Thursday, August 28, 2014

Where the street have no name.


เคยมีคนเล่าเรื่องที่นาสนใจให้ผมฟังเรื่องนึงว่า ที่เบลฟาสท์ (เมืองในประเทศไอแลนด์เหนือ) คุณสามารถบอกได้ว่าคนนั้นนับถือศาสนาอะไรเพียงแค่ดูจากถนนที่เขาอยู่ และไม่ใช่แค่ทายเรื่องศาสนาได้อย่างเดียวนะ คุณสามารถบอกได้เลยล่ะว่าคนๆนั้นหาเงินได้เท่าไหร่ โดยดูว่าอยู่ฝั่งไหนของถนนเส้นนั้น เพราะอะไรน่ะรึ เพราะบ้านที่ยิ่งอยู่สุงบนเนินราคามันก็จะยิ่งแพงขึ้นๆน่ะสิ

พูดง่ายๆคือ คุณแทบจะบอกได้เลยว่าไอ้คนๆนั้นน่ะ มีฐานะ ความเป็นอยู่ ชนชั้นไหนจากชื่อและฝั่งของถนนเส้นนั้นที่เขาอยู่ ไอ้เรื่องนี้น่ะมันมีอะไรสักอย่างที่ทำให้ผมคิด ผมเลยเริ่มเขียน เขียนเรื่องเกี่ยวกับถนนที่ไร้นาม

- โบโน่

Sunday, August 17, 2014

Patreon




I'm trying on this one though, let's how it works.
I mean it sound kinda fun right, so hopefully I gotta send my postcard out to someone soon.
Here's my Patreon's page.

Saturday, August 16, 2014

Test print #01

I went to my local photo express to print some of my pieces out. Quality is kinda ok since this is just a photo printing which I can print for a low quantity (8 photo for this time). Anyway I will try to make it in to a postcard. Let's see how it goes.


Thursday, August 14, 2014

Whale rider (color)

Let's call it a day.
I did try a different method on finishing this piece.
But still it kinda took too much time to finish with just one drawing and toning.
I wonder how much time will it take for me to finish an actual comic.


Here's a breakdown.


Alternate version.
I can keep playing with it all night but it has to be stop at some point though.


Wednesday, August 13, 2014

Tuesday, August 12, 2014

หูฉลาม


ณ ร้านอาหารจีนแห่งหนึ่ง ครอบครัวฉลามกำลังเอนจอยดินเนอร์ด้วยกันอยู่

"อ่ะ นี่จ๊ะลูก ซุปหูคนมาแล้วกินซะสิ" คุณแม่ฉลามพูดพลางยื่นชามเซรามิกขนาดเล็กวางไว้ตรงหน้าฉลามน้อย
"แต่ แม่ครับ ผมไม่อยากกินไอ้ซุปหูคนนี่นา" ฉลามน้อยท้วง
"ไหงยังงั้นล่ะจ๊ะลูก ซุปหูคนนี่ดี มีประโยชน์นะ แล้วนานๆเราถึงจะได้กินสักทีกันนะ ดูสิคุณพ่อเขาอุตส่าห์พาออกมากินข้างนอกทั้งที" คุณแม่ฉลามพูดพลางมองไปทางตัวคุณพ่อฉลามที่กำลังเพลิดเพลินไปกับการแทะขาคนอบหม้อดินเพื่อขอตัวช่วย
"เอ้อ กินเข้าไปสิเอ็งน่ะ กินเยอะๆจะได้โตไวๆไง" คุณพ่อฉลามบอกพลางแทะง่ามนิ้วไปพลาง
"มันไม่อร่อยนี่ครับแม่ ผมไม่อยากกินอ่ะ" ลูกฉลามยังคงดื้อดึง
"อะไรของเอ็งอีกล่ะเนี่ย รู้มั้ยของแบบนี้หากินไม่ได้ง่ายๆนะ โง่ไม่รุ้จักกิน ถ้าไม่กินคราวหลังไม่พามาแล้วนะ" คุณพ่อฉลามเริ่มมีน้ำโห
"เอาน่าคุณก็ ใจเย็นๆหน่อยลูกยังเล็กไม่รู้ว่าอะไรดีไม่ดี" คุณแม่ฉลามปรามคุณพ่อฉลามพลางเกรงสายตาโต๊ะอื่น
"มามะ คนดี ไหนบอกแม่สิว่าทำไมไม่อยากกินล่ะเรา"
"ก็ ก็มันจืดไม่มีรสชาตินี่ครับ" ลูกฉลามก้มหน้าตอบโดยไม่ยอมมองผู้เป็นแม่
"จริงหรอ งั้นแม่ใส่จิ๊กโฉ่วกับโรยพริกไทยสักหน่อยเอาไหม ลูกชอบจิ๊กโฉ่วไม่ใช่รึ" คุณแม่ฉลามพูดจบก็ควานสายตาหาขวดจิ๊กโฉ่ว

น่าแปลกที่ร้านอาหารจีนร้านนี้ไม่มีจิ๊กโฉ่วอยู่บนโต๊ะเห็นทีจะต้องเรียกบริกรมาสักหน่อยแล้ว

คุณแม่ฉลามคิดเสร็จจึงยกมือเตรียมโบกเรียกบริการ
"แม่ครับ" ลูกฉลามพูดขึ้นมาแต่ก็ยังไม่ยอมเงยหน้ามองคุณแม่ฉลาม
"อะไรจ๊ะลูก" คุณแม่ฉลามรีบหันกลับมาใส่ใจลูกชายตัวน้อยของเธอ
"คือว่า จริงๆแล้ว"
"จ๊ะ"
"ผมไม่อยากกินซุปหูคนก็เพราะ..." ลูกฉลามลังเลที่จะพูดต่อให้จบ
"เพราะถ้าไม่มีหูแล้วคนจะว่ายน้ำได้หรอครับแม่" พูดจบลูกฉลามก็เงยหน้าขึ้นมารอฟังคำตอบจากคุณแม่ฉลาม
คุณแม่ฉลามจ้องลูกน้อยตาโตไม่กระพริบ ด้วยความที่นางเองก็ไม่เคยสงสัยอะไรแบบนี้มาก่อน นางมองลูกน้อยผู้ต้องการคำตอบอีกรอบก่อนจะคิดสรรหาคำตอบแล้วบอกลูกของนางว่า
"นี่นะ คนเขาไม่มีหูก็ว่ายน้ำได้จ๊ะ"
"เอ๋ จริงหรอครับแม่" ลูกฉลามตาเบิกโพลง

