Tuesday, September 30, 2014
A town where I live
เพจใหม่สำหรับไว้รวบรวมงานเขียนและรูปถ่ายโดยเฉพาะ
ขอเชิญเยี่ยมชมกันได้นะครับ
https://www.facebook.com/atownwhereilive
Monday, September 29, 2014
ฉุกเฉิน
"ถ้าบนเครื่องบินมีเหตุการณ์ฉุกเฉิน คุณผู้โดยสารจะช่วยฉันไหมคะ"
พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินถามผมในขณะที่ผมกำลังพยายามแก้สายหูฟังที่พันกันอย่างยุ่งเหยิงในซองไอพอดของผมออก ทำให้ผมได้ยินสิ่งที่พนักงาน(สาว)ต้อนรับบอกกับผมไม่ชัดเจน
"ถ้าเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินบนเครื่องบิน แล้วเราต้องร่อนลงจอด คุณผู้โดยสารจะช่วยดิฉันเปิดประตูฉุกเฉินได้ไหมคะ"
พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินพูดพร้อมผายมือออกไปยังที่นั่งริมหน้าต่างในแถวที่ผมอยู่ ที่ตรงนั้นมีตัวหนังสือเขียนไว้เป็นภาษาอังกฤษว่า "Emergency exit"
และนั่นก็ทำให้ผมนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
40 นาทีก่อนหน้านี้
ผมอยู่ที่สนามบินเชียงราย เวลาขณะนั้นประมาณ 19.30 น. เที่ยวบินของผมตามกำหนดการณ์แล้วจะออกเดินทางราวๆ 20.10 น. ผมจึงยังมีเวลาอ้อยอิ่งพอที่จะค่อยๆเดินไปเช็กอินที่เคาเตอร์ของสายการบินที่จองไว้ หลังจากทักทายพนักงานต้อนรับภาคพื้นดินพอเป็นพิธีแล้วผมจึงยื่นใบจองตั๋วเครื่องบินที่ได้ปรินท์เตรียมออกมาไว้ให้กับพนักงานหนุ่มพร้อมกับบัตรประชาชน พนักงานต้อนรับภาคพื้นดินหนุ่มเช็กเอกสารของผมอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกกับผมว่า
"คุณผู้โดยสาร ถ้าได้ที่นั่งฉุกเฉินจะสะดวกไหมครับ"
ที่นั่งฉุกเฉิน ที่นั่งฉุกเฉินคืออะไร ผมไม่ค่อยได้นั่งเครื่องบินบ่อยนักจึงไม่คุ้นเคยกับคำนี้
"ที่นั่งฉุกเฉิน เป็นที่นั่งที่ติดกับประตูฉุกเฉินครับ" พนักงานหนุ่มตอบ
ผมคิดว่าไอ้ที่นั่งฉุกเฉินที่ติดกับประตูฉุกเฉินนี่มันคงมีทางเดินฉุกเฉินและอะไรฉุกเฉินเต็มไปหมด
ผมจึงถามกลับไปว่า
"แล้วมีที่นั่งริมหน้าต่างไหมครับตอนนี้"
พนักงานหนุ่มก้มหน้าเช็กในคอมพิวเตอร์ครู่นึง จึงตอบกลับมาว่า
"ตอนนี้เหลือที่นั่งฉุกเฉินริมทางเดินกับ ที่นั่งปกติแต่เป็นที่นั่งตรงกลางระหว่างผู้โดยสาร 2 ข้างนะครับ"
ผมชั่งใจคิดอยุ่ครู่หนึ่ง แล้วคิดว่าอย่างน้อยถ้านั่งริมทางเดินก็จะมีพนักเป็นของตัวเองข้างหนึ่งละน่ะ เลยตัดสินใจเลือกที่นั่งฉุกเฉินริมทางเดิน
"ดีเลยครับ ที่นั่งฉุกเฉินเนี่ยจะมีขนาดกว้างกว่าที่นั่งปกติ สามารถนั่งได้สบายเลยล่ะครับ"
พนักงานหนุ่มรับคำผมแล้วก้มหน้าง่วนอยู่กับอะไรสักอย่างหนึ่ง ซึ่งตามปกติแล้วมันไม่น่าจะนานขนาดนี้
สักพักพนักงานหนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นมาแล้วถามผมว่า
"คุณผู้โดยสารมีอาการปวดหลัง ปวดไหล่หรือเปล่าครับ"
"ห่ะ อะไรนะครับ" ผมได้ยินคำถามนี้ชัดเจนดี แต่เกิดอาการสงสัยว่าคำถามนี้มันเกี่ยวอะไรกับการออกตั๋วเครื่องบิน
"คุณผู้โดยสารมีอาการปวดแขน ปวดไหล่ หรือยกของหนักไม่ได้หรือเปล่าครับ"
อืม ผมไม่แน่ใจว่าคำถามนี้จะเกี่ยวอะไรแต่ก็ตอบไปตามตรง
"ตอนนี้ยังไม่ค่อยปวดครับ แต่บางทีนั่งทำงานนานๆก็ปวดไหล่เหมือนกัน"
ผมไม่แน่ใจว่าคำตอบที่ตอบไปนั้นตรงกับคำถามที่พนักงานหนุ่มถามผมหรือไม่ แต่อย่างไรก็แล้วแต่พนักงานหนุ่มก็ยื่นตั๋วเครื่องบินให้ผม
"เดินทางปลอดภัยนะครับ" พนักงานหนุ่มกล่าวส่งท้าย
อันที่จริงผมน่าจะรู้สึกตัวตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่านี่เป็นสัญญาณอะไรบางอย่าง
ตั้งแต่ตอนที่พนักงานหนุ่มพยายามเชื้อชวนให้ผมเลือกที่นั่งฉุกเฉินโดยความสมัครใจของผมเอง หรือตั้งแต่ตอนที่ผมซื้อน้ำหวานที่ขายเกินราคาจากร้านค้าในสนามบิน หรือตอนที่ผมเดินผ่านพนักงานรักษาความปลอดภัยที่บอกผมว่าผมไม่สามารถนำของเหลวพลางชี้ไปที่ขวดน้ำหวานที่ผมเพิ่งจะจิบไปได้นิดเดียวเข้ามาในบริเวณที่นั่งรอเครื่องบินได้ หรือตอนที่ผมต้องกระดกน้ำหวานขนาดความจุ 500 มิลลิลิตร ที่กะจะค่อยๆจิบขณะรอเครื่องบิน เป็นการกระดกทีเดียวหมดส่งผลให้ระดับน้ำตาลในร่างกายผมสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดนี้มันน่าจะเป็นสัญญาณที่บอกผมให้เตรียมตัวไว้ เหมือนที่ลุงเบนเคยบอกผมไว้ว่า
"ความสามารถอันยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง"
"ถ้าเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินบนเครื่องบิน แล้วเราต้องร่อนลงจอด คุณผู้โดยสารจะช่วยดิฉันเปิดประตูฉุกเฉินได้ไหมคะ"
เสียงของพนักงานต้อนรับสาวดึงผมออกมาจากภวังค์
