ผมย่ำเท้าลงไปบนพื้นยางมะตอยบนถนนทางหลวงที่ซึ่งปกติจะมีรถยนต์วิ่งผ่านไปมาส่งเสียงครางกระหึ่มของเครื่องยนต์ไปตามทาง แต่ในเวลาที่ไม่ปกติเช่นนี้จึงมีเพียงเสียงของรองเท้าผ้าใบบดกับพื้นดังเป็นจังหวะตามการก้าวของผม ขณะนี้เป็นเวลาตีห้าครึ่งแล้ว อากาศกำลังเย็นสบายวิ่งได้เรื่อยๆ และยังพอมีเวลาอีกราวครึ่งชั่วโมงก่อนที่แสงแรกของยามเช้าจะเริ่มขึ้นตามมาด้วยแดดอันอบอุ่นก่อนจะเปลี่ยนเป็นแผดเผาในช่วงสายของวัน ดังนั้นแล้วเวลานี้จึงเป็นเวลาที่เหมาะกับการวิ่งมาก ถึงแม้ว่าจะยังไม่สว่างก็เถอะ แต่ผมก็ยังพอมองเห็นทางสลัวๆอยู่บ้าง
การวิ่งมาราธอนครั้งนี้ ตัวผมเองก็จำไม่ได้ว่านี่เป็นรายการที่เท่าไหร่แล้วที่ผมได้ลงแข่งขันไป แต่ถึงแม้จะพูดว่าผ่านมาหลายรายการแล้วก็เถอะ ตัวผมเองนั้นไม่ได้สนใจเรื่องลำดับที่ได้เลยสักนิดเดียวและผมก็ไม่ใช่คนที่จะถ่อมาวิ่งมาราธอนเพื่อสุขภาพหรือจับกลุ่มออกกำลังกายกับใครก็ตาม ผมมักจะมาวิ่งคนเดียวในทุกๆรายการ และนั่นก็เป็นสาเหตุหลักที่ผมชอบวิ่งมาราธอนคือ ผมจะได้มีเวลาคุยกับตัวเอง
จริงอยู่ที่ว่า ผมน่ะจะคุยกับตัวเองตอนไหนก็น่าจะได้นี่ ไม่ว่าจะตอนทำงาน ตอนกินข้าว ตอนอาบน้ำหรือขณะนั่งเฉยๆก็ตาม ถ้าผมอยากคุยกับตัวเองนั้นแน่นอนว่าผมย่อมทำได้อยุ่แล้ว และสามารถทำได้โดยไม่มีใครรู้ก็ได้ ถ้างั้นแล้วทำไมผมต้องถ่อมาไกลเพื่อวิ่งมาราธอนแบบนี้ล่ะ ผมมาวิ่งเพื่อที่จะได้มีสมาธิขณะคุยกับตัวเอง ซึ่งสมาธิที่ว่านี่มันไม่เหมือนกับการนั่งสมาธิ แต่การวิ่งเพื่อให้เกิดสมาธิและทำการคุยกับตัวเองในขณะอยู่ในห้วงสมาธินั้น มันทำให้ผมรุ้สึกว่าผมคุยกับตัวผมเองได้สนิทกว่า ในขณะที่สมาธิของตัวผมจดจ่ออยู่กับการวิ่ง เมื่อผมถามคำถามขึ้นมา คำตอบที่ได้รับมักจะเป็นคำตอบที่ไม่เจือปน สมาธิไม่ได้ไปปรุงแต่งคำตอบของผมเพื่อให้ผมรู้สึกพอใจ แต่เป็นคำตอบที่ออกมาจากส่วนลึกของจิตใจในขณะนั้น ซึ่งช่วงเวลานี้เองที่ผมเพลิดเพลินกับการคุยกับตัวเองมาก คำถามซับซ้อนหลายอย่าง พอมาย้อนคิดอีกที บางครั้งผมเองก็ยังไม่อยากเชื่อเลยว่าตัวผมเองจะสามารถตอบคำถามเหล่านั้นได้ ขณะเดียวกันคำถามธรรมดาเรียบๆก็ได้รับคำตอบที่น่าสนใจเช่นกันไม่น้อย อย่างเช่น คำถามธรรมดาๆอย่าง ชีวิตนี้เราเกิดมาเพื่ออะไร
ผมมองเห็นเงาตะคุ่มอยู่ข้างหน้าไม่ไกลเท่าไหร่นัก ผมคิดว่าคงเป็นนักวิ่งที่มาแข่งรายการนี้เหมือนกัน