เด็กหนอเด็ก ยังไงก้ยังเป็นเด็กสินะ  คุณแม่ฉลามคิดในใจ

"จริงสิจ๊ะ ดูแม่สิ แม่ยังไม่มีหูก็ยังว่ายน้ำได้เลยนี่" คุณแม่ฉลามพูดพลางชี้ไปที่หัวทรงสามเหลี่ยมอันใหญ่โตของเธอ เธอถูไปที่พื้นที่ว่างบริเวณระหว่างตากับเหงือกของเธอให้เห็นว่ามันเนียนเรียบไม่มีอะไรยื่นออกมา
"เอ๋" ลูกฉลามน้อยตายิ่งเบิกโพลงกว้างกว่าเดิม
"จ๊ะ" คุณแม่ฉลามนึกขำระคนเอ็นดูกับลูกน้อยที่ดูจะสงสัยอะไรก็ไม่รู้
"แล้ว แล้วไอ้ที่อยู่บนหลังผมนี่คืออะไรครับแม่" ลูกฉลามถามพลางเอื้อมมือไปแตะที่หลังของตัวเองแล้วลูบขึ้นลูบลง
"อ๋อ นั่นน่ะรึ" คุณแม่ฉลามขำกิ๊กออกมา "นั่นน่ะ เขาเรียกว่าครีบจ๊ะ"
"เหหหหหหหหหหหหห" ลูกฉลามอุทานออกมาเป็นภาษาญี่ปุ่น
"ผม ผมนึกว่าไอ้ที่อยู่บนหลังผมเรียกว่าหูซะอีกแม่" ลูกฉลามร้องเสียงหลง
"มิน่าเล่า เวลาผมตะโกนใส่หลังเพื่อนจึงไม่มีใครตกใจสักที"
"แล้วรุ้แบบนี้แล้ว ทีนี้จะกินซุปหูคนได้รึยังล่ะจ๊ะ" คุณแม่ฉลามถาม
ฉลามน้อยยิ้มรับแต่สั่นหัวปฏิเสธอย่างแข็งขัน
"เอาล่ะ ไม่เป็นไรนะ ถ้าลูกไม่อยากกินเดี๋ยวแม่สั่งอย่างอื่นให้ดีไหม" คุณแม่ฉลามถามลูกน้อยของเธอ
ลูกฉลามยิ้มรับ พลางผงกหัวอย่างดีใจ
"เอาเป็นซุปกระเพาะคนดีไหม น้ำซุปคล้ายกันเลยแค่ไม่ได้ใส่หูคนเท่านั้นเอง" คุณแม่ฉลามสรุปพลางปิดเมนูเตรียมเรียกบริกร
ลูกฉลามน้อยก้มหน้านิ่ง ดูท่าทางเหมือนผิดหวังกับอะไรบางอย่าง

เอ เด็กคนนี้นี่ หรือว่าแกจะไม่อยากกินซุปกระเพาะคน ถ้ายังงั้นเปลี่ยนเป็นคนทอดกระเทียมแทนจะดีไหมนะ เนื้อๆเน้นๆ เด็กน่าจะชอบกว่า

"เอ หรือลูกอยากกินอย่างอื่นก็ได้นะ บอกมาสิว่าอยากกินอะไรเดี๋ยวแม่สั่งให้" คุณแม่ฉลามถามลูกน้อยของเธอ
ฉลามน้อยเงยหน้าขึ้น ที่ขอบตาของเขามีน้ำตาริ้นๆอยู่นิดหนึ่ง
"แต่แม่ครับ ไม่มีกระเพาะแล้วคนจะไม่ตายหรอครับแม่" ลูกฉลามถาม

คุณแม่ฉลามมองลูกน้อยด้วยสายตาระคนใจ นางเองก็จนปัญญาที่จะตอบ จึงหยิบเมนูของหวานส่งให้ลูกน้อยแทน ฉลามน้อยรับเมนูไปแล้วจึงสั่งไอติมกะทิของโปรด และครอบครัวฉลามก็เอนจอยดินเนอร์ด้วยกันอย่างมีความสุขต่อไป

Monday, August 11, 2014

@ New Montgomery st.


SharkShooter



"ชาร์คชูทเตอร์?"
"ใช่ ชาร์คชูตเตอร์"
"คือ?"
"ทำไม นายไม่รู้จักหรอ นี่มันสุดยอดท่าไม้ตายเลยนะเว้ย ฮิตพอๆกับทูมสโตนเลย"
"ทูมสโตน"
"อะไรนะ นายไม่รู้จักทูมสโตน มันคลาสสิกพอๆกับฟิกเกอร์ โฟร์เลกล็อคเลยนะ"
"ฟิกเกอร์โฟร์..."
"ให้ตายเถอะ ฟิกเกอร์โฟร์ เลกล็อคนี่เบสิกพอๆกับสลีปเปอร์โฮลเลย ถ้านายไม่รู้จักก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว"
"........."
"........."

