จนกระทั่งผมเห็นแทกซี่สีฟ้าคันนึงกำลังจะเลี้ยวออกมาจากซอย
ผมโบกมือเรียก แทกซี่พยักหน้าก่อนเลี้ยวมาจอดข้างหน้าผม
คนขับเป็นลุงร่างสูงผมเกรียนสีดอกเลา
"ไปสุขุมวิทครับ" ผมบอกผ่านหน้าต่างข้างคนขับที่เปิดอยู่
เวลาผมเห็นแทกซี่ที่เปิดหน้าต่างแบบนี้ อคติจะเข้ามาเล็กน้อยเพราะรู้ว่านี่คือแทกซี่ที่เลือกผู้โดยสาร
"ขึ้นมาเลยน้องเอ้ย" วันนี้โชคเข้าข้างผมแฮะ
ผมก้าวขึ้นรถแทกซี่โดยมีเสียงเพลงคลาสสิกทางวิทยุคอยต้อนรับอยู่ แปลกดีสำหรับแทกซี่ที่ฟังเพลงคลาสสิก
ผมจัดแจงวางสัมภาระให้เรียบร้อยก่อนจะหยิบมือถือมากดเล่นฆ่าเวลา แต่ยังไม่ทันที่จะเล่นอะไร ลุงคนขับชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า
"เป็นไงแมตช์วันนี้สนุกมั้ย" ลุงแทกซี่ทักทายด้วยน้ำเสียงร่าเริงความดังระดับพ้ง
"ก็ดีครับ สนุกดี"
"น้องว่าถ้ามาตีแข่งกับน้าใครจะชนะ"
นี่มันอะไร ผมคิดในใจ
"อ่า ผมเล่นไม่ค่อยเก่งน่ะครับ"
"งั้นน้าชนะชัวร์ " ลุงแทกซี่ตอบนิ่งๆ
"อาจจะผลัดกันแพ้กันชนะละมั้งครับ " จู่ๆผมก็ไม่อยากยอมแพ้ลุงแทกซี่ขึ้นมาเฉยๆ
"งั้นน้องรู้ไหมว่ากีฬาแบตเนี่ย ส่วนไหนของสรีระร่างกายที่สำคัญสุด"
"ข้อมือมั้งครับ" ผมตอบ
"2เต็ม10" ลุงแทกซี่ให้คะแนนอย่างรวดเร็ว
ห่ะ มีงี้ด้วย ผมสบถในใจ
"งั้นไหล่ "
"1 เต็ม 10 "
"ขาอ่ะ"
"0 เต็ม 10"
"ผมยอมแล้วครับ ส่วนไหนสำคัญสุดหรอครับ"
"ข้อเท้า"
"ข้อเท้า?"
"ใช่ ข้อเท้านี่ล่ะ ไว้สำหรับการสเตปไง เคยเห็นนักแบตมั้ยที่เขาซอยเท้าบ่อยๆน่ะ
นั่นคือเขากำลังหาจังหวะเพื่อสเตป เมื่อจังหวะได้ แรงมันก็จะส่งไปถึงข้อมือเอง
ทีนี้จะตีอะไรทำอะไรก็ได้หมด" ลุงแทกซี่อธิบายมายาวเหยียด
จริงรึเปล่าไม่รู้แต่ผมเริ่มจะคล้อยตามแล้ว
"นี่พี่เล่นแบตจริงจังหรอครับ" ผมอดถามไม่ได้
"น้าเล่นเอาสนุกน่ะ แต่ถ้าเราเล่นโดยรู้จักธรรมชาติของกีฬา มันจะทำให้เราสนุกยิ่งขึ้น สังเกตุจากสีหน้าขอวคนที่เล่นแล้วสนุกสิ อดีนารีนมันจะหลั่ง ความคิดจะฉับไว เมื่อร่างกายพร้อม จิตใจก็พร้อมแต่ก่อนจะพร้อมเราต้องเข้าใจธรรมชาติของมันเสียก่อน"
ผมทึ่งกับคำตอบของแทกซี่ หลังจากนั้นก็นั่งฟังแกอธิบายเรื่องรองเท้ากีฬาอยู่อีกพักใหญ่กับเรื่องกีฬากอล์ฟสุดโปรดของแกที่แกว่าจะเล่นจนวันตายและคนเล่นกอล์ฟเป็นคนดี
"แปลกไหมล่ะน้อง ที่วันนี้ขึ้นแทกซี่มาเจอใครที่ไหนพล่ามเรื่องอะไรให้ฟังเป็นชุดๆ"
"นี่เป็นครั้งแรกที่ผมขึ้นแทกซี่แล้วฟังเพลงคลาสสิกเนี่ยล่ะครับ" ผมตอบขณะที่เสียงเพลงของ Bachเพิ่งจบลงและVivaldi.กำลังจะเริ่ม (ที่รู้เพราะดีเจเป็นคนบอก)
บทสนทนาของเราเปลี่ยนไปเป็นเรื่องเพลงคลาสสิกแทน ผมรู้สึกเหมือนกลับไปอยู่ในห้องเรียนวิชา music appreciation. หลังจากฟังลุงแกบรรยายเรื่องBach ผ่านเนินเขา กระท่อมริมน้ำที่มีปล่องไฟกำลังพ่นควันน้อยๆออกมาและทิวทัศน์อันน่ารื่นรมณ์ของเยอรมันแล้ว ผมเลยยิงคำถามสำคัญ
"ก่อนหน้านี้พี่ทำอะไรมาครับ"
"I can't speak about that anymore". ลุงแทกซี่ตอบด้วยภาษาอังกฤษพลางหัวเราะ
ยิ่งคุยก็ยิ่งคิดว่าแทกซี่คนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาแน่ แกเล่าว่าการที่รับผมขึ้นรถเนี่ยก็เป็นไปตามแปลนที่แกวางไว้ว่าแกเข้ามาส่งผู้โดยสารพอเห็นผมก็รีบเตรียมเงินทอนให้ผู้โดยสารก่อนจะถึงที่หมายเพื่อวนออกมารับผมได้ จากนั้นแกอธิบายเรื่องการ planning และวาง route control เพื่อที่จะ cut loss และถึง final management ตาม goal. ที่ได้ plan ahead ไว้
แกทิ้งท้ายว่าสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุขกับมันเนี่ยล่ะ ถึงจะดีที่สุด
การเข้าใจธรรมชาติของสิ่งที่เราทำ จะทำให้เรามีสติและสนุกกับมัน
บอกตามตรงผมจำไม่ได้ว่าเราคุยอะไรกันบ้างทั้งหมด แต่ที่ว่ามาช่วงครึ่งหลังแกพูดเป็นภาษาอังกฤษล้วนและผมได้แต่รับฟัง
ถึงที่หมายแล้ว ผมจ่ายค่าโดยสาร
ลุงแทกซี่รับ ก่อนกล่าวลา "ถึงแล้วก็อาบน้ำนอนซะนะ ดึกแล้ว you have a good night and take care."
"Thanks, you too". ผมตอบก่อนปิดประตูรถแล้วเดินเข้าบ้าน
No comments:
Post a Comment