนจะกลับมาอาทิตย์เว้นอาทิตย์อีกที (มีพี่ท้อปไปสอนสลับกัน)
สาเหตุหลักที่ตัดสินใจไปสอนนั้น เรื่องเงินดูจะเป็นสาเหตุท้ายๆ
ความเบื่อที่สะสมมา ดูจะเป็นเหตุผลหลักในการตัดสินใจครั้งนี้
หากจะให้ชี้ชัดสาเหตุของความเบื่อ มันก็ดูจะเปะปะไปหมด
เบื่องาน เบื่ออากาศ เบื่อฝุ่นละออง เบื่ออะไรก็ไม่รู้ จนถึงขั้นอาจจะเบื่อชีวิต
เจ้าความเบื่อที่คืบคลานเข้ามาอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียง
ก่อนจะรัวหมัดไม่ยั้ง ถาโถมอย่างกับพายุเข้าใส่
ผมไม่ทันที่จะตั้งตัวใดๆทั้งสิ้นแม้แต่ตั้งรับ
ได้แต่ปัดป้องอย่างสะเปะสะปะอย่างไร้จุดหมาย
กรรมการข้างเวทีรัวนิ้วนับแต้มต่ออย่างเมามันส์
ผีพนันข้างที่ถือมวยรองพยายามส่งเสียงเชียร์ให้ผมลุกขึ้น
และจวนเจียนที่ผมจะยอมพ่ายแพ้อยู่รอมร่อ
ระฆังที่แขวนไว้ข้างเวทีก็ทำงานด้วยเสียงดังฟังชัด
"อาจารย์สนใจที่จะไปสอนที่ ม.... เทอมนี้ไหมครับ"
ผม(ยัง)ไม่ใช่อาจารย์ และ ไม่คิดว่าจะมีความสามารถพอด้วย
การที่จู่ๆมีคนมาเรียกแทนตัวเองว่าอาจารย์จึงรู้สึกแปลกๆ
แต่เมื่อมีตัวช่วยมา ก็คว้าไว้อย่างไม่ลังเล
ด้วยหวังว่าอย่างน้อยจะได้หลุดจากสภาพตอนนี้ไปก่อน
แม้จะเป็นแค่ชั่วคราวก็ตาม
ด้วยเหตุที่ว่ามา ผมก็ได้มาเป็นอาจารย์พิเศษอย่างเป็นทางการในเทอมนี้
แม้หัวข้อที่ได้รับมอบหมายให้มาสอน จะไม่ใช่หัวข้อถนัด
เรียกได้ว่าพอถูไถ และอาศัยความคุ้นชินในการทำงานมากกว่า
ดังนั้นการจะมาสอนแบบมีหลักการ จึงเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังพอควร
การชี้ทางผิดๆ หรือมั่วๆไปนั้น ดูจะไม่ใช่ทางถนัดของผมเท่าไหร่
แต่หากเป็นการลองเดิน จะผิดจะถูกแล้วค่อยแก้ไขนั้นยังพอว่า
เมื่อสถานการณ์บีบบังคับมาเช่นนี้ ผมจึงไม่มีทางเลือก
นอกจากการซื้อหนังสือมานั่งอ่าน
เจ้าหนังสือที่ว่าคือ text book สมัยที่ผมเรียนอยู่ที่อเมริกานี่เอง
ซึ่งจำได้ว่าหนังสือเล่มนั้นแต่งโดยอาจารย์ที่ผมเรียนด้วย
และเป็นคนที่ได้รับการยอมรับในวงการอย่างมาก
เมื่อผมเรียนจบ ผมจึงส่งต่อหนังสือที่ว่านี้ให้กับรุ่นน้องไว้ใช้ศึกษาต่อ
มาตอนนี้ ตอนที่ผมต้องการใช้หนังสือที่ผมไม่มีอยู่
ทางเลือกสุดท้ายคงเป็นการซื้อหนังสือเล่มใหม่
ด้วยเวลาที่กระชั้นชิด ผมจึงสั่งหนังสือชนิดสื่ออิเลกทรอนิกมาแทน
แม้ผมจะชอบจับหนังสือแบบตัวเป็นๆมากกว่า แต่เวลาเช่นนี้แล้ว
ความรวดเร็วดูจะเป็นสิ่งสำคัญกว่าอารมณ์