หมาป่า


Wednesday, August 6, 2014

Salmon run


ผมย่ำเท้าลงไปบนพื้นยางมะตอยบนถนนทางหลวงที่ซึ่งปกติจะมีรถยนต์วิ่งผ่านไปมาส่งเสียงครางกระหึ่มของเครื่องยนต์ไปตามทาง  แต่ในเวลาที่ไม่ปกติเช่นนี้จึงมีเพียงเสียงของรองเท้าผ้าใบบดกับพื้นดังเป็นจังหวะตามการก้าวของผม  ขณะนี้เป็นเวลาตีห้าครึ่งแล้ว อากาศกำลังเย็นสบายวิ่งได้เรื่อยๆ และยังพอมีเวลาอีกราวครึ่งชั่วโมงก่อนที่แสงแรกของยามเช้าจะเริ่มขึ้นตามมาด้วยแดดอันอบอุ่นก่อนจะเปลี่ยนเป็นแผดเผาในช่วงสายของวัน ดังนั้นแล้วเวลานี้จึงเป็นเวลาที่เหมาะกับการวิ่งมาก ถึงแม้ว่าจะยังไม่สว่างก็เถอะ แต่ผมก็ยังพอมองเห็นทางสลัวๆอยู่บ้าง

การวิ่งมาราธอนครั้งนี้ ตัวผมเองก็จำไม่ได้ว่านี่เป็นรายการที่เท่าไหร่แล้วที่ผมได้ลงแข่งขันไป แต่ถึงแม้จะพูดว่าผ่านมาหลายรายการแล้วก็เถอะ ตัวผมเองนั้นไม่ได้สนใจเรื่องลำดับที่ได้เลยสักนิดเดียวและผมก็ไม่ใช่คนที่จะถ่อมาวิ่งมาราธอนเพื่อสุขภาพหรือจับกลุ่มออกกำลังกายกับใครก็ตาม ผมมักจะมาวิ่งคนเดียวในทุกๆรายการ และนั่นก็เป็นสาเหตุหลักที่ผมชอบวิ่งมาราธอนคือ ผมจะได้มีเวลาคุยกับตัวเอง

จริงอยู่ที่ว่า ผมน่ะจะคุยกับตัวเองตอนไหนก็น่าจะได้นี่ ไม่ว่าจะตอนทำงาน ตอนกินข้าว ตอนอาบน้ำหรือขณะนั่งเฉยๆก็ตาม ถ้าผมอยากคุยกับตัวเองนั้นแน่นอนว่าผมย่อมทำได้อยุ่แล้ว และสามารถทำได้โดยไม่มีใครรู้ก็ได้ ถ้างั้นแล้วทำไมผมต้องถ่อมาไกลเพื่อวิ่งมาราธอนแบบนี้ล่ะ ผมมาวิ่งเพื่อที่จะได้มีสมาธิขณะคุยกับตัวเอง ซึ่งสมาธิที่ว่านี่มันไม่เหมือนกับการนั่งสมาธิ แต่การวิ่งเพื่อให้เกิดสมาธิและทำการคุยกับตัวเองในขณะอยู่ในห้วงสมาธินั้น มันทำให้ผมรุ้สึกว่าผมคุยกับตัวผมเองได้สนิทกว่า ในขณะที่สมาธิของตัวผมจดจ่ออยู่กับการวิ่ง เมื่อผมถามคำถามขึ้นมา คำตอบที่ได้รับมักจะเป็นคำตอบที่ไม่เจือปน สมาธิไม่ได้ไปปรุงแต่งคำตอบของผมเพื่อให้ผมรู้สึกพอใจ แต่เป็นคำตอบที่ออกมาจากส่วนลึกของจิตใจในขณะนั้น ซึ่งช่วงเวลานี้เองที่ผมเพลิดเพลินกับการคุยกับตัวเองมาก คำถามซับซ้อนหลายอย่าง พอมาย้อนคิดอีกที บางครั้งผมเองก็ยังไม่อยากเชื่อเลยว่าตัวผมเองจะสามารถตอบคำถามเหล่านั้นได้ ขณะเดียวกันคำถามธรรมดาเรียบๆก็ได้รับคำตอบที่น่าสนใจเช่นกันไม่น้อย อย่างเช่น คำถามธรรมดาๆอย่าง ชีวิตนี้เราเกิดมาเพื่ออะไร

ผมมองเห็นเงาตะคุ่มอยู่ข้างหน้าไม่ไกลเท่าไหร่นัก ผมคิดว่าคงเป็นนักวิ่งที่มาแข่งรายการนี้เหมือนกัน
ผมจึงเร่งฝีเท้าเข้าไปใกล้ๆ นัยว่าจะได้มีเพื่อนวิ่งไปข้างกันเสียหน่อย เพราะผมคิดว่าผมคุยกับตัวเองมาพอแล้วสำหรับวันนี้ การได้คุยกับคนอื่นบ้างก็คงดีไม่น้อย เงาข้างหน้าเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆตามจังหวะความเร็วของผม และในระยะ 5 เมตรข้างหน้านั้น ผมก็เห็นเงานั้นได้อย่างชัดเจน อาจจะชัดเกินไปจนผมคิดว่าผมตาฝาด ทำให้ผมต้องขยี้ตาทีละข้างก่อนที่จะมองไปที่เงานั้นอีกครั้งนึง และภาพตรงหน้าก็ยืนยันในสิ่งที่ผมคิดไว้

ผมเห็นปลาแซลม่อนตัวนึง

ถ้าจะพูดให้ถูก ผมก็ไม่แน่ใจว่าเรียกว่าปลาแซลม่อนจะเหมาะไหม เพราะถ้าขึ้นชื่อว่าปลาก็น่าจะต้องเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในน้ำสิ แต่ปลาแซลม่อนที่ผมเห็นตอนนี้อยู่บนบก ตัวเป็นๆยังมีชีวิตอยู่ไม่ได้นอนพะงาบบนก้อนน้ำแข็ง และไม่ใช่ในซุปเปอร์มาเก็ตหรือร้านอาหารญี่ปุ่น แต่อยู่ข้างหน้าผมนี่เองและที่สำคัญปลาแซลม่อนตัวนี้กำลังวิ่งอยู่ แถมอยู่ในชุดวิ่งเสียด้วยไม่ว่าจะเป็นเสื้อกล้ามติดเบอร์แข่งขันของรายการ กางเกงขาสั้นและรองเท้าวิ่ง

จริงอยู่ว่าไม่มีกฏในการสมัครข้อไหนที่บอกว่าห้ามปลาแซลม่อนมาสมัครลงแข่งขัน เนื่องด้วยทางผู้จัดคงไม่คิดว่าจะมีปลาแซลม่อนที่ไหนมาลงสมัครแข่งขันจริงๆแต่ปลาแซลม่อนสติดีที่ไหนล่ะจะมาวิ่งมาราธอนตอนเช้าๆแบบนี้