"ได้เลยน้อง" ลุงผมยาวตัวอ้วนที่นั่งข้างผมตอบเสียงดังฟังชัดในขณะที่ผมและผู้โดยสารรอบๆตอบกันแบบงึมงำ
"ขอบคุณค่ะ ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินนะคะ เครื่องบินเราอาจต้องลงจอดอาจจะเป็นทางบกหรือทางน้ำ พอเครื่องบินจอดสนิท ทางเราต้องขอแรงคุณผู้โดยสารช่วยเปิดประตูฉุกเฉินด้วยนะคะ แต่หากคุณผู้โดยสารเห็นว่าข้างนอกนั้นมีเพลิงไหม้ หรือเห็นว่าเครื่องบินส่วนนั้นจมน้ำอยู่ ก็ไม่ต้องเปิดประตูฉุกเฉินนะคะ เราจะใช้ทางออกฉุกเฉินด้านหน้าและด้านหลังแทน ส่วนวิธีการเปิดนั้นเรามีคู่มืออยู่ในพนักด้านหน้าให้คุณผู้โดยสารลองอ่านดูนะคะ"
พนักงานต้อนรับสาวพูดจบพลางยิ้มละไม
"โอ้ เยี่ยมเลย ขอผมลองเปิดดูได้ไหม" ลุงผมยาวที่นั่งข้างผมเอ่ยปาก
ผมแอบคิดในใจว่าบางทีลุงแกอาจจะอยากลองเชิงหรือกวนตีน แต่พนักงานต้อนรับสาวเองก็ไม่ได้ยี่หระใดๆ บางทีอาจมีคนขอลองเปิดมาหลายครั้งแล้วก็ได้
"ไม่ได้นะคะ ประตูฉุกเฉินจะเปิดได้ก็ต่อเมื่อมีเหตุฉุกเฉินและเครื่องบินจอดสนิทเท่านั้นค่ะ" พนักงานต้อนรับสาวกล่าวเรียบๆแต่เด็ดขาด
คุณลุงเองก็ไม่ได้ต่อปากต่อคำอะไร แกหยิบคู่มือขึ้นมานั่งพลิกดู 2-3 ทีก่อนจะหยิบวางลงไปที่เดิม
พนักงานต้อนรับสาวมองไปรอบๆ ก่อนจะกล่าวขอบคุณกลุ่มผู้โดยสารที่ได้รับมอบหมายหน้าที่นี้อันได้แก่ คุณลุงผมยาวที่นั่งอยุ่ข้างผมกับแฟนของแก คู่ลุงป้าในที่นั่งข้างหน้าผม ฝรั่งที่นั่งอยู่คนเดียวตรงที่นั่งแถวข้างผมและผู้โดยสารปกติในที่นั่งเยื้องถัดไป
ตอนนี้ความหวังในการดูแลรักษาความปลอดภัยของผู้โดยสาร(ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน) ของเครื่องบินลำนี้ได้ตกอยู่ในความรับผิดชอบ (ส่วนน้อยนิด) ของผมแล้ว ผมเริ่มรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็น ลุงเลียม นีลสัน จาก Nonstop นี่สินะที่ว่าเขาว่าสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ ซึ่งผมคิดว่าไม่น่าจะมีผมคนเดียวที่รู้สึกแบบนี้ อย่างน้อยลุงผมยาวที่นั่งข้างผมก็น่าจะรู้สึกฮึดขึ้นมาเหมือนกัน สังเกตได้จากแกหันไปบอกแฟนของแกที่นั่งอยุ่ริมทางออกฉุกเฉินว่า
"นี่เธอน่ะ เรามาแลกที่กัน ฉันแข็งแรงกว่าเธอมีเหตุการณ์อะไรขึ้นมาจะได้ไม่เสียเวลา"
ลุงแกพูดจบก็ขยับตัวลุกขึ้นยืนแล้วสลับที่นั่งไปนั่งริมหน้าต่างแทนแฟนของแก
นี่สิคนไทยไม่ทิ้งกัน ผมชื่นชมในลุงร่างอ้วนผมยาวที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน ถ้าเราทุกคนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมาก่อนสังคมก็คงจะดีขึ้นไม่น้อย
คิดได้ดังนั้นผมจึงเริ่มทบทวนขั้นตอนการเปิดประตูฉุกเฉินจากรูปอินโฟกราฟฟิกที่มีไว้ให้ ประตูฉุกเฉินที่ว่านี้มีลักษณะไม่เหมือนประตูทั่วไป พูดง่ายๆคือไม่มีที่จับลูกบิดอะไรทั้งสิ้น ถ้ามันไม่มีคำว่าฉุกเฉินติดอยู่ ผมก็จะไม่สังเกตุด้วยซ้ำว่ามันคือประตู ขั้นตอนการเปิดเองก็ง่ายๆไม่มีอะไรซับซ้อน โดยเริ่มจากให้คุณใช้มือขวาทำการกระชากผนังบางที่ซ่อนที่เปิดประตูออกมา พอผนังส่วนนั้นหลุดออกมาแล้วคุณก็จะเห็นแกนสำหรับกระชากคล้ายพวกเบรกฉุกเฉินบนรถไฟฟ้า จากนั้นให้คุณกระชากเจ้าแกนจับที่ว่านั้น พร้อมกับประคองผนังส่วนล่างไว้ด้วย เพราะหลังจากดึงแกนจับลงมาแล้ว ผนังทั้งผนังจะหลุดออกมาเลย
ผมไม่แน่ใจว่าขั้นตอนหลังจากนี้จะเป็นยังไง เพราะตามรูปตัวอย่างอินโฟกราฟฟิกแล้วเป็นรูปผู้โดยสารอุ้มเจ้าประตูฉุกเฉินที่ว่านี้ไว้ ในนั้นไม่ได้บอกว่าให้ทิ้งไว้นอกเครื่องหรือว่าเก็บไว้กับตัว แต่ถ้าเป็นผม ผมอาจจะใช้เจ้าประตูฉุกเฉินนี่ล่ะเป็นเลื่อนแล้วไถลลงไปพร้อมกันเลย
ผมซักซ้อมขั้นตอนในใจจนคิดว่าจำได้แล้วจึงทำตัวปกติไม่ให้มีพิรุธ แล้วเฝ้ารอเหตุการณ์ฉุกเฉินที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ไม่นานนักพนักงานต้อนรับก็นำอาหารมาเสิร์ฟตามปกติ ผมก็ทำตัวตามปกติ ฟังเพลงบนไอพอดของผมตามปกติ เหตุการณ์ทุกอย่างดูปกติตามอย่างที่เที่ยวบินควรจะเป็น เรามีจังหวะตกหลุมอากาศตามปกติสัก 2-3 ครั้ง แต่นอกนั้นแล้วเที่ยวบินนี้ก็สงบดี ไม่มีเหตุการณ์ฉุกเฉินใดๆเกิดขึ้นเลย
ถ้าคุณบังเอิญได้ที่นั่งฉุกเฉิน ที่ติดกับประตูฉุกเฉิน ขอให้คุณรู้ไว้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่โอกาสที่คุณจะได้เป็นวีรบุรุษนั้นมาถึงแล้ว เดินทางปลอดภัยครับ
พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินถามผมในขณะที่ผมกำลังพยายามแก้สายหูฟังที่พันกันอย่างยุ่งเหยิงในซองไอพอดของผมออก ทำให้ผมได้ยินสิ่งที่พนักงาน(สาว)ต้อนรับบอกกับผมไม่ชัดเจน