ผมสั่งซื้อ(ไฟล์)หนังสือเล่มนี้ในราคาไม่ต่างจากหนังสือจริงๆเท่าไหร่
จะเป็นข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ที่จับต้องไม่ได้ หรือกระดาษที่ทำจากต้นไม้ซึ่งจับต้องได้
ราคาที่แท้จริงของทั้งสองอย่างนี้เหมือนกันคือ ราคาของความรู้ที่ได้รับการบันทึกอยู่ข้างใน
ในคืนก่อนการเรียนการสอนของ(ว่าที่)อาจารย์ครั้งแรก
ผมจึงทำการบ้านด้วยการทบทวนบทเรียน และเตรียมเรื่องที่จะพูดอยู่นาน
ด้วยหวังว่า ผมควรจะเกริ่นนำให้เห็นความน่าสนใจในเนื้อหาที่จะเรียน
มากกว่าการที่จะยัดข้อมูลล้วนๆ ให้กับนักเรียนซึ่งบางเรื่องอาจจะไม่มีความจำเป็นเท่าไหร่นัก
ผมตัดทอนหัวข้อบางส่วนที่ไม่จำเป็นออกไป แต่ก็ไม่ลืมที่จะเพิ่มบางส่วนขึ้นมาทดแทน
เมื่อเตรียมเนื้อหาเหล่านั้นจนพอใจแล้ว
ผมจึงซักซ้อมการพูดหน้าชั้น และซ้อมจนเป็นที่พอใจว่าจะพูดได้ไหลลื่น
ผมกะคร่าวๆไว้ว่า จะพูดเนื้อหาประมาณชั่วโมงหนึ่ง
อาจจะเพิ่มเป็นสองชั่วโมงถ้าผมยังพูดไม่จบ หรือยังมีเวลาเหลือพอ
จากนั้นจึงเริ่มทำแบบฝึกหัดในห้องด้วยกัน
ใครมีปัญหาอะไรก็สามารถซักถามได้ตลอดเวลา
วิธีเรียนด้วยข้อผิดพลาดจากการทำงาน เป็นไอเดียหลักในการสอนของผมครั้งนี้
และในที่สุดวันแรกแห่งการเรียนการสอนของผมก็มาถึง
ผมจับเครื่องบินที่สนามบินดอนเมืองแต่เช้าตรู่
จากนั้นจึงขึ้นรถรับส่งของทางมหาวิทยาลัยจากสนามบินประจำจังหวัด
ผมไปถึงอาคารเรียนอย่างไม่มีปัญหา
เนื้อหาที่ผมเตรียมมาได้รับการถ่ายทอดไปอย่างครบถ้วนและลื่นไหล
ปัญหาอย่างเดียวที่ผมเจอคือ ไอ้เรื่องที่เตรียมไว้ว่าจะพูดในเวลาชั่วโมงนึงเนี่ยน่ะสิ
ผมดันพูดหมดไปแล้วตั้งแต่ 15 นาทีแรกของวัน
แล้วจะพูดอะไรต่อดีนะ...
Wednesday, November 5, 2014
เพราะโลกมันกลม
ตอนที่ร้านหนังสือ Border ล้มละลายและต้องขายทุกอย่างทั้งหนังสือและเฟอร์นิเจอร์นั้น
ผมเองก็แวะเวียนไปแทบทุกวัน ไปเดินเล่นบ้าง ไปซื้อหนังสือบางเล่มบ้าง และไปซื้อเฟอร์นิเจอร์บางอย่างบ้าง
ใจจริงนั้น ผมอยากได้ชั้นหนังสือแบบที่ใช้กันในร้าน แต่ติดที่ขนาดและความหนักเกินจะขนไหว
จึงต้องล้มเลิกความคิดนั้น มิหนำซ้ำห้องที่อยู่ก็ไม่น่าจะมีที่พอด้วย
ผมจึงล้มเลิกความคิดที่นั้นเสีย แต่แล้วผมก้ต้องมาเตะตากับอะไรบางอย่าง
ไอ้อะไรบางอย่างที่ว่าก็คือ กระจกโค้งนูนนั่นเอง
มันเป็นกระจกโค้งนูนแบบที่คุณสามารถพบเห็นได้ตามหัวมุมถนน หรือตามมุมอับของร้านขายของน่ะ