ผมเร่งฝีเท้าขึ้นไปขนาบข้างปลาแซลม่อน ปลาแซลม่อนตัวนี้ก็มีลักษณะเหมือนปลาแซลม่อนทั่วไป หัวกลมมน มีจงอยปากเล็กน้อย จังหวะที่ปลาแซลม่อนขยับขึ้นลงตามจังหวะเท้าทำให้เสื้อเผยอเล็กน้อยผมแอบมองเข้าไปข้างในเห็นเป็นเกล็ดสีน้ำเงินที่ตอนนี้เป็นมันเลื่อมจากเหงื่อ ผมมองใบหน้าที่เรียบเฉยปราศจากสีหน้าของปลาแซลม่อน ยังไงปลาแซลม่อนก็ยังต้องการน้ำอยู่นี่นา ถ้าวิ่งบนบกนานๆแบบนี้ก็น่าจะเหนื่อยล่ะ ผมคิดในใจ

ปลาแซลม่อนหันมามองผมแล้วผงกหัวให้ก่อนจะหันกลับไปมองทางตามเดิม

เอาล่ะ ผมตัดสินใจ ในชีวิตนี้ผมยังไม่เคยคุยกับปลาแซลม่อนมาก่อน งั้นลองสักครั้งจะเป็นอะไรไปแถมโอกาสแบบนี้ไม่ได้มาง่ายๆอีกด้วย

"เอ้อ ขอโทษเถอะครับ คุณ อ่า" ผมนึกคำที่พูดต่อไม่ออก ตอนนี้ในหัวของผมมีแต่คำถามวิ่งไปมาจนจับไม่ถูก
"ครับ" คุณแซลม่อนรับคำ
ผมตัดสินใจว่าจะเรียกว่าคุณแซลม่อนแทนปลาแซลม่อน อย่างน้อยคำนี้ก็เป็นคำสุภาพไม่เฉพาะเจาะจงอะไรแถมไม่ระบุเพศอีกด้วย
"วันนี้ อากาศดีนะครับ" ผมลองหยั่งเชิงด้วยเรื่องลมฟ้าอากาศที่น่าจะเป็นเรื่องที่ใช้คุยกันได้ทุกสถานะการณ์แม้กับคนแปลกหน้า
"ใช่เลย อากาศตอนนี้เยี่ยมมากเลยครับ แดดยังไม่มา ลมเย็นสบายเหมาะแก่การวิ่งที่สุดแล้วครับ" คุณแซลม่อนตอบ

เราวิ่งคู่กันไปเป็นระยะทางพอควร เพียงพอที่ผมคิดว่ามันช่วยย่นระยะคนแปลกหน้าระหว่างกันลงไปได้สักจำนวนหนึ่ง ผมจึงเริ่มถามคำถามกับคุณแซลม่อน

"เอางี้ อย่าหาว่าละลาบละล้วงอะไรเลยนะ แต่ผมขอถามคุณหน่อยเหอะว่าคุณมาวิ่งทำไม"

คุณแซลม่อนหันมามองหน้าผมแวบนึงก่อนจะหันกลับไปมองทางข้างหน้าเหมือนเดิม

"อืม นั่นสินะ ผมมาวิ่งทำไม" คุณแซลม่อนพูดขึ้นมาลอยๆ
ผมไม่แน่ใจว่าไปพูดอะไรเสียมารยาทหรือเปล่า เลยเลือกที่จะเงียบเสียดีกว่า
"จะว่าไปแล้ว นี่น่ะเป็นการวิ่งมาราธอนครั้งแรกของผมเลย" คุณแซลม่อนพูดขึ้นมา
"ครั้งแรกหรอครับ สำหรับคนที่มาวิ่งมาราธอนครั้งแรกแล้วลงวิ่ง 30 กิโลเลยเนี่ย ไม่ธรรมดาเลยนะครับ"
"นั่นสิ ผมเองยังคิดว่ามันมากไปเลย"
"เอ แล้วถ้าอย่างนั้นทำไมคุณถึงเลือกที่จะวิ่งขนาดนี้ล่ะครับ ทำไมคุณไม่เริ่มจากรายการเล็กๆก่อน"
"ถ้ารายการเล็กๆผมเกรงว่าระยะทางที่วิ่งมันจะไม่ไกลมากน่ะสิครับ"
"อ้า นั่นล่ะประเด็นครับ ถ้าคุณเริ่มจากร่างกายเล็กๆระยะทางใกล้ๆก่อน ร่างกายคุณก็จะค่อยๆปรับสภาพและสร้างความพร้อมให้กับร่างกายไงครับ"
"อืม ที่คุณพูดมาก็ถูกนะ แต่ผมไม่จำเป็นที่จะต้องเตรียมพร้อมร่างกายขนาดนั้นน่ะสิ" คุณแซลม่อนพูด
"ผมคงวิ่งแค่รายการนี้รายการเดียวน่ะสิ"
"เอ๋"
"อื้อ ผมมาวิ่งแค่ครั้งเดียวเนี่ยล่ะ"
"คุณหมายความว่าคุณจะวิ่งมาราธอนแค่ครั้งเดียวแล้วเลิกเลยเนี่ยนะ"
"ใช่ครับ ถ้าดูจากสถานการณ์แล้วเกรงว่าจะเป็นแบบนั้น"
"เอ แปลกดีนะครับ ปกติเวลาเห็นคนมาวิ่งมาราธอนเขามักจะวิ่งกันต่อเนื่องหลายๆรายการ ไม่ค่อยเห็นใครมาจำเพาะเจาะจงว่าจะวิ่งแค่รายการนี้รายการเดียวแล้วเลิก จะว่าคุณไม่ชอบก็น่าจะใช่เพราะไม่งั้นคุณคงเลิกวิ่งไปตั้งแต่ยังไม่ถึงครึ่งทางแล้ว"
"ครับ ผมก็เข้าใจที่คุณสงสัยนะ แต่ผมเองก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงเอาเป็นว่าผมมาจากทางฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกละกันครับ"
"อืม ผมไม่เข้าใจจริงๆน่ะแหละ แต่มันก็เป็นเรื่องของคุณนี่นะ คุณจะวิ่งครั้งเดียวรึกี่ครั้งนี่ผมจะไปยุ่งทำไม"