ผมจึงเร่งฝีเท้าเข้าไปใกล้ๆ นัยว่าจะได้มีเพื่อนวิ่งไปข้างกันเสียหน่อย เพราะผมคิดว่าผมคุยกับตัวเองมาพอแล้วสำหรับวันนี้ การได้คุยกับคนอื่นบ้างก็คงดีไม่น้อย เงาข้างหน้าเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆตามจังหวะความเร็วของผม และในระยะ 5 เมตรข้างหน้านั้น ผมก็เห็นเงานั้นได้อย่างชัดเจน อาจจะชัดเกินไปจนผมคิดว่าผมตาฝาด ทำให้ผมต้องขยี้ตาทีละข้างก่อนที่จะมองไปที่เงานั้นอีกครั้งนึง และภาพตรงหน้าก็ยืนยันในสิ่งที่ผมคิดไว้
ผมเห็นปลาแซลม่อนตัวนึง
ถ้าจะพูดให้ถูก ผมก็ไม่แน่ใจว่าเรียกว่าปลาแซลม่อนจะเหมาะไหม เพราะถ้าขึ้นชื่อว่าปลาก็น่าจะต้องเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในน้ำสิ แต่ปลาแซลม่อนที่ผมเห็นตอนนี้อยู่บนบก ตัวเป็นๆยังมีชีวิตอยู่ไม่ได้นอนพะงาบบนก้อนน้ำแข็ง และไม่ใช่ในซุปเปอร์มาเก็ตหรือร้านอาหารญี่ปุ่น แต่อยู่ข้างหน้าผมนี่เองและที่สำคัญปลาแซลม่อนตัวนี้กำลังวิ่งอยู่ แถมอยู่ในชุดวิ่งเสียด้วยไม่ว่าจะเป็นเสื้อกล้ามติดเบอร์แข่งขันของรายการ กางเกงขาสั้นและรองเท้าวิ่ง
จริงอยู่ว่าไม่มีกฏในการสมัครข้อไหนที่บอกว่าห้ามปลาแซลม่อนมาสมัครลงแข่งขัน เนื่องด้วยทางผู้จัดคงไม่คิดว่าจะมีปลาแซลม่อนที่ไหนมาลงสมัครแข่งขันจริงๆแต่ปลาแซลม่อนสติดีที่ไหนล่ะจะมาวิ่งมาราธอนตอนเช้าๆแบบนี้
ผมเร่งฝีเท้าขึ้นไปขนาบข้างปลาแซลม่อน ปลาแซลม่อนตัวนี้ก็มีลักษณะเหมือนปลาแซลม่อนทั่วไป หัวกลมมน มีจงอยปากเล็กน้อย จังหวะที่ปลาแซลม่อนขยับขึ้นลงตามจังหวะเท้าทำให้เสื้อเผยอเล็กน้อยผมแอบมองเข้าไปข้างในเห็นเป็นเกล็ดสีน้ำเงินที่ตอนนี้เป็นมันเลื่อมจากเหงื่อ ผมมองใบหน้าที่เรียบเฉยปราศจากสีหน้าของปลาแซลม่อน ยังไงปลาแซลม่อนก็ยังต้องการน้ำอยู่นี่นา ถ้าวิ่งบนบกนานๆแบบนี้ก็น่าจะเหนื่อยล่ะ ผมคิดในใจ
ปลาแซลม่อนหันมามองผมแล้วผงกหัวให้ก่อนจะหันกลับไปมองทางตามเดิม
เอาล่ะ ผมตัดสินใจ ในชีวิตนี้ผมยังไม่เคยคุยกับปลาแซลม่อนมาก่อน งั้นลองสักครั้งจะเป็นอะไรไปแถมโอกาสแบบนี้ไม่ได้มาง่ายๆอีกด้วย
"เอ้อ ขอโทษเถอะครับ คุณ อ่า" ผมนึกคำที่พูดต่อไม่ออก ตอนนี้ในหัวของผมมีแต่คำถามวิ่งไปมาจนจับไม่ถูก
"ครับ" คุณแซลม่อนรับคำ
ผมตัดสินใจว่าจะเรียกว่าคุณแซลม่อนแทนปลาแซลม่อน อย่างน้อยคำนี้ก็เป็นคำสุภาพไม่เฉพาะเจาะจงอะไรแถมไม่ระบุเพศอีกด้วย
"วันนี้ อากาศดีนะครับ" ผมลองหยั่งเชิงด้วยเรื่องลมฟ้าอากาศที่น่าจะเป็นเรื่องที่ใช้คุยกันได้ทุกสถานะการณ์แม้กับคนแปลกหน้า
"ใช่เลย อากาศตอนนี้เยี่ยมมากเลยครับ แดดยังไม่มา ลมเย็นสบายเหมาะแก่การวิ่งที่สุดแล้วครับ" คุณแซลม่อนตอบ