ผมจึงเกิดความคิดขึ้นมาใหม่ว่า ไอ้กระจกนี้มันก็ดูน่าสนใจนะ น่าจะเอาไปเล่นอะไรได้บ้าง
ก็เลยซื้อมันมา
พอซื้อมาผมก็ได้พบกับมุมที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
อย่างเช่นมุมนี้ ที่สามารถเห็นห้องของผมทั้งห้องได้ทั่วโดยไม่ต้องเอี้ยวคอ
จากนั้นจึงเริ่มเอาเป็นเล่นตามที่ต่างๆ เช่นบ้านเพื่อน
ทดลองมุมใหม่ๆ ที่ไม่เคยเห็น
เผื่อบางทีมันจะน่าสนใจ
พอเห็นว่า เออมันก็ดูน่าสนใจและสนุกดี
ผมก็เลยหิ้วไอ้เจ้ากระจกโค้งที่ว่านี่ไปตามสถานที่ต่างๆข้างนอก
ซึ่งมันก็หนักอยุ่พอควร และด้วยขนาดที่ใหญ่ประมาณโล่ห์ชิริว
ทำให้เวลาผมแบกเจ้ากระจกนี้ไปไหนมาไหน ก็มักจะมีคนมองด้วยความสนใจ (ว่ามันจะแบกไปทำไม) อยู่เสมอ
บางคนถึงกับเข้ามาขอถ่ายรูปกระจกนี้ด้วยก็มี
หัวใจที่อยู่ด้านหลังจะอยู่ตามมุมของ Union square ซึ่งจะมีศิลปินมาเพ้นท์ลายใหม่เรื่อยๆ
บางทีก็ต้องวางซะบ้าง
บางวันก็ชวนเพื่อนมาร่วมสนุก ในภาพคือโบสถ์ Grace Cathedral
บางครั้งเพื่อนก็จำใจยอมมาเล่นสนุก
สนามเด็กเล่นที่ Huntington park
กับ Banksy ที่ China town
ซึ่งตอนนั้นก็เห่อเป็นพักๆ เพราะว่ากระจกที่ว่านี้มันหนักมาก
จะให้แบกไปทุกสุดสัปดาห์ก็คงไม่ไหว เลยหาตัวช่วยอื่น
ซึ่งก็คือกระจกโค้งที่เขาใช้กันอยู่จริงๆนั่นเอง
ตอนนั้นไม่รู้เป็นอะไร ถ้าเจอเจ้ากระจกโค้งที่ว่านี้ที่ไหน
เป้นต้องถ่ายให้หมด
ในภาพน่าจะเป็น สถานี BART ที่ถนน New Montgomery
จนตอนผมเริ่มแพคของกลับบ้าน ตอนแรกนั้นคิดว่าจะเอากระจกนี้กลับไปด้วย แม้ไม่รู้ว่าจะเอากลับไปทำไม
แต่พอคนขนของซึ่งเป็นคุณลุง (ผมให้เขามารับของที่อพาทเมนต์) มาเห็นกระจกนี้
ผมเห็นแววตาเป็นประกายของเขา ราวกับเขาเสาะหากระจกนี้มานานแล้ว
แกมองแล้วมองอีก จนในที่สุดแกก็เอ่ยปากถามผมว่า ผมเอามาจากไหน
ผมตอบเขาไปว่า ผมซื้อมาจากร้าน Border ตอนเขาเลหลัง
แกเลยบอกผมว่า นี่นะ แกน่ะ หามานานแล้ว แต่ราคามันสูงอยุ่ เลยตัดสินใจไม่ได้สักที
ผมได้ฟังแล้วก็เริ่มคิดว่า เออ กระจกโค้งนี้มันก็ไม่ใช่หาได้ง่ายๆเหมือนกันนะ
แล้วผมก็คิดว่าผมสนุกกับกระจกนี้มาพอแล้ว เราตะลอนไปด้วยกัน สนุกด้วยกัน
ผมอยากเขวี้ยงทิ้งเพราะมันหนักอยู่ก็หลายครั้ง แต่ก็อดเสียดายไม่ได้
และตอนนี้เหมือนเวลามันประจวบเหมาะ
ผมจึงอยากให้มันได้กลับไปทำหน้าที่ของกระจกโค้งเหมือนเดิมจะดีกว่า