"ถ้าเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินบนเครื่องบิน แล้วเราต้องร่อนลงจอด คุณผู้โดยสารจะช่วยดิฉันเปิดประตูฉุกเฉินได้ไหมคะ"
พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินพูดพร้อมผายมือออกไปยังที่นั่งริมหน้าต่างในแถวที่ผมอยู่ ที่ตรงนั้นมีตัวหนังสือเขียนไว้เป็นภาษาอังกฤษว่า "Emergency exit"
และนั่นก็ทำให้ผมนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
40 นาทีก่อนหน้านี้
ผมอยู่ที่สนามบินเชียงราย เวลาขณะนั้นประมาณ 19.30 น. เที่ยวบินของผมตามกำหนดการณ์แล้วจะออกเดินทางราวๆ 20.10 น. ผมจึงยังมีเวลาอ้อยอิ่งพอที่จะค่อยๆเดินไปเช็กอินที่เคาเตอร์ของสายการบินที่จองไว้ หลังจากทักทายพนักงานต้อนรับภาคพื้นดินพอเป็นพิธีแล้วผมจึงยื่นใบจองตั๋วเครื่องบินที่ได้ปรินท์เตรียมออกมาไว้ให้กับพนักงานหนุ่มพร้อมกับบัตรประชาชน พนักงานต้อนรับภาคพื้นดินหนุ่มเช็กเอกสารของผมอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกกับผมว่า
"คุณผู้โดยสาร ถ้าได้ที่นั่งฉุกเฉินจะสะดวกไหมครับ"
ที่นั่งฉุกเฉิน ที่นั่งฉุกเฉินคืออะไร ผมไม่ค่อยได้นั่งเครื่องบินบ่อยนักจึงไม่คุ้นเคยกับคำนี้
"ที่นั่งฉุกเฉิน เป็นที่นั่งที่ติดกับประตูฉุกเฉินครับ" พนักงานหนุ่มตอบ
ผมคิดว่าไอ้ที่นั่งฉุกเฉินที่ติดกับประตูฉุกเฉินนี่มันคงมีทางเดินฉุกเฉินและอะไรฉุกเฉินเต็มไปหมด
ผมจึงถามกลับไปว่า
"แล้วมีที่นั่งริมหน้าต่างไหมครับตอนนี้"
พนักงานหนุ่มก้มหน้าเช็กในคอมพิวเตอร์ครู่นึง จึงตอบกลับมาว่า
"ตอนนี้เหลือที่นั่งฉุกเฉินริมทางเดินกับ ที่นั่งปกติแต่เป็นที่นั่งตรงกลางระหว่างผู้โดยสาร 2 ข้างนะครับ"
ผมชั่งใจคิดอยุ่ครู่หนึ่ง แล้วคิดว่าอย่างน้อยถ้านั่งริมทางเดินก็จะมีพนักเป็นของตัวเองข้างหนึ่งละน่ะ เลยตัดสินใจเลือกที่นั่งฉุกเฉินริมทางเดิน
"ดีเลยครับ ที่นั่งฉุกเฉินเนี่ยจะมีขนาดกว้างกว่าที่นั่งปกติ สามารถนั่งได้สบายเลยล่ะครับ"
พนักงานหนุ่มรับคำผมแล้วก้มหน้าง่วนอยู่กับอะไรสักอย่างหนึ่ง ซึ่งตามปกติแล้วมันไม่น่าจะนานขนาดนี้
สักพักพนักงานหนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นมาแล้วถามผมว่า
"คุณผู้โดยสารมีอาการปวดหลัง ปวดไหล่หรือเปล่าครับ"
"ห่ะ อะไรนะครับ" ผมได้ยินคำถามนี้ชัดเจนดี แต่เกิดอาการสงสัยว่าคำถามนี้มันเกี่ยวอะไรกับการออกตั๋วเครื่องบิน
"คุณผู้โดยสารมีอาการปวดแขน ปวดไหล่ หรือยกของหนักไม่ได้หรือเปล่าครับ"
อืม ผมไม่แน่ใจว่าคำถามนี้จะเกี่ยวอะไรแต่ก็ตอบไปตามตรง
"ตอนนี้ยังไม่ค่อยปวดครับ แต่บางทีนั่งทำงานนานๆก็ปวดไหล่เหมือนกัน"
ผมไม่แน่ใจว่าคำตอบที่ตอบไปนั้นตรงกับคำถามที่พนักงานหนุ่มถามผมหรือไม่ แต่อย่างไรก็แล้วแต่พนักงานหนุ่มก็ยื่นตั๋วเครื่องบินให้ผม
"เดินทางปลอดภัยนะครับ" พนักงานหนุ่มกล่าวส่งท้าย
อันที่จริงผมน่าจะรู้สึกตัวตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่านี่เป็นสัญญาณอะไรบางอย่าง
ตั้งแต่ตอนที่พนักงานหนุ่มพยายามเชื้อชวนให้ผมเลือกที่นั่งฉุกเฉินโดยความสมัครใจของผมเอง หรือตั้งแต่ตอนที่ผมซื้อน้ำหวานที่ขายเกินราคาจากร้านค้าในสนามบิน หรือตอนที่ผมเดินผ่านพนักงานรักษาความปลอดภัยที่บอกผมว่าผมไม่สามารถนำของเหลวพลางชี้ไปที่ขวดน้ำหวานที่ผมเพิ่งจะจิบไปได้นิดเดียวเข้ามาในบริเวณที่นั่งรอเครื่องบินได้ หรือตอนที่ผมต้องกระดกน้ำหวานขนาดความจุ 500 มิลลิลิตร ที่กะจะค่อยๆจิบขณะรอเครื่องบิน เป็นการกระดกทีเดียวหมดส่งผลให้ระดับน้ำตาลในร่างกายผมสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดนี้มันน่าจะเป็นสัญญาณที่บอกผมให้เตรียมตัวไว้ เหมือนที่ลุงเบนเคยบอกผมไว้ว่า
"ความสามารถอันยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง"
"ถ้าเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินบนเครื่องบิน แล้วเราต้องร่อนลงจอด คุณผู้โดยสารจะช่วยดิฉันเปิดประตูฉุกเฉินได้ไหมคะ"
เสียงของพนักงานต้อนรับสาวดึงผมออกมาจากภวังค์
"ได้เลยน้อง" ลุงผมยาวตัวอ้วนที่นั่งข้างผมตอบเสียงดังฟังชัดในขณะที่ผมและผู้โดยสารรอบๆตอบกันแบบงึมงำ
"ขอบคุณค่ะ ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินนะคะ เครื่องบินเราอาจต้องลงจอดอาจจะเป็นทางบกหรือทางน้ำ พอเครื่องบินจอดสนิท ทางเราต้องขอแรงคุณผู้โดยสารช่วยเปิดประตูฉุกเฉินด้วยนะคะ แต่หากคุณผู้โดยสารเห็นว่าข้างนอกนั้นมีเพลิงไหม้ หรือเห็นว่าเครื่องบินส่วนนั้นจมน้ำอยู่ ก็ไม่ต้องเปิดประตูฉุกเฉินนะคะ เราจะใช้ทางออกฉุกเฉินด้านหน้าและด้านหลังแทน ส่วนวิธีการเปิดนั้นเรามีคู่มืออยู่ในพนักด้านหน้าให้คุณผู้โดยสารลองอ่านดูนะคะ"