ผมไม่ได้ถามอะไรอีก เรา 2 คนวิ่งกันในระดับความเร็วเท่าเดิมไปเรื่อยๆ แดดอ่อนๆตอนเช้าเริ่มเผยโฉมมาให้เห็น การวิ่งมาราธอนที่ดีนั้นเราควรจะรักษาระดับความเร็วไว้ให้คงที่ดีกว่า เราทั้งคู่ค่อยๆก้าวเข้าสู่เส้นชัย ผมมองไปรอบๆเห็นผู้เข้าแข่งขันหลายคนที่วิ่งเสร็จแล้วพากันจับกลุ่มถ่ายรูปชูเหรียญกันอยู่

"จะว่าไปมันเหมือนเป็นพิธีกรรมน่ะ" คุณแซลม่อนพูดขึ้นมาหลังจากเราพักหายใจกันอยู่ชั่วครู่
"พิธีกรรม?"
"ใช่ครับ ถ้าคุณเคยดูสารคดีคุณอาจจะเคยได้ยินเรื่องที่แซลม่อนเมื่อโตขึ้นจะย้อนกลับไปผสมพันธุ์และวางไข่กันที่แม่น้ำที่เขาเกิดกันใช่ไหมครับ"
"เหมือนจะเคยได้ยินครับ"
"และการเดินทางระหว่างนั้นเรียกได้ว่าทรหดกันเลยทีเดียว ไหนจะมีทั้งเรื่องของกระแสน้ำที่ต้องว่ายทวน แล้วในบางจุดนี่ถึงกับต้องกระโจนเพื่อขึ้นไปยังต้นน้ำเลยนะครับ แถมบางจุดนี่อย่าเรียกว่าทางเลยดีกว่าครับ มันเหมือนคุณต้องปีนบันไดลิงโดยไม่ใช้มือน่ะครับ ซึ่งแน่นอนว่ามันคงยากแต่คุณก็ต้องพยายามแล้วพยายามอีกจนกว่าจะสำเร็จน่ะครับ"
คุณแซลม่อนเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า เหมือนดึงตัวเองเข้าไปอยู่ในความคิด
"เรื่องมันก็คล้ายๆกันแบบในสารคดีแหละครับ เพียงแต่ตอนนี้ผมไม่ได้อาศัยอยู่ในแม่น้ำอีกแล้ว ผมอาศัยอยู่ในเมือง ทำงานในเมืองและใช้ชีวิตอยู่ในเมืองซะเป็นส่วนใหญ่ ไอ้การที่จะไปทำอะไรโลดโผนแบบนั้นมันไม่ได้เสียแล้วล่ะครับ ไหนจะงานไหนจะเวลาอีก ดังนั้นผมจึงออกมาวิ่งมาราธอนแทนเพื่ออย่างน้อยผมจะได้รู้สึกถึงความยากลำบากที่เหล่าบรรพบุรุษผมผ่านมาแล้วบ้าง แม้การวิ่งมาราธอนจะเทียบกับการวิ่งในสมัยนั้นไม่ได้ก็เถอะ แต่อย่างน้อยก็ถือว่าได้ลองบ้างก็ยังดีน่ะครับ"

"คุณเคยถามตัวเองไหมครับว่าไอ้พิธีกรรมที่คุณทำอยู่น่ะมันจำเป็นที่จะต้องทำไปตลอดรึเปล่าครับ" ผมถามคุณแซลม่อน
"อืม ไม่น่ะ ผมไม่เคยคิดถามเลย" คุณแซลม่อนตอบ
"ผมว่าบางทีคุณอาจจะไม่ต้องทำก็ได้ละมั้ง ดูเหนื่อยเปล่าๆนะ" ผมออกความเห็น
คุณแซลม่อนเว้นช่วงคิดไว้นิดนึงก่อนจะตอบว่า
"อืม คุณอาจจะพูดถูก แต่ถ้าเราไม่ได้ทำเราก็ไม่รู้สิว่ามันเป็นยังไง จริงๆแล้วผมแค่รู้สึกอยากทำด้วยล่ะ"

เรานั่งเงียบกันอยู่พักใหญ่  จริงๆแล้วยังมีอีกหลายอย่างที่ผมอยากถามคุณแซลม่อนแต่เกรงว่าจะซอกแซกเกินไปสำหรับคนที่เพิ่งรู้จักกัน

"เอาล่ะ ผมต้องรีบไปโรงพยาบาลแล้ว เมียผมรอผมอยู่ที่นั่น"
"โอ้ ขอโทษทีครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะขัดจังหวะคุณ"
"ไม่หรอกครับ คุยกับคุณสนุกดีออกแล้วเมียผมก็ไม่ได้จะรอไม่ได้ขนาดนั้น"
"หวังว่าเธอคงจะไม่เป็นอะไรมากนะครับ ยิ่งช่วงนี้คนเป็นหวัดกันเยอะเสียด้วยสิ"
"โอ้ ไม่ๆ เธอไม่ได้ป่วยหรือเป็นอะไรทั้งนั้นล่ะครับ เธอแค่รอผมอยู่ที่นั่น"
"รอ?"
"ใช่ครับ รอ"
"จริงๆเรายังไม่เคยเจอกันมาก่อนเลย เราติดต่อกันทางจดหมายมาตลอด ผมรุ้เพียงแค่ว่าเธอเกิดที่โรงพยาบาลนั้น"