ผมเลยไม่ลังเลใจที่จะให้กระจกแก่คุณลุงนี้ทันที โดยไม่คิดเงินเสียด้วย
(จริงๆแกบอกว่าจะจ่ายให้ แต่แกคงลืม ผมก็ขี้เกียจทวง ก็เลยตามเลยละกัน)
ผมเองก็แวะเวียนไปแทบทุกวัน ไปเดินเล่นบ้าง ไปซื้อหนังสือบางเล่มบ้าง และไปซื้อเฟอร์นิเจอร์บางอย่างบ้าง
ใจจริงนั้น ผมอยากได้ชั้นหนังสือแบบที่ใช้กันในร้าน แต่ติดที่ขนาดและความหนักเกินจะขนไหว
จึงต้องล้มเลิกความคิดนั้น มิหนำซ้ำห้องที่อยู่ก็ไม่น่าจะมีที่พอด้วย
ผมจึงล้มเลิกความคิดที่นั้นเสีย แต่แล้วผมก้ต้องมาเตะตากับอะไรบางอย่าง
ไอ้อะไรบางอย่างที่ว่าก็คือ กระจกโค้งนูนนั่นเอง
มันเป็นกระจกโค้งนูนแบบที่คุณสามารถพบเห็นได้ตามหัวมุมถนน หรือตามมุมอับของร้านขายของน่ะ
ผมจึงเกิดความคิดขึ้นมาใหม่ว่า ไอ้กระจกนี้มันก็ดูน่าสนใจนะ น่าจะเอาไปเล่นอะไรได้บ้าง
ก็เลยซื้อมันมา
พอซื้อมาผมก็ได้พบกับมุมที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
อย่างเช่นมุมนี้ ที่สามารถเห็นห้องของผมทั้งห้องได้ทั่วโดยไม่ต้องเอี้ยวคอ
จากนั้นจึงเริ่มเอาเป็นเล่นตามที่ต่างๆ เช่นบ้านเพื่อน
ทดลองมุมใหม่ๆ ที่ไม่เคยเห็น
เผื่อบางทีมันจะน่าสนใจ
พอเห็นว่า เออมันก็ดูน่าสนใจและสนุกดี
ผมก็เลยหิ้วไอ้เจ้ากระจกโค้งที่ว่านี่ไปตามสถานที่ต่างๆข้างนอก
ซึ่งมันก็หนักอยุ่พอควร และด้วยขนาดที่ใหญ่ประมาณโล่ห์ชิริว
ทำให้เวลาผมแบกเจ้ากระจกนี้ไปไหนมาไหน ก็มักจะมีคนมองด้วยความสนใจ (ว่ามันจะแบกไปทำไม) อยู่เสมอ
บางคนถึงกับเข้ามาขอถ่ายรูปกระจกนี้ด้วยก็มี
หัวใจที่อยู่ด้านหลังจะอยู่ตามมุมของ Union square ซึ่งจะมีศิลปินมาเพ้นท์ลายใหม่เรื่อยๆ
บางทีก็ต้องวางซะบ้าง
บางวันก็ชวนเพื่อนมาร่วมสนุก ในภาพคือโบสถ์ Grace Cathedral
บางครั้งเพื่อนก็จำใจยอมมาเล่นสนุก
สนามเด็กเล่นที่ Huntington park
กับ Banksy ที่ China town
ซึ่งตอนนั้นก็เห่อเป็นพักๆ เพราะว่ากระจกที่ว่านี้มันหนักมาก
จะให้แบกไปทุกสุดสัปดาห์ก็คงไม่ไหว เลยหาตัวช่วยอื่น
ซึ่งก็คือกระจกโค้งที่เขาใช้กันอยู่จริงๆนั่นเอง
ตอนนั้นไม่รู้เป็นอะไร ถ้าเจอเจ้ากระจกโค้งที่ว่านี้ที่ไหน
เป้นต้องถ่ายให้หมด
ในภาพน่าจะเป็น สถานี BART ที่ถนน New Montgomery
จนตอนผมเริ่มแพคของกลับบ้าน ตอนแรกนั้นคิดว่าจะเอากระจกนี้กลับไปด้วย แม้ไม่รู้ว่าจะเอากลับไปทำไม
แต่พอคนขนของซึ่งเป็นคุณลุง (ผมให้เขามารับของที่อพาทเมนต์) มาเห็นกระจกนี้