เราวิ่งคู่กันไปเป็นระยะทางพอควร เพียงพอที่ผมคิดว่ามันช่วยย่นระยะคนแปลกหน้าระหว่างกันลงไปได้สักจำนวนหนึ่ง ผมจึงเริ่มถามคำถามกับคุณแซลม่อน
"เอางี้ อย่าหาว่าละลาบละล้วงอะไรเลยนะ แต่ผมขอถามคุณหน่อยเหอะว่าคุณมาวิ่งทำไม"
คุณแซลม่อนหันมามองหน้าผมแวบนึงก่อนจะหันกลับไปมองทางข้างหน้าเหมือนเดิม
"อืม นั่นสินะ ผมมาวิ่งทำไม" คุณแซลม่อนพูดขึ้นมาลอยๆ
ผมไม่แน่ใจว่าไปพูดอะไรเสียมารยาทหรือเปล่า เลยเลือกที่จะเงียบเสียดีกว่า
"จะว่าไปแล้ว นี่น่ะเป็นการวิ่งมาราธอนครั้งแรกของผมเลย" คุณแซลม่อนพูดขึ้นมา
"ครั้งแรกหรอครับ สำหรับคนที่มาวิ่งมาราธอนครั้งแรกแล้วลงวิ่ง 30 กิโลเลยเนี่ย ไม่ธรรมดาเลยนะครับ"
"นั่นสิ ผมเองยังคิดว่ามันมากไปเลย"
"เอ แล้วถ้าอย่างนั้นทำไมคุณถึงเลือกที่จะวิ่งขนาดนี้ล่ะครับ ทำไมคุณไม่เริ่มจากรายการเล็กๆก่อน"
"ถ้ารายการเล็กๆผมเกรงว่าระยะทางที่วิ่งมันจะไม่ไกลมากน่ะสิครับ"
"อ้า นั่นล่ะประเด็นครับ ถ้าคุณเริ่มจากร่างกายเล็กๆระยะทางใกล้ๆก่อน ร่างกายคุณก็จะค่อยๆปรับสภาพและสร้างความพร้อมให้กับร่างกายไงครับ"
"อืม ที่คุณพูดมาก็ถูกนะ แต่ผมไม่จำเป็นที่จะต้องเตรียมพร้อมร่างกายขนาดนั้นน่ะสิ" คุณแซลม่อนพูด
"ผมคงวิ่งแค่รายการนี้รายการเดียวน่ะสิ"
"เอ๋"
"อื้อ ผมมาวิ่งแค่ครั้งเดียวเนี่ยล่ะ"
"คุณหมายความว่าคุณจะวิ่งมาราธอนแค่ครั้งเดียวแล้วเลิกเลยเนี่ยนะ"
"ใช่ครับ ถ้าดูจากสถานการณ์แล้วเกรงว่าจะเป็นแบบนั้น"
"เอ แปลกดีนะครับ ปกติเวลาเห็นคนมาวิ่งมาราธอนเขามักจะวิ่งกันต่อเนื่องหลายๆรายการ ไม่ค่อยเห็นใครมาจำเพาะเจาะจงว่าจะวิ่งแค่รายการนี้รายการเดียวแล้วเลิก จะว่าคุณไม่ชอบก็น่าจะใช่เพราะไม่งั้นคุณคงเลิกวิ่งไปตั้งแต่ยังไม่ถึงครึ่งทางแล้ว"
"ครับ ผมก็เข้าใจที่คุณสงสัยนะ แต่ผมเองก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงเอาเป็นว่าผมมาจากทางฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกละกันครับ"
"อืม ผมไม่เข้าใจจริงๆน่ะแหละ แต่มันก็เป็นเรื่องของคุณนี่นะ คุณจะวิ่งครั้งเดียวรึกี่ครั้งนี่ผมจะไปยุ่งทำไม"
ผมไม่ได้ถามอะไรอีก เรา 2 คนวิ่งกันในระดับความเร็วเท่าเดิมไปเรื่อยๆ แดดอ่อนๆตอนเช้าเริ่มเผยโฉมมาให้เห็น การวิ่งมาราธอนที่ดีนั้นเราควรจะรักษาระดับความเร็วไว้ให้คงที่ดีกว่า เราทั้งคู่ค่อยๆก้าวเข้าสู่เส้นชัย ผมมองไปรอบๆเห็นผู้เข้าแข่งขันหลายคนที่วิ่งเสร็จแล้วพากันจับกลุ่มถ่ายรูปชูเหรียญกันอยู่
"จะว่าไปมันเหมือนเป็นพิธีกรรมน่ะ" คุณแซลม่อนพูดขึ้นมาหลังจากเราพักหายใจกันอยู่ชั่วครู่
"พิธีกรรม?"