คุณแซลม่อนคงสังเกตุเห็นสีหน้าที่งงงวยของผมจึงพูดต่อว่า

"คุณยังจำเรื่องที่แซลม่อนจะย้อนกลับมาวางไข่ในแม่น้ำที่เขาเกิดได้ใช่ไหม"
"จำได้ครับ"
"แซลม่อนจากมหาสมุทรไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนจะย้อนกลับมายังสถานที่เกิดเพื่อสืบสายพันธุ์กัน"
ผมพอจะปะติดปะต่ออะไรบางอย่างได้แล้ว
"งั้นโรงพยาบาลนั่นก็คือ..."
"ใช่ครับ เป็นโรงพยาบาลเดียวกันกับที่ผมเกิดนั่นล่ะ"
"โอ้"
"อื้อ"
"งั้นคุณก็ไปที่นั่นเพื่อจะ"
"ใช่ครับ"
"โอ้..." ผมอุทานพลางจินตนาการภาพในหัวตาม อืม ในโรงพยาบาลเลยเนี่ยนะ แต่ก็คงสะดวกดีมั้ง
คุณแซลม่อนเหมือนอ่านความคิด(อันพิลึกพิลั่น)ของผมออกจึงรีบพูดต่อว่า
"เดี๋ยวนะ มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะครับ"
"เอ๋ แต่คุณจะไปเพื่อ เอ้อ สืบสายพันธุ์กันไม่ใช่หรือครับ"
"ใช่ครับ" คุณแซลม่อนหน้าแดงตอบ
"แต่แซลม่อนน่ะ สืบสายพันธุ์ด้วยวิธี อืมจะพูดว่าอย่างไรดีล่ะ ถ้าเป็นมนุษย์ก็คงคล้ายๆกับวิธีการทำเด็กหลอดแก้วล่ะครับ"
"อา ผมเข้าใจละ" ภาพที่ผมคิดขึ้นมาในหัวนั้นก็ออกจะเลยเถิดไปเสียจริงๆน่ะแหละ

"อืม ว่าแต่คุณเถอะ"

คุณแซลม่อนเกริ่นก่อนที่จะถามคำถามแรกและเป็นคำถามเดียวของคุณแซลม่อน

"คุณน่ะ ได้คำตอบหรือยังว่าคุณมาวิ่งเพื่ออะไร" คุณแซลม่อนถามเสร็จก็ลุกเดินจากไป

ผมนิ่งไปกับคำถามของคุณแซลม่อน ไม่ใช่เพราะงงที่จู่ๆคุณแซลม่อนถามเสร็จก็เดินจากไปโดยไม่รอฟังคำตอบ หากแต่คำตอบของคำถามนี้คนที่สมควรต้องได้ฟังคำตอบที่สุดก็คือตัวผมเองนี่ล่ะ ในขณะที่ผมวิ่งไปถามคำถามตัวเองไปตลอดนั้น ผมกลับถามคำถามเดิมกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยคำตอบแต่ละครั้งก็ไม่เหมือนกัน ตามแต่สภาพเรื่องราวเหตุการณ์และปัจจัยในช่วงเวลานั้นๆ หรือจริงๆแล้วการที่ผมถามคำถามเดิมกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่านั้นเพียงเพราะผมยังไม่เจอคำตอบที่ถูกใจ

อืม นั่นสิ แล้วผมมาวิ่งเพื่ออะไร ตัวคุณแซลม่อนเองยังรู้ว่ามาวิ่งเพื่ออะไรเลย ในการวิ่งครั้งหน้าถ้าผมตัดข้อแม้ทั้งหลายอย่างออกไป บางทีผมอาจจะรู้ก็ได้ว่าชีวิตนี้เราเกิดมาเพื่ออะไร



Tuesday, August 5, 2014

Run Salmon Run



หลายครั้งที่ผมมักจะตั้งคำถามกับตัวเองว่าชีวิตนี้เราเกิดมาเพื่ออะไร คำตอบที่ได้ก็แปรผันไปกับอารมณ์และสถานการณ์ขณะนั้น ยิ่งคิดยิ่งมีคำตอบได้ร้อยแปดแม้ว่าจะมาจากคำถามเพียงคำถามเดียวก็ตาม ยกตัวอย่างง่ายๆเช่น การวิ่ง การที่คนเราจะออกวิ่งนั้นมีเรื่องที่เป็นเหตุให้ออกวิ่งได้มากมาย โดยแต่ละคนก็มีคำตอบที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นวิ่งเพื่อออกกำลังกาย วิ่งเพื่อลดน้ำหนัก วิ่งเพื่อเพื่อสุขภาพ หรือบางคนอยากพบชีวิตใหม่ก็ออกวิ่ง คำตอบที่ว่ามาทั้งหมดเป็นผลจากกระบวนการคิดหลายชั้นของคน แล้วถ้าเราถามคำถามเดียวกันกับสัตว์ที่มีกระบวนการคิดแค่ชั้นเดียวล่ะ ผมขอยกตัวอย่างจากสารคดีเกี่ยวกับแซลม่อนที่เพิ่งได้ดูไปไม่นานนี้ ถ้าเราถามแซลม่อนว่าทำไมมันถึงออกวิ่ง แซลม่อนคงไม่ต้องไปนึกพรรณาหาเหตุทั้งหลายมาตอบเรา เพราะเหตุผลที่มันออกวิ่งนั้นได้ฝังตัวอยู่ในสายเลือดมาแล้วตั้งแต่เกิด

เมื่อแรกเกิดเหล่าแซลม่อนน้อยจะใช้ชีวิตอยู่ในแม่น้ำ จนเมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่นจึงจะไปใช้ชีวิตที่เหลือท่องโลกกว้างในมหาสมุทร จากนั้นเมื่อสนุกเต็มที่และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ได้มากพอจนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้ว จึงจะกลับมาบ้านเกิดที่แม่น้ำเพื่อมีลูก จะน่าเศร้าก็ตรงที่แซลม่อนที่มาจากมหาสมุทรแปซิฟิก เมื่อทำการผสมพันธุ์แล้วก็จะตายไปเลย ผิดกับแซลม่อนที่โตมาจากฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกที่มีชีวิตยืนยาวสามารถกลับมาผสมพันธุ์เป็นประจำได้ทุกปี นี่ถ้ามีใครทำป้ายบอกเหล่าแซลม่อนน้อยตั้งแต่แรกเกิดก็คงดี มันจะได้ไม่เลี้ยวไปทางฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกซะ

แซลม่อนที่โตเต็มวัยและพร้อมจะผสมพันธุ์แล้วจะพากันมาที่แม่น้ำที่มันเกิด โดยใช้ gps ของร่างกายมันคำนวณกับสนามแม่เหล็กโลก ทำให้เหล่าแซลม่อนหาพิกัดของแม่น้ำเจอได้แม้ว่าในตอนนั้นมันจะอยู่ที่ส่วนไหนของมหาสมุทรก็ตาม แรงที่ว่าจะเป็นตัวจูงมันมาที่แม่น้ำนี้ จากนั้นเมื่อเข้ามาอยู่ในแม่น้ำแล้วเหล่าแซลม่อนจะใช้การดมกลิ่นเพื่อตามรอยไปหาสถานที่ๆมันเกิด กระบวนการทางเทกนิคก็มีเท่าที่ว่านี้หลังจากนี้คือแรงใจล้วนๆ เหล่าแซลม่อนทั้งหลายที่ต่างก็ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งเพื่อที่จะไปถึงบ้านเกิดของมันให้เร็วที่สุด ปรากฏการณ์ที่ว่าจึงเป็นที่มาของชื่อ "Salmon run"