ผมเห็นแววตาเป็นประกายของเขา ราวกับเขาเสาะหากระจกนี้มานานแล้ว
แกมองแล้วมองอีก จนในที่สุดแกก็เอ่ยปากถามผมว่า ผมเอามาจากไหน
ผมตอบเขาไปว่า ผมซื้อมาจากร้าน Border ตอนเขาเลหลัง
แกเลยบอกผมว่า นี่นะ แกน่ะ หามานานแล้ว แต่ราคามันสูงอยุ่ เลยตัดสินใจไม่ได้สักที
ผมได้ฟังแล้วก็เริ่มคิดว่า เออ กระจกโค้งนี้มันก็ไม่ใช่หาได้ง่ายๆเหมือนกันนะ
แล้วผมก็คิดว่าผมสนุกกับกระจกนี้มาพอแล้ว เราตะลอนไปด้วยกัน สนุกด้วยกัน
ผมอยากเขวี้ยงทิ้งเพราะมันหนักอยู่ก็หลายครั้ง แต่ก็อดเสียดายไม่ได้
และตอนนี้เหมือนเวลามันประจวบเหมาะ
ผมจึงอยากให้มันได้กลับไปทำหน้าที่ของกระจกโค้งเหมือนเดิมจะดีกว่า
ผมเลยไม่ลังเลใจที่จะให้กระจกแก่คุณลุงนี้ทันที โดยไม่คิดเงินเสียด้วย
(จริงๆแกบอกว่าจะจ่ายให้ แต่แกคงลืม ผมก็ขี้เกียจทวง ก็เลยตามเลยละกัน)
Tuesday, November 4, 2014
บอดี้
โปรเจคสั้นๆ แบบเร็วมากจริงๆชนิดที่ว่าแปบเดียวงานเสร็จ
งานนี้ผมทำแต่ในส่วนของโมเดล แม้จะมีเทกเจอร์ด้วย Diffuse, Spec, Normal map
แต่รู้สึกว่าตัวงานที่เสร็จจะไม่ได้ใช้เทกเจอร์อันที่ส่งไป
งานชิ้นนี้เป็น Visual ประกอบคอนเสิร์ตของ Bodyslam ที่ผ่านมานี่เองครับ
งานนี้จะว่ายากก็ไม่ยากแต่อาศัย งมเอาหน่อยๆ
เพราะต้นแบบที่ส่งมาให้คือรูปจากปกอัลบั้มนี่เอง ซึ่งมันมีด้านเดียวนี่น่ะสิ
Monday, November 3, 2014
คนเดินถนน
สมัยก่อนที่ผมจะมาอเมริกา ผมมักจะเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติในไทยเดินกันอย่างไม่กลัวรถชน (และบางส่วนก็โดนชนจริงๆ)
ในใจผมก็นึกสงสัยว่าทำไมเขาช่างไม่กลัวรถเอาเสียเลย หรือว่ายังไม่เคยโดนชนกันนะ
จนเมื่อผมมาอเมริกา
ที่ๆทำให้คนเดินดินบนถนน มีความรู้สึกเหมือนดั่งราชา
ใช่แล้วครับ
ที่นี่ซานฟรานซิสโก ที่ๆคนเดินถนนคือผู้ยิ่งใหญ่ 55
ยิ่งใหญ่ยังไง
เอาเป้นว่าทุกหัวมุมถนน จะมีทางข้ามสำหรับคนเดินถนน
และมีไฟจราจรสำหรับคนข้ามโดยเฉพาะ
และในที่ๆไม่มีไฟจราจร เช่นถนนนอกเมืองหรือถนนในแหล่งชุมชน
ถ้ารถเจอคนจะข้ามถนน ต้องหยุดรอให้คนข้ามถนนเรียบร้อยเสียก่อนจึงจะไปได้
ผมติดนิสัยที่ว่านี้กลับมาด้วย
และเมื่อกลับไทยได้พักนึง ผมก็พบว่า
ผมข้ามถนนไม่เป็น
ผมอยู่ที่เกาะกลางถนนบนถนนสีลม หลังจากเพิ่งวิ่งสุดชีวิตเพื่อข้ามมายังเกาะกลางถนนแห่งนี้