"ใช่ครับ ถ้าคุณเคยดูสารคดีคุณอาจจะเคยได้ยินเรื่องที่แซลม่อนเมื่อโตขึ้นจะย้อนกลับไปผสมพันธุ์และวางไข่กันที่แม่น้ำที่เขาเกิดกันใช่ไหมครับ"
"เหมือนจะเคยได้ยินครับ"
"และการเดินทางระหว่างนั้นเรียกได้ว่าทรหดกันเลยทีเดียว ไหนจะมีทั้งเรื่องของกระแสน้ำที่ต้องว่ายทวน
แล้วในบางจุดนี่ถึงกับต้องกระโจนเพื่อขึ้นไปยังต้นน้ำเลยนะครับ
แถมบางจุดนี่อย่าเรียกว่าทางเลยดีกว่าครับ
มันเหมือนคุณต้องปีนบันไดลิงโดยไม่ใช้มือน่ะครับ
ซึ่งแน่นอนว่ามันคงยากแต่คุณก็ต้องพยายามแล้วพยายามอีกจนกว่าจะสำเร็จน่ะครับ"
คุณแซลม่อนเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า เหมือนดึงตัวเองเข้าไปอยู่ในความคิด
"เรื่องมันก็คล้ายๆกันแบบในสารคดีแหละครับ เพียงแต่ตอนนี้ผมไม่ได้อาศัยอยู่ในแม่น้ำอีกแล้ว ผมอาศัยอยู่ในเมือง ทำงานในเมืองและใช้ชีวิตอยู่ในเมืองซะเป็นส่วนใหญ่ ไอ้การที่จะไปทำอะไรโลดโผนแบบนั้นมันไม่ได้เสียแล้วล่ะครับ ไหนจะงานไหนจะเวลาอีก ดังนั้นผมจึงออกมาวิ่งมาราธอนแทนเพื่ออย่างน้อยผมจะได้รู้สึกถึงความยากลำบากที่เหล่าบรรพบุรุษผมผ่านมาแล้วบ้าง แม้การวิ่งมาราธอนจะเทียบกับการวิ่งในสมัยนั้นไม่ได้ก็เถอะ แต่อย่างน้อยก็ถือว่าได้ลองบ้างก็ยังดีน่ะครับ"
"คุณเคยถามตัวเองไหมครับว่าไอ้พิธีกรรมที่คุณทำอยู่น่ะมันจำเป็นที่จะต้องทำไปตลอดรึเปล่าครับ" ผมถามคุณแซลม่อน
"อืม ไม่น่ะ ผมไม่เคยคิดถามเลย" คุณแซลม่อนตอบ
"ผมว่าบางทีคุณอาจจะไม่ต้องทำก็ได้ละมั้ง ดูเหนื่อยเปล่าๆนะ" ผมออกความเห็น
คุณแซลม่อนเว้นช่วงคิดไว้นิดนึงก่อนจะตอบว่า
"อืม คุณอาจจะพูดถูก แต่ถ้าเราไม่ได้ทำเราก็ไม่รู้สิว่ามันเป็นยังไง จริงๆแล้วผมแค่รู้สึกอยากทำด้วยล่ะ"
เรานั่งเงียบกันอยู่พักใหญ่ จริงๆแล้วยังมีอีกหลายอย่างที่ผมอยากถามคุณแซลม่อนแต่เกรงว่าจะซอกแซกเกินไปสำหรับคนที่เพิ่งรู้จักกัน
"เอาล่ะ ผมต้องรีบไปโรงพยาบาลแล้ว เมียผมรอผมอยู่ที่นั่น"
"โอ้ ขอโทษทีครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะขัดจังหวะคุณ"
"ไม่หรอกครับ คุยกับคุณสนุกดีออกแล้วเมียผมก็ไม่ได้จะรอไม่ได้ขนาดนั้น"
"หวังว่าเธอคงจะไม่เป็นอะไรมากนะครับ ยิ่งช่วงนี้คนเป็นหวัดกันเยอะเสียด้วยสิ"
"โอ้ ไม่ๆ เธอไม่ได้ป่วยหรือเป็นอะไรทั้งนั้นล่ะครับ เธอแค่รอผมอยู่ที่นั่น"
"รอ?"