พนักงานต้อนรับสาวพูดจบพลางยิ้มละไม
"โอ้ เยี่ยมเลย ขอผมลองเปิดดูได้ไหม" ลุงผมยาวที่นั่งข้างผมเอ่ยปาก
ผมแอบคิดในใจว่าบางทีลุงแกอาจจะอยากลองเชิงหรือกวนตีน แต่พนักงานต้อนรับสาวเองก็ไม่ได้ยี่หระใดๆ บางทีอาจมีคนขอลองเปิดมาหลายครั้งแล้วก็ได้
"ไม่ได้นะคะ ประตูฉุกเฉินจะเปิดได้ก็ต่อเมื่อมีเหตุฉุกเฉินและเครื่องบินจอดสนิทเท่านั้นค่ะ" พนักงานต้อนรับสาวกล่าวเรียบๆแต่เด็ดขาด
คุณลุงเองก็ไม่ได้ต่อปากต่อคำอะไร แกหยิบคู่มือขึ้นมานั่งพลิกดู 2-3 ทีก่อนจะหยิบวางลงไปที่เดิม
พนักงานต้อนรับสาวมองไปรอบๆ ก่อนจะกล่าวขอบคุณกลุ่มผู้โดยสารที่ได้รับมอบหมายหน้าที่นี้อันได้แก่ คุณลุงผมยาวที่นั่งอยุ่ข้างผมกับแฟนของแก คู่ลุงป้าในที่นั่งข้างหน้าผม ฝรั่งที่นั่งอยู่คนเดียวตรงที่นั่งแถวข้างผมและผู้โดยสารปกติในที่นั่งเยื้องถัดไป
ตอนนี้ความหวังในการดูแลรักษาความปลอดภัยของผู้โดยสาร(ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน) ของเครื่องบินลำนี้ได้ตกอยู่ในความรับผิดชอบ (ส่วนน้อยนิด) ของผมแล้ว ผมเริ่มรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็น ลุงเลียม นีลสัน จาก Nonstop นี่สินะที่ว่าเขาว่าสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ ซึ่งผมคิดว่าไม่น่าจะมีผมคนเดียวที่รู้สึกแบบนี้ อย่างน้อยลุงผมยาวที่นั่งข้างผมก็น่าจะรู้สึกฮึดขึ้นมาเหมือนกัน สังเกตได้จากแกหันไปบอกแฟนของแกที่นั่งอยุ่ริมทางออกฉุกเฉินว่า
"นี่เธอน่ะ เรามาแลกที่กัน ฉันแข็งแรงกว่าเธอมีเหตุการณ์อะไรขึ้นมาจะได้ไม่เสียเวลา"
ลุงแกพูดจบก็ขยับตัวลุกขึ้นยืนแล้วสลับที่นั่งไปนั่งริมหน้าต่างแทนแฟนของแก
นี่สิคนไทยไม่ทิ้งกัน ผมชื่นชมในลุงร่างอ้วนผมยาวที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน ถ้าเราทุกคนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมาก่อนสังคมก็คงจะดีขึ้นไม่น้อย
คิดได้ดังนั้นผมจึงเริ่มทบทวนขั้นตอนการเปิดประตูฉุกเฉินจากรูปอินโฟกราฟฟิกที่มีไว้ให้ ประตูฉุกเฉินที่ว่านี้มีลักษณะไม่เหมือนประตูทั่วไป พูดง่ายๆคือไม่มีที่จับลูกบิดอะไรทั้งสิ้น ถ้ามันไม่มีคำว่าฉุกเฉินติดอยู่ ผมก็จะไม่สังเกตุด้วยซ้ำว่ามันคือประตู ขั้นตอนการเปิดเองก็ง่ายๆไม่มีอะไรซับซ้อน โดยเริ่มจากให้คุณใช้มือขวาทำการกระชากผนังบางที่ซ่อนที่เปิดประตูออกมา พอผนังส่วนนั้นหลุดออกมาแล้วคุณก็จะเห็นแกนสำหรับกระชากคล้ายพวกเบรกฉุกเฉินบนรถไฟฟ้า จากนั้นให้คุณกระชากเจ้าแกนจับที่ว่านั้น พร้อมกับประคองผนังส่วนล่างไว้ด้วย เพราะหลังจากดึงแกนจับลงมาแล้ว ผนังทั้งผนังจะหลุดออกมาเลย
ผมไม่แน่ใจว่าขั้นตอนหลังจากนี้จะเป็นยังไง เพราะตามรูปตัวอย่างอินโฟกราฟฟิกแล้วเป็นรูปผู้โดยสารอุ้มเจ้าประตูฉุกเฉินที่ว่านี้ไว้ ในนั้นไม่ได้บอกว่าให้ทิ้งไว้นอกเครื่องหรือว่าเก็บไว้กับตัว แต่ถ้าเป็นผม ผมอาจจะใช้เจ้าประตูฉุกเฉินนี่ล่ะเป็นเลื่อนแล้วไถลลงไปพร้อมกันเลย
ผมซักซ้อมขั้นตอนในใจจนคิดว่าจำได้แล้วจึงทำตัวปกติไม่ให้มีพิรุธ แล้วเฝ้ารอเหตุการณ์ฉุกเฉินที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ไม่นานนักพนักงานต้อนรับก็นำอาหารมาเสิร์ฟตามปกติ ผมก็ทำตัวตามปกติ ฟังเพลงบนไอพอดของผมตามปกติ เหตุการณ์ทุกอย่างดูปกติตามอย่างที่เที่ยวบินควรจะเป็น เรามีจังหวะตกหลุมอากาศตามปกติสัก 2-3 ครั้ง แต่นอกนั้นแล้วเที่ยวบินนี้ก็สงบดี ไม่มีเหตุการณ์ฉุกเฉินใดๆเกิดขึ้นเลย
ถ้าคุณบังเอิญได้ที่นั่งฉุกเฉิน ที่ติดกับประตูฉุกเฉิน ขอให้คุณรู้ไว้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่โอกาสที่คุณจะได้เป็นวีรบุรุษนั้นมาถึงแล้ว เดินทางปลอดภัยครับ
Thursday, September 25, 2014
Wednesday, September 24, 2014
Monday, September 15, 2014
Saturday, September 13, 2014
หนังสือน่าอ่าน
เล่นบ้าง เรียงตามช่วงอายุแบบเม้งละกัน
1. บ้านเล็กในป่าใหญ่ เป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวๆหนึ่ง ที่ใช้ชีวิตท่ามกลางป่าน้อย ก่อนจะย้ายไปสู่ป่าใหญ่ ตัวหนังสือเขียนโดย ลอร่า อิงกัล ไวเดอร์ ซึ่งเธอเล่าเรื่องชีวิตของเธอตั้งแต่สมัยเด็กมา หนังสือชุดนี้ประกอบไปด้วยทั้งหมด 7 เล่ม โดย5 เล่มแรกเป็นเรื่องของเธอและครอบครัวตั้งแต่เด็กจนโต เล่มที่ 6 เป็นเรื่องของ อัลแมนโซ ไวเดอร์ ซึ่งคือคู่ครองของเธอนั่นเอง และเล่มที่ 7 เป็นบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมด หนังสือชุดนี้น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการอ่านเลยก็ว่าได้ เป็นหนังสือชุดที่แม่ของผมชอบมาก ในตอนแรกๆผมยืมหนังสือชุดนี้จากห้องสมุดที่ รร.อัสสัมชัญแผนกประถม โดยยืมมาให้แม่อ่าน ต่อมาภายหลังผมจึงลองอ่านดูบ้าง และเป็นหนังสือชุดที่ยืมไปทั้งหมด 2 รอบในชีวิตนักเรียนประถม ก่อนจะมายืมอีกรอบนึงตอนชั้นมัธยม และในที่สุดก็ซื้อครบชุดตอนที่ห้างเดอะมอลล์(ละมั้ง) ขายแบบลดราคาอยู่