การวิ่งของแซลม่อนนี้เปรียบได้กับการวิ่งวิบากมาราธอน ระยะเวลาที่ใช้อาจจะกินเป็นสัปดาห์หรือป็นเดือนก็ได้ขึ้นกับสภาพแวดล้อมในขณะนั้น แซลม่อนจะใช้การกระโจนเพื่อทวนน้ำขึ้นไปทางต้นน้ำ ซึ่งลักษณะของแม่น้ำในบางส่วนมีลักษณะเป็นขั้นบันไดหรือเป็นลักษณะคล้ายเขื่อนก็มี ดังนั้นการว่ายทวนน้ำอย่างสบายใจตลอดทางนั้นก็เป็นไปไม่ได้ ในบางจุดเหล่าแซลม่อนนี้ต้องใช้การกระโดดเข้าช่วย บางครั้งเมื่อฟ้าฝนไม่เป็นใจบริเวณที่เคยเป็นแม่น้ำก็อาจจะกลายเป็นแอ่งน้ำตื้นๆ เหล่าแซลม่อนทั้งหลายก็ไม่สามารถที่จะเคลื่อนที่ไปไหนได้ ได้แต่รอคอยให้น้ำมาซึ่งบ้างครั้งอาจกินเวลาหลายสัปดาห์ และนอกจากนี้แซลม่อนยังมีศัตรูตัวฉกาจคือหมีกริซลี่ผู้หิวโหย หมาป่าผอมโซและนกอินทรีย์หิวจัด ที่จ้องจะงับ กระชาก และจิกเหล่าแซลม่อนอยู่แล้ว โดยฝูงหมีมักจะยืนออกันตรงตำแหน่งที่เหล่าแซลม่อนจะต้องกระโดดเพื่อข้ามไปยังต้นน้ำอีกฝั่ง หมีตัวที่โหดที่สุดและแข็งแรงที่สุดจะได้ตำแหน่งที่ดีที่สุดไปครอง ตำแหน่งที่มันได้นั้นเจ้าหมีไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่าการยืนอ้าปากเฉยๆแล้วให้แซลม่อนกระโดดมาเข้าปากเอง

แซลม่อนที่อยู่ใต้น้ำไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะมีอะไรรออยู่ข้างหน้า สิ่งที่มันทำได้เพียงอย่างเดียวคือพุ่งไปข้างหน้า ไม่ว่าจะวิ่ง กระโดด หรือกระโจน ในจำนวนแซลม่อนทั้งหมดจะมีแซลม่อนที่โชคร้ายไปไม่ถึงฝั่งฝันอยู่จำนวนหนึ่ง ส่วนแซลม่อนที่รอดผ่านมาได้ก็จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย บางตัวอาจจะปากงุ้ม หลังโก่ง และเปลี่ยนสีจากเงินวาบวับเป็นแดงแวววาว นั่นยิ่งแสดงให้เห็นว่าแซลม่อนนั้นเข้าใกล้บ้านเกิดของมันขึ้นทุกที และเมื่อถึงที่หมายแซลม่อนจะจับคู่กันจากนั้นแซลม่อนตัวเมียจะใช้หางเขี่ยก้อนกรวดกวาดพื้นออกทำเป็นรังแล้วปล่อยไข่ลงมา จากนั้นแซลม่อนตัวผู้จะจัดการฉัดน้ำเชื้อลงไปก็เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจ แซลม่อนที่มาจากมหาสมุทรแปซิฟิกก็จะอ่อนแรงลงและค่อยๆตายไปในที่สุด ขณะที่แซลม่อนที่มาจากมหาสมุทรแอตแลนติกก็จะเฮฮากับบ้าน ก่อนที่จะกลับมาใหม่ปีหน้า

ผมดูสารคดีเรื่องนี้จบด้วยความทึ่ง ทึ่งในความพยายามของเหล่าแซลม่อนผู้กล้า และทึ่งในความลับของธรรมชาติที่แม้ไม่ได้มีการจัดอบรมสัมนาแต่เหล่าแซลม่อนทั้งหลายต่างก็รู้หน้าที่ตนเองโดยที่ไม่ต้องมีคนบอกว่าต้องทำตัวอย่างไรเมื่อถึงเวลา ทำให้ผมคิดขึ้นมาว่าถ้าเราตัดข้อแม้ทั้งหลายอย่างออกไป เราอาจจะรู้ก็ได้ว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร 

Monday, August 4, 2014

หมู

ร่างไว้คร่าวๆแล้วจู่ๆเกิดช๊อตขึ้นมาอีกซะงั้น
:P


แท๊กซี่ 3



ความเป็นมืออาชีพคือการที่ทำสิ่งที่มือสมัครเล่นหรือคนทั่วไปไม่สามารถทำได้ง่ายๆ แต่มืออาชีพสามารถทำให้เหมือนเป็นเรื่องง่ายๆได้

ผมนั่งอยู่บนรถแท๊กซี่ขณะที่ฝนกำลังตกปรอยๆ ด้วยละอองฝนกับความมืดยามค่ำคืนทำให้อุณหภูมิภายในรถนั้นเย็นยะเยือกขึ้นอีก ขบวนรถจากแยกอโศกมุ่งไปทางสุขุมวิทค่อยๆเคลื่อนที่ช้าลงจนถึงขั้นหยุดนิ่งที่ระยะ 100 เมตรก่อนถึงไฟแดง ค่ำคืนวันอาทิตย์ไม่ได้ช่วยให้รถบนถนนโล่งขึ้นเลย แต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เนื่องจากตัวแปรที่สำคัญตอนนี้คือฝน ซึ่งเป็นเรื่องปกติของกรุงเทพฯที่เมื่อฝนตกรถก็ย่อมติด

ผมนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ใช้สายตาฆ่าเวลาไปกับหลายชีวิตข้างทางที่ซึ่งกำลังครึกครื้นโดยไม่ยี่หระต่อสายฝนภายนอก เหมือนคืนนี้สำหรับชาวคาวบอยทั้งหลายเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น
ดูจากภายนอกซอยคาวบอยก็เหมือนพัฒพงศ์เวอชั่นถนนสุขุมวิท คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว นักท่องราตรี บาร์เหล้าแผงลอยเกลื่อนฟุตบาท และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือขบวนรถแท๊กซี่ที่จอดรอเหยื่ออยู่ริมถนน ถ้าคุณมาแยกอโศกสักสี่ทุ่มเป็นต้นไป คุณจะพบเห็นรถแท๊กซี่จอดดับเครื่องกันอย่างเป็นกิจลักษณะได้เป็นแถวยาว บางครั้งอาจจะจอดกันถึง 2 แถว และยิ่งช่วงดึกในบางครั้งก็จอดกันถึง 3 แถวเลยก็มีมาแล้ว เรื่องแจ้งตำรวจนั้นน่าจะลืมไปได้เลยเพราะผมเคยเห็นรถตำรวจยังมาจอดอยู่ที่นี่เลย ซึ่งระยะที่จอดกันอย่างไม่เกรงใจฟ้าดินนั้นบางครั้งกินแนวเลยซ้ายสุดๆไปตลอดทั้งแถว ทำให้รถที่จะเลี้ยวซ้ายจากอโศกเข้าสุขุมวิทนั้นทำได้อย่างยากลำบาก แทนที่จะเลี้ยวซ้ายผ่านตลอดได้ กลับต้องมาติดกับขบวนรถแท๊กซี่ที่จอดรอเหยื่อกัน

และนั่นทำให้แท๊กซี่ที่ผมกำลังนั่งตัดสินใจเบี่ยงออกมาเลนขวา แม้ว่าเรา(พี่แท๊กซี่และผม) จะต้องเลี้ยวซ้ายตรงแยกอโศกนี้เข้าเส้นสุขุมวิทก็ตาม จริงอยู่ว่าถ้าพี่แท๊กซี่แกค่อยๆเลาะเลนซ้ายเราก็คงเลี้ยวซ้ายได้ตามปกติ แม้ว่าจะกินเวลากับการที่ต้องคอยหลบหรือเบี่ยงขบวนแท๊กซี่ที่รอเหยื่อก็ตาม แต่ผมคิดว่าพี่แท๊กซี่คงเบื่อกับการต้องมานั่งรอไอ้แท๊กซี่ห่าพวกนี้ แกจึงออกขวาให้รู้แล้วรู้รอดเลย เรื่องมันคงไม่มีอะไรถ้าแกออกขวาไปสักเลนสองเลน ไม่ใช่ออกมาอยู่เลยขวาสุดแบบตอนนี้ และระยะตอนนี้เหลือแค่ 30 เมตรก่อนจะถึงไฟแดง ผมไม่แน่ใจว่าเราจะสามารถเลี้ยวซ้ายได้ทันหรือไม่ ระยะที่เราอยู่นั้นเรียกได้ว่าอยู่ในเลนเลี้ยวขวาเลย ถ้าเราจะเลี้ยวซ้ายนั่นหมายถึงพี่แท๊กซี่ต้องแทบจะหักเข้ามายาวๆเลยทีเดียว ผมนั่งพิจารณาสถานการณ์ตรงหน้าเงียบๆแล้วปล่อยให้พี่แท๊กซี่ตัดสินใจเอง

"เข้าไม่ได้" พี่แท๊กซี่บ่นงึมงัม

ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง ซึ่งมันก็เข้าไม่ได้จริงๆน่ะแหละ รถติดไม่ขยับมานานแล้ว คงต้องรอสัญญาณไฟเปลี่ยน เราถึงจะขยับไปข้างหน้าได้

"รถมันปิดทางหมดเลย" พี่แท๊กซี่พูดกับตัวเอง

สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนแล้ว รถคันข้างหน้าเลยขยับ พี่แท๊กซี่พยายามจะเข้าซ้ายเมื่อเห็นช่องว่างอันน้อยนิด แต่แท๊กซี่คันข้างๆก็เร่งขึ้นมาปิดช่องว่างทันที การเคลื่อนตัวของรถบนถนนเป็นไปได้ช้ามาก และที่สุดรถทุกคันก็หยุดนิ่งเหมือนเดิม

ถึงตอนนี้ระยะห่างเหลือแค่ 15 เมตรจะถึงแยก ผมซึ่งคิดว่าสงสัยได้ไปอ้อมตรงถนนพระราม 4 แน่ เลยนั่งเงียบๆไม่อยากไปกดดันพี่แท๊กซีให้มากขึ้น

"เข้าไม่ได้เลย" พี่แท๊กซีพูดเหมือนบ่นกับตัวเองเบาๆ แล้วเคลื่อนรถไปข้างหน้าอีก

"เข้าไม่ได้แล้วยิ่งขยับไปข้างหน้ามันก็ยิ่งไม่ได้สิ" ผมคิดในใจ

พี่แท๊กซี่แกบ่นงีมงำอะไรสักอย่างอยู่

ผมเดาว่าแกรอสัญญาณไฟ ตัวผมเองซึ่งจับตามองรถคันข้างๆพลางเอากระเป๋ามาบังเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินผ่อนหนักให้เป็นเบา แล้วสัญญาณไฟก็เปลี่ยนสี พี่แท๊กซีหักเข้าซ้ายทันทีด้วยความเร็วที่รถรอบข้างยังไม่ทันขยับ และด้วยเทกนิคอะไรไม่รู้ พี่แกจึงพารถทะลุจากเลนขวาสุดเข้าซ้ายก่อนจะเบียดกับกระบะที่ขับชลอเลี้ยวซ้ายเข้าสุขุมวิทได้อย่างเฉียดฉิวในระยะแค่ 10 เมตรจากแยก

นี่สินะมืออาชีพ