"ใช่ครับ รอ"
"จริงๆเรายังไม่เคยเจอกันมาก่อนเลย เราติดต่อกันทางจดหมายมาตลอด ผมรุ้เพียงแค่ว่าเธอเกิดที่โรงพยาบาลนั้น"
คุณแซลม่อนคงสังเกตุเห็นสีหน้าที่งงงวยของผมจึงพูดต่อว่า
"คุณยังจำเรื่องที่แซลม่อนจะย้อนกลับมาวางไข่ในแม่น้ำที่เขาเกิดได้ใช่ไหม"
"จำได้ครับ"
"แซลม่อนจากมหาสมุทรไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนจะย้อนกลับมายังสถานที่เกิดเพื่อสืบสายพันธุ์กัน"
ผมพอจะปะติดปะต่ออะไรบางอย่างได้แล้ว
"งั้นโรงพยาบาลนั่นก็คือ..."
"ใช่ครับ เป็นโรงพยาบาลเดียวกันกับที่ผมเกิดนั่นล่ะ"
"โอ้"
"อื้อ"
"งั้นคุณก็ไปที่นั่นเพื่อจะ"
"ใช่ครับ"
"โอ้..." ผมอุทานพลางจินตนาการภาพในหัวตาม อืม ในโรงพยาบาลเลยเนี่ยนะ แต่ก็คงสะดวกดีมั้ง
คุณแซลม่อนเหมือนอ่านความคิด(อันพิลึกพิลั่น)ของผมออกจึงรีบพูดต่อว่า
"เดี๋ยวนะ มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะครับ"
"เอ๋ แต่คุณจะไปเพื่อ เอ้อ สืบสายพันธุ์กันไม่ใช่หรือครับ"
"ใช่ครับ" คุณแซลม่อนหน้าแดงตอบ
"แต่แซลม่อนน่ะ สืบสายพันธุ์ด้วยวิธี อืมจะพูดว่าอย่างไรดีล่ะ ถ้าเป็นมนุษย์ก็คงคล้ายๆกับวิธีการทำเด็กหลอดแก้วล่ะครับ"
"อา ผมเข้าใจละ" ภาพที่ผมคิดขึ้นมาในหัวนั้นก็ออกจะเลยเถิดไปเสียจริงๆน่ะแหละ
"อืม ว่าแต่คุณเถอะ"
คุณแซลม่อนเกริ่นก่อนที่จะถามคำถามแรกและเป็นคำถามเดียวของคุณแซลม่อน
"คุณน่ะ ได้คำตอบหรือยังว่าคุณมาวิ่งเพื่ออะไร" คุณแซลม่อนถามเสร็จก็ลุกเดินจากไป
ผมนิ่งไปกับคำถามของคุณแซลม่อน ไม่ใช่เพราะงงที่จู่ๆคุณแซลม่อนถามเสร็จก็เดินจากไปโดยไม่รอฟังคำตอบ หากแต่คำตอบของคำถามนี้คนที่สมควรต้องได้ฟังคำตอบที่สุดก็คือตัวผมเองนี่ล่ะ ในขณะที่ผมวิ่งไปถามคำถามตัวเองไปตลอดนั้น ผมกลับถามคำถามเดิมกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยคำตอบแต่ละครั้งก็ไม่เหมือนกัน ตามแต่สภาพเรื่องราวเหตุการณ์และปัจจัยในช่วงเวลานั้นๆ หรือจริงๆแล้วการที่ผมถามคำถามเดิมกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่านั้นเพียงเพราะผมยังไม่เจอคำตอบที่ถูกใจ
อืม นั่นสิ แล้วผมมาวิ่งเพื่ออะไร ตัวคุณแซลม่อนเองยังรู้ว่ามาวิ่งเพื่ออะไรเลย ในการวิ่งครั้งหน้าถ้าผมตัดข้อแม้ทั้งหลายอย่างออกไป บางทีผมอาจจะรู้ก็ได้ว่าชีวิตนี้เราเกิดมาเพื่ออะไร