2. กระท่อมน้อยของลุงทอม หลังจากยืมหนังสือชุดบ้านเล็กรัวๆ ครูบรรณารักษ์จึงเริ่มแนะนำหนังสือให้อีกหลายเล่ม เล่มหนึ่งที่อยู่ในความทรงจำของผมคือ กระท่อมน้อยของลุงทอม ไม่ใช่เพราะเนื้อหาชีวิตอันน่ารัดทดและอดสู ชีวิตมันช่างบัดซบอะไรเช่นนี้ แต่เพราะความหนาและหนักของหนังสือเล่มนี้ในสมัยนั้น หนาระดับไบเบิ้ลกันเลยทีเดียว แต่สาเหตุหลักที่ผมยืมหนังสือเล่มนี้เพราะในโดราเอม่อนมีตอนหนึ่งที่โนบีตะ ที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ โดนห่าอะไรสักอย่างเข้าไปทำให้ติดหนังสืองอมแงมและเรื่องที่โนบีตะอ่านจนดึก น้ำตาไหลหรากคือเรื่องกระท่อมน้อยของลุงทอมนี่เอง
3. ห้าสหายผจญภัย โดย อีนิด ไบรตัน สมัยประถมที่โรงเรียนจะมีงานหนังสือเล็กๆให้นักเรียนซื้อไปอ่านเล่น ผมซื้อหนังสือชุดเล่มนี้มาหนึ่งเล่มโดยไม่รุ้ว่ามันคืออะไร และหลังจากนั้นเมื่อเจอหนังสือชุดเล่มนี้ที่ไหนก็จะซื้อไว้อ่าน ในตอนนั้นซื้อมาเปะปะมาก จนภายหลังแม่ของผมก็เลยซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดยกชุด โดยโทรไปสั่งที่สนพแก้วไทยกันเลยทีเดียว ความรู้สึกของเด็กประถมคนนึงในตอนนั้นคือตื้นตันจนเหลือจะกล่าว และยิ่งตื่นเต้นเมื่อรู้ว่าหนังสือชุดนี้มีถึง 20 กว่าเล่ม ซึ่งมานึกดูตอนมัธยมเพื่อนคนนึงมาบ้านแล้วขอยืมไปเกือบยกชุด แล้วตอนนี้มันเอามาคืนรึยังวะ... ห้าสหายผจญภัยได้รับความนิยมมาก จนนักเขียนอเมริกันเอามาเขียนต่อเป็นภาค 2 ซึ่งแน่นอนว่าความสนุกสู้คนเขียนต้นฉบับไม่ได้ นอกจากนี้คนเขียนยังเขียนชุด สี่เกลอผจญภัยอีก ซึ่งสนุกไม่แพ้กันและทำให้ผมได้รู้จักวรรณกรรมเด็ก
4. ล่องไพร โดยน้อย อินทนนน์ แม่งเอ้ย ถ้ามีหนังสือเล่มไหนที่เปิดจินตนาการให้กว้างไกลได้ละก็ หนังสือชุดนี้เป็นจุดเริ่มต้นเลยทีเดียว คนเขียนเล่าเรื่องราวของศักดิ๋ สุริยันพรานหนุ่ม กับตาเกิ้นคนนำทางคู่ใจ ที่ออกลุยป่าฝ่าดงแก้ไขปัญหาสัตว์รบกวนตามหมู่บ้านต่างๆ ภายในเรื่องมีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับป่า และความเชื่อแบบไทยๆผสมอยู่ตลอด
5. ยิ้มสี่ขา โดย เจมส์ แฮเรียต ถ้ามีหนังสือเล่มไหนที่อ่านแล้วยิ้มได้ก็ต้องหนังสือเล่มนี้เลย คนเขียนเป็นสัตว์แพทย์ทั้งสัตว์เล็กและใหญ่ โดยเนื้อหาเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตที่เขาต้องเจอทั้งคนและสัตว์ เนื้อหาดีไม่มีพิษภัยเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนที่อยากเป็นสัตวแพทย์ได้ดี
6. 4 ปีนรกในเขมร คนเขียนเป็นภรรยานักการฑูตชาวญี่ปุ่น ซึ่งเมื่อประสบเคราะห์ซ้ำกรรมซัดทั้งสามีและลูกตายลงในระหว่างอพยพ และหลังจากผ่านไป 4 ปี ตัวคนเขียนจึงหลุดออกมาจากนรกนั้นได้สำเร็จ สงครามไม่เคยให้คุณแก่ใคร
7. อย่ากระนั้นเลย แปลโดยมนันยา รวมเรื่องสั้นแปล มีเรื่องที่น่าสนใจหลายเรื่อง บางเรื่องคิดได้ไง และบางเรื่องเหมือนเคยอ่านเจอในขายหัวเราะ เป็นงานเขียนที่ทำให้รู้จักคำว่าสำนวนฝรั่ง
8. สยองขวัญ โดย เอโดงาวะ รัมโป เล่มนี้อ่านครั้งแรกสมัยประถมโดยยืมมาจากห้องสมุด และไม่นานมานี้เพิ่งซื้อฉบับพิมพ์ใหม่โดยสำนักพิมพ์ผีเสื้อ ไม่น่าเชื่อว่าความสยองในวัยเด็กยังคงสยองอยู่ในวัยโต เรื่องที่ชอบคือเรื่องเก้าอี้มนุษย์
9. Yellow cabby โดย smartupid คนเขียนเคยขับแท๊กซี่ในนิวยอร์กและเขียนเล่าเรื่องราวได้สนุกมาก ผมตามอ่านมาตั้งแต่สมัยแกโพสลงพันทิปแรกๆ จนเมื่อรวมเล่มจึงไม่รีรอที่จะซื้อเก็บ
10. เหมืองแร่ โดย อาจินต์ ปัญจพรรค์ เรื่องของเด็กหนุ่มเมืองคนหนึ่งที่จับพลัดจับพลูไปทำงานที่เหมืองแร่ในภาค ใต้ และระหว่างทำงานก็ได้เจอผู้คนหลากหลายทั้งดีและไม่ดี
11. Nightmare &dreamscapes โดยสตีเฟ่นคิง รวมเรื่องสั้นของสตีเฟ่นคิง ชอบการบรรยานและการเล่าเรื่องของสตีเฟ่นคิงที่ทำให้รุ้สึกเหมือนกับเราเข้า ไปอยู่ในเรื่องนั้นๆด้วยตัวเอง การเล่าเรื่องที่ทำให้คนอ่านคล้อยตามก่อนจะถูกปล่อยทิ้งไว้ในสถานการณ์อัน น่ากระอักกระอ่วนไม่รู้จะทำยังไง และตกหลุมพรางของคนเขียน สุดท้ายก็ต้องจำยอมรับสภาพต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