และคำถามต่อไปคือ ผมจะข้ามไปอีกฝั่งยังไง ในขณะที่รถราทั้งหลายวิ่งกันอย่างไม่กลัวน้ำมันหมด
ตอนแรกมีผมรออยู่คนเดียว และก็มีผู้ร่วมชะตะกรรมมาสมทบ โดยมากเป็นพนักงานออฟฟิศแถวนั้น
พวกเรารอกันอยุ่สัก 10 คนได้ และรถก็ไม่มีทีท่าชะลอเอาเสียเลย
จนในที่สุดก็มีชาวบ้านแถวนั้น แสดงวิธีการข้ามถนนที่ถูกต้องให้ผมดู
ชาวบ้านที่ว่าน่าจะเป้นพ่อค้าแถวนั้น
และวิธีการข้ามถนนที่ว่าคือ ก้าวลงไปมันซะเลย
พอพ่อค้าก้าวลงไปคนแรก ที่เหลือก็รีบก้าวตาม
ซึ่งได้ผล เพราะรถเบรกกันตัวโก่งเลย
แล้วทุกคนก็รีบก้าวตามพ่อค้าคนนั้นไป
ผมจึงได้รู้ซึ้งถึงพลังของมวลมหาประชาชนในวันนั้น
ในใจผมก็นึกสงสัยว่าทำไมเขาช่างไม่กลัวรถเอาเสียเลย หรือว่ายังไม่เคยโดนชนกันนะ
จนเมื่อผมมาอเมริกา
ที่ๆทำให้คนเดินดินบนถนน มีความรู้สึกเหมือนดั่งราชา
ใช่แล้วครับ
ที่นี่ซานฟรานซิสโก ที่ๆคนเดินถนนคือผู้ยิ่งใหญ่ 55
ยิ่งใหญ่ยังไง
เอาเป้นว่าทุกหัวมุมถนน จะมีทางข้ามสำหรับคนเดินถนน
และมีไฟจราจรสำหรับคนข้ามโดยเฉพาะ
และในที่ๆไม่มีไฟจราจร เช่นถนนนอกเมืองหรือถนนในแหล่งชุมชน
ถ้ารถเจอคนจะข้ามถนน ต้องหยุดรอให้คนข้ามถนนเรียบร้อยเสียก่อนจึงจะไปได้
ผมติดนิสัยที่ว่านี้กลับมาด้วย
และเมื่อกลับไทยได้พักนึง ผมก็พบว่า
ผมข้ามถนนไม่เป็น
ผมอยู่ที่เกาะกลางถนนบนถนนสีลม หลังจากเพิ่งวิ่งสุดชีวิตเพื่อข้ามมายังเกาะกลางถนนแห่งนี้
และคำถามต่อไปคือ ผมจะข้ามไปอีกฝั่งยังไง ในขณะที่รถราทั้งหลายวิ่งกันอย่างไม่กลัวน้ำมันหมด
ตอนแรกมีผมรออยู่คนเดียว และก็มีผู้ร่วมชะตะกรรมมาสมทบ โดยมากเป็นพนักงานออฟฟิศแถวนั้น
พวกเรารอกันอยุ่สัก 10 คนได้ และรถก็ไม่มีทีท่าชะลอเอาเสียเลย
จนในที่สุดก็มีชาวบ้านแถวนั้น แสดงวิธีการข้ามถนนที่ถูกต้องให้ผมดู
ชาวบ้านที่ว่าน่าจะเป้นพ่อค้าแถวนั้น
และวิธีการข้ามถนนที่ว่าคือ ก้าวลงไปมันซะเลย
พอพ่อค้าก้าวลงไปคนแรก ที่เหลือก็รีบก้าวตาม
ซึ่งได้ผล เพราะรถเบรกกันตัวโก่งเลย
แล้วทุกคนก็รีบก้าวตามพ่อค้าคนนั้นไป
ผมจึงได้รู้ซึ้งถึงพลังของมวลมหาประชาชนในวันนั้น
ฝน สี นิวยอร์ก
สิ่งหนึ่งที่ผมชอบในนิวยอร์กคือ สี
ไม่ว่าจะสีสันจากป้ายโฆษณา ป้ายไฟต่างๆ หรือสีของเมือง
ช่วงที่ผมไปนั้นฝนตกแทบทุกวัน ฝนยิ่งตกผมยิ่งรู้สึกว่าภาพที่เห็นมันยิ่งชัดขึ้น
บางทีอาจจะเป็นเพราะสายฝนชะเอาฝุ่นละอองในอากาศออกไป
หรือบางทีผมอาจจะชอบบรรยากาศหลังฝนก็ได้
Subscribe to:
Posts (Atom)