12. Sputnik sweetheart เรื่องนี้เป็นหนังสือของฮารูกิ มุราคามิเล่มที่ 6 ที่อ่าน เชื่อไหมว่าไอ้ 5 เล่มก่อนหน้านี้ผมอ่านโดยหาความสนุกไม่เจอ แต่ทนอ่านเพราะเพื่อนแนะนำกันว่าดี จวบจนเล่มที่ 6 คือเล่มนี้ หลังจากอ่านจบรอบแรกเหมือนมีอะไรสักอย่างคลิก แล้วทำให้รู้สึกว่า เฮ้ย มันก็สนุกดีนี่หว่า หลังจากนั้นจึงย้อนไปอ่านไอ้ 5 เล่มตอนแรกใหม่ และตามอ่านงานของมุราคามิมาเรื่อยๆตั้งแต่นั้น
13. เพชรพระอุมา โดย พนมเทียน อ่านหนังสือชุดนี้ครั้งแรกตอนทำทีสิส เพื่อเป็นหัวข้อประกอบทีสิส ใช้เวลาอ่านภาคแรกอยู่ราวอาทิตย์นึง โดยอ่านตั้งแต่ 4 ทุ่มถึง 6 โมงเช้าทุกวัน เรื่องที่น่าสนุกคือผมยืมหนังสือชุดนี้ที่หอกลาง และจะแข่งกันยืมกับนิสิตอีกคนที่มายืมหนังสือชุดนี้เช่นกัน ที่สำคัญคือเริ่มอ่านไล่ๆกันดังนั้นเวลายืมก็จะโดนตัดหน้าบ้าง ตัดหน้าเขาบ้างสลับกัน บางครั้งแก้ปัญหาโดยการหาฉบับพิมพ์ครั้งอื่นที่เลขหน้าแม่งรันทีเดียวโดยไม่ ได้นับใหม่เมื่อขึ้นเล่มใหม่ ก็ต้องมานั่งสุ่มว่ามันน่าจะประมาณเล่มนี้ หรือบางครั้งก็ไปยืมที่ห้องสมุดคณะอื่นเป็นต้น
14.Goth คดีฆ่าตัดข้อมือ เป็นเรื่องเกี่ยวกับนักเรียนมัธยมชายหญิงคู่นึง ที่มีงานอดิเรกที่ไม่เหมือนใคร งานอดิเรกที่ว่าคือการดูศพ และเรื่องยิ่งน่าสนุกขึ้นเมื่อทั้งคู่เจอสมุดบันทึกของฆาตกร การดูศพและตามหาฆาตกรต่อเนื่องไปด้วยจึงเริ่มขึ้น ตัวหนังสือบรรยายได้เงียบและเยือกเย็นมากผสมกับความจิตหน่อยของทั้งคู่ทำให้ หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจ
15. หนังสือรัก โดยผมอยุ่ข้างหลังคุณ คนเขียนเป็นจิตแพทย์ และชอบดูหนัง หนังแต่ละเรื่องจึงมีการถอดความภาษาหนังออกมาเป็นบทวิเคราะห์ทางจิต หนังสือเล่มนี้จึงรวมบทวิเคราะห์เรื่องความรักจากมุมมองของหนังออกมาได้เป็น อย่างดี ดังคำที่ว่าดูหนัง ดูละคร แล้วย้อนดูตัวเอง
16. มูซาชิ เล่มนี้อ่านตามไอ้ชูทมั้งถ้าจำไม่ผิด และด้วยความชอบจึงซื้อเก็บไว้ เล่มนี้เป็นเล่มที่ผมจะหยิบออกมาอ่านซ้ำเป็นช่วงๆ โดยในแต่ละช่วงเวลาที่อ่านหนังสือเล่มนี้ก็จะได้แง่คิดใหม่ๆขึ้นมาตามช่วง เวลาในตอนนั้น เป็นหนังสือที่ถ้ารู้สึกเคว้งคว้างมีไว้อ่านก็น่าจะเหมาะดี
17. จะเล่าให้คุณฟัง เป็นเล่มที่ค่อยๆอ่านอยู่ ตัวหนังสือเป็นเรื่องเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่มีปัญกาชีวิตจึงมาปรึกษา จิตแพทย์ ในการมาแต่ละครั้ง ปัญหาที่ชายคนนั้นมีก็แตกต่างกันไป จิตแพทย์ก็จะเล่านิทานเรื่องนึงให้ชายคนนั้นฟัง การมองเรื่องของตนในมุมมองบุคคลที่สาม บางครั้งก็ทำให้ปัญหาที่อยู่ต่อหน้าดูเป็นเรื่องง่ายๆ เมื่อมองออกมาจากมุมที่ไกลขึ้นนิดนึง
1. บ้านเล็กในป่าใหญ่ เป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวๆหนึ่ง ที่ใช้ชีวิตท่ามกลางป่าน้อย ก่อนจะย้ายไปสู่ป่าใหญ่ ตัวหนังสือเขียนโดย ลอร่า อิงกัล ไวเดอร์ ซึ่งเธอเล่าเรื่องชีวิตของเธอตั้งแต่สมัยเด็กมา หนังสือชุดนี้ประกอบไปด้วยทั้งหมด 7 เล่ม โดย5 เล่มแรกเป็นเรื่องของเธอและครอบครัวตั้งแต่เด็กจนโต เล่มที่ 6 เป็นเรื่องของ อัลแมนโซ ไวเดอร์ ซึ่งคือคู่ครองของเธอนั่นเอง และเล่มที่ 7 เป็นบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมด หนังสือชุดนี้น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการอ่านเลยก็ว่าได้ เป็นหนังสือชุดที่แม่ของผมชอบมาก ในตอนแรกๆผมยืมหนังสือชุดนี้จากห้องสมุดที่ รร.อัสสัมชัญแผนกประถม โดยยืมมาให้แม่อ่าน ต่อมาภายหลังผมจึงลองอ่านดูบ้าง และเป็นหนังสือชุดที่ยืมไปทั้งหมด 2 รอบในชีวิตนักเรียนประถม ก่อนจะมายืมอีกรอบนึงตอนชั้นมัธยม และในที่สุดก็ซื้อครบชุดตอนที่ห้างเดอะมอลล์(ละมั้ง) ขายแบบลดราคาอยู่
2. กระท่อมน้อยของลุงทอม หลังจากยืมหนังสือชุดบ้านเล็กรัวๆ ครูบรรณารักษ์จึงเริ่มแนะนำหนังสือให้อีกหลายเล่ม เล่มหนึ่งที่อยู่ในความทรงจำของผมคือ กระท่อมน้อยของลุงทอม ไม่ใช่เพราะเนื้อหาชีวิตอันน่ารัดทดและอดสู ชีวิตมันช่างบัดซบอะไรเช่นนี้ แต่เพราะความหนาและหนักของหนังสือเล่มนี้ในสมัยนั้น หนาระดับไบเบิ้ลกันเลยทีเดียว แต่สาเหตุหลักที่ผมยืมหนังสือเล่มนี้เพราะในโดราเอม่อนมีตอนหนึ่งที่โนบีตะ ที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ โดนห่าอะไรสักอย่างเข้าไปทำให้ติดหนังสืองอมแงมและเรื่องที่โนบีตะอ่านจนดึก น้ำตาไหลหรากคือเรื่องกระท่อมน้อยของลุงทอมนี่เอง
3. ห้าสหายผจญภัย โดย อีนิด ไบรตัน สมัยประถมที่โรงเรียนจะมีงานหนังสือเล็กๆให้นักเรียนซื้อไปอ่านเล่น ผมซื้อหนังสือชุดเล่มนี้มาหนึ่งเล่มโดยไม่รุ้ว่ามันคืออะไร และหลังจากนั้นเมื่อเจอหนังสือชุดเล่มนี้ที่ไหนก็จะซื้อไว้อ่าน ในตอนนั้นซื้อมาเปะปะมาก จนภายหลังแม่ของผมก็เลยซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดยกชุด โดยโทรไปสั่งที่สนพแก้วไทยกันเลยทีเดียว ความรู้สึกของเด็กประถมคนนึงในตอนนั้นคือตื้นตันจนเหลือจะกล่าว และยิ่งตื่นเต้นเมื่อรู้ว่าหนังสือชุดนี้มีถึง 20 กว่าเล่ม ซึ่งมานึกดูตอนมัธยมเพื่อนคนนึงมาบ้านแล้วขอยืมไปเกือบยกชุด แล้วตอนนี้มันเอามาคืนรึยังวะ... ห้าสหายผจญภัยได้รับความนิยมมาก จนนักเขียนอเมริกันเอามาเขียนต่อเป็นภาค 2 ซึ่งแน่นอนว่าความสนุกสู้คนเขียนต้นฉบับไม่ได้ นอกจากนี้คนเขียนยังเขียนชุด สี่เกลอผจญภัยอีก ซึ่งสนุกไม่แพ้กันและทำให้ผมได้รู้จักวรรณกรรมเด็ก
4. ล่องไพร โดยน้อย อินทนนน์ แม่งเอ้ย ถ้ามีหนังสือเล่มไหนที่เปิดจินตนาการให้กว้างไกลได้ละก็ หนังสือชุดนี้เป็นจุดเริ่มต้นเลยทีเดียว คนเขียนเล่าเรื่องราวของศักดิ๋ สุริยันพรานหนุ่ม กับตาเกิ้นคนนำทางคู่ใจ ที่ออกลุยป่าฝ่าดงแก้ไขปัญหาสัตว์รบกวนตามหมู่บ้านต่างๆ ภายในเรื่องมีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับป่า และความเชื่อแบบไทยๆผสมอยู่ตลอด
5. ยิ้มสี่ขา โดย เจมส์ แฮเรียต ถ้ามีหนังสือเล่มไหนที่อ่านแล้วยิ้มได้ก็ต้องหนังสือเล่มนี้เลย คนเขียนเป็นสัตว์แพทย์ทั้งสัตว์เล็กและใหญ่ โดยเนื้อหาเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตที่เขาต้องเจอทั้งคนและสัตว์ เนื้อหาดีไม่มีพิษภัยเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนที่อยากเป็นสัตวแพทย์ได้ดี
6. 4 ปีนรกในเขมร คนเขียนเป็นภรรยานักการฑูตชาวญี่ปุ่น ซึ่งเมื่อประสบเคราะห์ซ้ำกรรมซัดทั้งสามีและลูกตายลงในระหว่างอพยพ และหลังจากผ่านไป 4 ปี ตัวคนเขียนจึงหลุดออกมาจากนรกนั้นได้สำเร็จ สงครามไม่เคยให้คุณแก่ใคร
7. อย่ากระนั้นเลย แปลโดยมนันยา รวมเรื่องสั้นแปล มีเรื่องที่น่าสนใจหลายเรื่อง บางเรื่องคิดได้ไง และบางเรื่องเหมือนเคยอ่านเจอในขายหัวเราะ เป็นงานเขียนที่ทำให้รู้จักคำว่าสำนวนฝรั่ง
8. สยองขวัญ โดย เอโดงาวะ รัมโป เล่มนี้อ่านครั้งแรกสมัยประถมโดยยืมมาจากห้องสมุด และไม่นานมานี้เพิ่งซื้อฉบับพิมพ์ใหม่โดยสำนักพิมพ์ผีเสื้อ ไม่น่าเชื่อว่าความสยองในวัยเด็กยังคงสยองอยู่ในวัยโต เรื่องที่ชอบคือเรื่องเก้าอี้มนุษย์
9. Yellow cabby โดย smartupid คนเขียนเคยขับแท๊กซี่ในนิวยอร์กและเขียนเล่าเรื่องราวได้สนุกมาก ผมตามอ่านมาตั้งแต่สมัยแกโพสลงพันทิปแรกๆ จนเมื่อรวมเล่มจึงไม่รีรอที่จะซื้อเก็บ
10. เหมืองแร่ โดย อาจินต์ ปัญจพรรค์ เรื่องของเด็กหนุ่มเมืองคนหนึ่งที่จับพลัดจับพลูไปทำงานที่เหมืองแร่ในภาค ใต้ และระหว่างทำงานก็ได้เจอผู้คนหลากหลายทั้งดีและไม่ดี
11. Nightmare &dreamscapes โดยสตีเฟ่นคิง รวมเรื่องสั้นของสตีเฟ่นคิง ชอบการบรรยานและการเล่าเรื่องของสตีเฟ่นคิงที่ทำให้รุ้สึกเหมือนกับเราเข้า ไปอยู่ในเรื่องนั้นๆด้วยตัวเอง การเล่าเรื่องที่ทำให้คนอ่านคล้อยตามก่อนจะถูกปล่อยทิ้งไว้ในสถานการณ์อัน น่ากระอักกระอ่วนไม่รู้จะทำยังไง และตกหลุมพรางของคนเขียน สุดท้ายก็ต้องจำยอมรับสภาพต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
12. Sputnik sweetheart เรื่องนี้เป็นหนังสือของฮารูกิ มุราคามิเล่มที่ 6 ที่อ่าน เชื่อไหมว่าไอ้ 5 เล่มก่อนหน้านี้ผมอ่านโดยหาความสนุกไม่เจอ แต่ทนอ่านเพราะเพื่อนแนะนำกันว่าดี จวบจนเล่มที่ 6 คือเล่มนี้ หลังจากอ่านจบรอบแรกเหมือนมีอะไรสักอย่างคลิก แล้วทำให้รู้สึกว่า เฮ้ย มันก็สนุกดีนี่หว่า หลังจากนั้นจึงย้อนไปอ่านไอ้ 5 เล่มตอนแรกใหม่ และตามอ่านงานของมุราคามิมาเรื่อยๆตั้งแต่นั้น
13. เพชรพระอุมา โดย พนมเทียน อ่านหนังสือชุดนี้ครั้งแรกตอนทำทีสิส เพื่อเป็นหัวข้อประกอบทีสิส ใช้เวลาอ่านภาคแรกอยู่ราวอาทิตย์นึง โดยอ่านตั้งแต่ 4 ทุ่มถึง 6 โมงเช้าทุกวัน เรื่องที่น่าสนุกคือผมยืมหนังสือชุดนี้ที่หอกลาง และจะแข่งกันยืมกับนิสิตอีกคนที่มายืมหนังสือชุดนี้เช่นกัน ที่สำคัญคือเริ่มอ่านไล่ๆกันดังนั้นเวลายืมก็จะโดนตัดหน้าบ้าง ตัดหน้าเขาบ้างสลับกัน บางครั้งแก้ปัญหาโดยการหาฉบับพิมพ์ครั้งอื่นที่เลขหน้าแม่งรันทีเดียวโดยไม่ ได้นับใหม่เมื่อขึ้นเล่มใหม่ ก็ต้องมานั่งสุ่มว่ามันน่าจะประมาณเล่มนี้ หรือบางครั้งก็ไปยืมที่ห้องสมุดคณะอื่นเป็นต้น
14.Goth คดีฆ่าตัดข้อมือ เป็นเรื่องเกี่ยวกับนักเรียนมัธยมชายหญิงคู่นึง ที่มีงานอดิเรกที่ไม่เหมือนใคร งานอดิเรกที่ว่าคือการดูศพ และเรื่องยิ่งน่าสนุกขึ้นเมื่อทั้งคู่เจอสมุดบันทึกของฆาตกร การดูศพและตามหาฆาตกรต่อเนื่องไปด้วยจึงเริ่มขึ้น ตัวหนังสือบรรยายได้เงียบและเยือกเย็นมากผสมกับความจิตหน่อยของทั้งคู่ทำให้ หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจ
15. หนังสือรัก โดยผมอยุ่ข้างหลังคุณ คนเขียนเป็นจิตแพทย์ และชอบดูหนัง หนังแต่ละเรื่องจึงมีการถอดความภาษาหนังออกมาเป็นบทวิเคราะห์ทางจิต หนังสือเล่มนี้จึงรวมบทวิเคราะห์เรื่องความรักจากมุมมองของหนังออกมาได้เป็น อย่างดี ดังคำที่ว่าดูหนัง ดูละคร แล้วย้อนดูตัวเอง
16. มูซาชิ เล่มนี้อ่านตามไอ้ชูทมั้งถ้าจำไม่ผิด และด้วยความชอบจึงซื้อเก็บไว้ เล่มนี้เป็นเล่มที่ผมจะหยิบออกมาอ่านซ้ำเป็นช่วงๆ โดยในแต่ละช่วงเวลาที่อ่านหนังสือเล่มนี้ก็จะได้แง่คิดใหม่ๆขึ้นมาตามช่วง เวลาในตอนนั้น เป็นหนังสือที่ถ้ารู้สึกเคว้งคว้างมีไว้อ่านก็น่าจะเหมาะดี
17. จะเล่าให้คุณฟัง เป็นเล่มที่ค่อยๆอ่านอยู่ ตัวหนังสือเป็นเรื่องเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่มีปัญกาชีวิตจึงมาปรึกษา จิตแพทย์ ในการมาแต่ละครั้ง ปัญหาที่ชายคนนั้นมีก็แตกต่างกันไป จิตแพทย์ก็จะเล่านิทานเรื่องนึงให้ชายคนนั้นฟัง การมองเรื่องของตนในมุมมองบุคคลที่สาม บางครั้งก็ทำให้ปัญหาที่อยู่ต่อหน้าดูเป็นเรื่องง่ายๆ เมื่อมองออกมาจากมุมที่ไกลขึ้นนิดนึง
Monday, September 8, 2014
ที่ทำพาสปอร์ท
นึกถึงเมื่อหลายปีก่อน ตอนไปทำพาสปอร์ทเพื่อจะไปอเมริกา
จำได้ว่าไปทำที่เซ็นทรัลบางนา ที่สมัยนั้นที่ทำพาสปอร์ทไม่ได้ดูดีเหมือนตอนนี้
คนไปทำตอนนั้นเยอะมาก เราได้คิวก็ทำตามขั้นตอนไปจนเสร็จเหลือแค่รอรับพาสปอร์ท แต่โชคร้ายติดพักเที่ยงก็นั่งหง่าวไปอีกชั่วโมง
จนพอบ่ายเขาก็กลับมาทำงานกันอีกรอบ พนักงานหญิงวัยกลางคนก็ประกาศเรียกชื่อทีละคนให้มารับพาสปอร์ท
ซึ่งตอนรับต้องสแกนนิ้วชี้ด้วย ผมจำไม่ค่อยได้ว่ามันอยู่ในขั้นตอนอะไร แต่สแกนนิ้วเสร็จก็จะรับพาสปอร์ทได้
ทีนี้ด้วยความที่คงจะพูดจนเหนื่อย เพราะต้องคอยบอกทีละคนว่า สแกนนิ้วชี้ๆ เพราะบางคนฟังบ้างไม่ฟังบ้าง
พนักงานคนนั้นคงเกิดอากาศหงุดหงิด เลยเหวี่ยงใส่คนที่มารับแล้วสแกนนิ้วผิดบ้าง นิ้วไม่ตรงบ้าง
คนที่นั่งรอรับก็ลุ้นอยู่ในใจว่าถึงคราวไปรับจะโดนเหวี่ยงใส่ไหม
บรรยากาศก็มาคุพอสมควร จนกระทั่งถึงพี่ผู้ชายคนนึงเดินไปรับ
"สแกนนิ้วด้วย" พนักงานพูด
"......." พี่ผู้ชายพูดอะไรสักอย่างกับพนักงานด้วยเสียงที่เบามาก
พนักงานคงหงุดหงิด เลยตะโกนใส่ไมค์ว่า "สแกนนิ้วชี้ด้วย นิ้วชี้น่ะ นิ้วชี้!"
ถึงตอนนี้ทุกคนรอบๆหันมามองว่าเกิดอะไรขึ้น
พี่ผู้ชายคนนั้นอึกอักอยู่พักนึงก่อนพูดขึ้นมาเสียงดังว่า
"ผมไม่มีนิ้วชี้ครับ"
ทุกคนเงียบ
พี่ผู้ชายก็เงียบ
พนักงานก็เงียบ ก่อนที่จะทำอะไรสักอย่างหนึ่งแล้วพี่ผู้ชายคนนั้นก็รับพาสปอร์ทไป
แล้วบรรยากาศในห้องรอก็กลับมาเป็นปกติ พนักงานคนนั้นก็ไม่ได้เหวี่ยงใส่ใครอีกเลย
จำได้ว่าไปทำที่เซ็นทรัลบางนา ที่สมัยนั้นที่ทำพาสปอร์ทไม่ได้ดูดีเหมือนตอนนี้
คนไปทำตอนนั้นเยอะมาก เราได้คิวก็ทำตามขั้นตอนไปจนเสร็จเหลือแค่รอรับพาสปอร์ท แต่โชคร้ายติดพักเที่ยงก็นั่งหง่าวไปอีกชั่วโมง
จนพอบ่ายเขาก็กลับมาทำงานกันอีกรอบ พนักงานหญิงวัยกลางคนก็ประกาศเรียกชื่อทีละคนให้มารับพาสปอร์ท
ซึ่งตอนรับต้องสแกนนิ้วชี้ด้วย ผมจำไม่ค่อยได้ว่ามันอยู่ในขั้นตอนอะไร แต่สแกนนิ้วเสร็จก็จะรับพาสปอร์ทได้
ทีนี้ด้วยความที่คงจะพูดจนเหนื่อย เพราะต้องคอยบอกทีละคนว่า สแกนนิ้วชี้ๆ เพราะบางคนฟังบ้างไม่ฟังบ้าง
พนักงานคนนั้นคงเกิดอากาศหงุดหงิด เลยเหวี่ยงใส่คนที่มารับแล้วสแกนนิ้วผิดบ้าง นิ้วไม่ตรงบ้าง
คนที่นั่งรอรับก็ลุ้นอยู่ในใจว่าถึงคราวไปรับจะโดนเหวี่ยงใส่ไหม
บรรยากาศก็มาคุพอสมควร จนกระทั่งถึงพี่ผู้ชายคนนึงเดินไปรับ
"สแกนนิ้วด้วย" พนักงานพูด
"......." พี่ผู้ชายพูดอะไรสักอย่างกับพนักงานด้วยเสียงที่เบามาก
พนักงานคงหงุดหงิด เลยตะโกนใส่ไมค์ว่า "สแกนนิ้วชี้ด้วย นิ้วชี้น่ะ นิ้วชี้!"
ถึงตอนนี้ทุกคนรอบๆหันมามองว่าเกิดอะไรขึ้น
พี่ผู้ชายคนนั้นอึกอักอยู่พักนึงก่อนพูดขึ้นมาเสียงดังว่า
"ผมไม่มีนิ้วชี้ครับ"
ทุกคนเงียบ
พี่ผู้ชายก็เงียบ
พนักงานก็เงียบ ก่อนที่จะทำอะไรสักอย่างหนึ่งแล้วพี่ผู้ชายคนนั้นก็รับพาสปอร์ทไป
แล้วบรรยากาศในห้องรอก็กลับมาเป็นปกติ พนักงานคนนั้นก็ไม่ได้เหวี่ยงใส่ใครอีกเลย
Subscribe to:
Posts (Atom)